เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ - บทที่ 831 ตอนพิเศษ ซานเป่า สมบัติ
- Home
- เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ
- บทที่ 831 ตอนพิเศษ ซานเป่า สมบัติ
บทที่ 831 ตอนพิเศษ ซานเป่า สมบัติ
“คุณหนู แล้วการหมั้นของท่านกับท่านอ๋องเหยาล่ะเจ้าคะ” ชุ่ยหงถาม ตราบใดที่ยังคงมีการหมั้นหมายอยู่ พวกนางจะออกจากเมืองไม่ได้
“คงต้องยกเลิกการหมั้นไป” เว่ยหนิงพูดออกมาอย่างครุ่นคิด
ขณะที่นางกำลังคิดหาวิธีที่จะยกเลิกการหมั้นหมายได้อย่างไรนั้น ฮ่องเต้ก็ได้ทรงมีพระบรมราชโองการว่า จะไม่ให้ท่านอ๋องเหยาอภิเษกสมรสกับบุตรสาวตระกูลจู
นี่เป็นผลงานของฉู่เฉิงเหยาจริงๆหรือ?
ฉู่เฉิงเหยาถูกลอบสังหารได้รับบาดเจ็บสาหัส มีหลักฐานเกี่ยวกับการลอบสังหารว่าเป็นแผนการของพระสนมหลี่ แม้ฮ่องเต้จะรักใคร่โปรดปรานนางเป็นอย่างมาก แต่พระองค์คงไม่ยอมให้ใครสังหารสายเลือดของพระองค์ หากหลักฐานที่มีถูกเปิดโปงขึ้นมาจริงๆ ย่อมสร้างความเสียหายให้กับพระสนมหลี่อย่างแน่นอน
นอกจากนี้สิ่งที่ฉู่เฉิงเหยาร้องขอก็แค่ขอยกเลิกการหมั้นหมายกับบุตรสาวตระกูลจูเท่านั้น เดิมทีก็แค่แผนของพระสนมหลี่ที่ต้องการทำให้อ๋องเหยาได้รับความอับอาย ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น สุดท้ายแล้วพระสนมหลี่ก็ได้แต่ยอมจำนน หันไปทูลองค์ฮ่องเต้ว่า โหรหลวงได้ทำนายเอาไว้ว่าบุตรสาวตระกูลจูเป็นดาวอัปมงคลหากท่านอ๋องเหยาอภิเษกนางเป็นพระชายาแล้วย่อมส่งผลวิบัติ หายนะแก่แคว้นฉู่ เมื่อฮ่องเต้ทรงรับทราบ จึงได้มีรับสั่งให้ยกเลิกการหมั้นหมายในทันที
เรื่องการหมั้นและพิธีอภิเษกสมรสจึงได้จบลงเช่นนี้
เมื่อข่าวแพร่ไปถึงโรงเตี๊ยม เถ้าแก่โรงเตี๊ยมที่ไม่ชอบพวกเขาเป็นทุนเดิมอยู่แล้วรีบสั่งให้พวกเขาเก็บข้าวของออกไปอย่างรวดเร็ว
นี่เป็นข่าวดีของเว่ยหนิงและพรรคพวกของนาง
“คุณหนูการหมั้นหมายถูกยกเลิกแล้วเจ้าค่ะ” ดวงตาของชุ่ยหงมีรอยยิ้ม
“พวกเราไม่ตายแล้ว! คุณหนูไม่จำเป็นต้องแต่งงานกับท่านอ๋องเหยาอีกแล้วหรือ?” ชุ่ยหลู่พูดอย่างแปลกใจ
เมื่อคุณหนูหายไป ทุกคนคิดว่าต้องตายแน่ แต่เมื่อหญิงสาวผู้นี้ตกลงที่จะยึดถือตัวตนของคุณหนูไว้ แล้วยินดีที่จะช่วยชีวิตพวกนางเอาไว้ชั่วคราว พวกเขาพากันเดินทางเข้าเมืองหลวง ตลอดการเดินทางพวกเขาวิตกกังวลว่าตัวตนของหญิงสาวจะถูกเปิดเผยและชีวิตของนางจะตกอยู่ในอันตรายได้ทุกเมื่อ
ตอนนี้วิกฤติใหญ่ได้คลี่คลายลงแล้ว ในที่สุดพวกเขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
“คุณหนู พวกเรารีบออกจากเมืองกันเถิดเจ้าค่ะ” ชุ่ยหงว่า
หากก้าวออกจากเมืองช้าเกิดไปอาจเป็นอันตรายได้
เว่ยหนิงพยักหน้ารับเห็นด้วย ชุ่ยหงและชุ่ยหลู่รีบวิ่งไปเก็บข้าวของ ทุกคนพากันเร่งมืออย่างไม่รอช้า สักพักก็แบกสัมภาระเดินออกมา โดยมีเว่ยหนิงนำหน้า
เมื่อพวกเขากำลังจะออกจากโรงเตี๊ยม ก็เห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งจูงม้ายืนอยู่ที่หน้าโรงเตี๊ยม ชายหนุ่มผู้นี้แต่งกายด้วยอาภรณ์หรูหรา ผมของเขาครอบกวาน ท่าทางมีสง่าราศรี ดูแตกต่างจากผู้คนทั่วไปเมื่อแรกเห็น
ชุ่ยหงและชุ่ยหลู่ไม่รู้จักเขาแต่เว่ยหนิงรู้จักคนผู้นั้น
“ท่านอ๋องเหยา” เว่ยหนิงทักทายเขา ชุ่ยหงและชุ่ยหลู่แปลกใจ เขาคือท่านอ๋องเหยาหรือ?
ท่านอ๋องเหยาผู้นี้ช่างหล่อเหลา เป็นเสมือนมังกรและหงส์ในหมู่ผู้คน ไม่ใช่เทพที่ชั่วร้ายอย่างที่มีผู้คนกล่าวถึง
ฉู่เฉิงเหยามองเว่ยหนิง
“เจ้าจะไปแล้วหรือ?”
“ใช่ พวกเราจะออกเดินทางแล้ว เว่ยหนิงกล่าว
“พอจะมีเวลาคุยกับข้าสักครู่หรือไม่?” ฉู่เฉิงเหยาถาม
เว่ยหนิงรู้ว่าเหตุที่การหมั้นหมายยุติลงได้ เป็นเพราะบุรุษตรงหน้า นางมีความคับข้องใจและฉู่เฉิงเหยาไม่ได้ทำให้นางอับอาย หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเขา พยักหน้าให้
ทั้งชุ่ยหงและชุ่ยหลู่มองเบื้องหลังของคนทั้งคู่ที่เดินจากไปด้วยความสับสน
ท่านอ๋องเหยาใจดีกับคุณหนูมาก
เว่ยหนิงและอ๋องเหยาเดินไปช้าๆเลียบแม่น้ำ
“เจ้าจำมันได้หรือไม่?” ฉู่เฉิงเหยาตบเข้าที่ตัวม้าที่เขาจูงมา
“ข้าจำได้ มันหนีไปตอนนั้น”
เป็นม้าที่นางปราบพยศมันนั่นเอง
มันหนีไปยามที่มีนักฆ่าปรากฏตัวขึ้น แม้ว่ามันจะดูแกร่งกล้าเต็มไปด้วยพลัง แต่กลับไร้จิตวิญญาณของม้าศึก เว่ยหนิงนึกรังเกียจมันขึ้นมาในใจ
“นั่นเป็นเพราะเจ้ายังฝึกมันไม่ครบถ้วนดี หากได้ฝึกมันครบถ้วนดีแล้วมันจะเป็นม้าที่ดี”
“เหตุใด ท่านต้องช่วยเหลือข้าด้วย?” เว่ยหนิงถาม
ฉู่เฉิงเหยาช่วยนางยกเลิกการหมั้น
“เมื่อข้าได้พบเจ้า ข้ารู้สึกดีกับเจ้า” ฉู่เฉิงเหยาตอบ
“แต่ยามที่ข้าเห็นท่าน ข้ากลับอยากทำร้ายท่าน” เว่ยหนิงพูดอย่างตรงไปตรงมา “หรือชาติที่แล้ว เราจะเป็นศัตรูกัน?”
ฉู่เฉิงเหยาหัวเราะออกมา ถ้าหากเจียงชูเหวิน อยู่ที่นี่เขาคงประหลาดใจ การหัวเราะเป็นสัญชาตญาณของผู้คน ยกเว้นฉู่เฉิงเหยา เขาไม่รู้ว่าจะหัวเราะอย่างไร เขาเป็นเสมือนเครื่องจักร ไร้ซึ่งอารมณ์ ไม่มีแม้แต่ ความยินดี โกรธ หรือแม้แต่โศกเศร้า
ทั้งสองเดินไปตามแม่น้ำเป็นเวลานาน เมื่อไปถึงสถานที่เงียบสงบพวกเขาก็หยุด
“ไปนั่งตรงนั้นสักพักไหม?” ฉู่เฉิงเหยาชี้ไปที่ก้อนหิน
เว่ยหนิงพยักหน้า
ฉู่เฉิงเหยาผูกม้าไว้กับต้นไม้แล้วเดินไปพร้อมกับเว่ยหนิง ทั้งสองนั่งลงเคียงข้างกันบนหิน
“อาการบาดเจ็บของท่านเป็นอย่างไรบ้าง” เว่ยหนิงถาม
“ดีขึ้นมากแล้ว แค่ต้องดูแลอีกสักพัก” ฉู่เฉิงเหยามองนางแล้วยกมุมปากขึ้น
“ขอบคุณ”
ความเงียบเกิดขึ้นชั่วครู่
“เจ้ามีแผนที่จะไปที่ไหนหรือยัง?” เว่ยหนิงส่ายหน้า นางยังไม่คิดถึงเรื่องนี้เลย
ไม่นานเขาก็ถามขึ้นอีกครั้ง
“มึใครที่เจ้าคิดถึงหรืออยากเจอเป็นพิเศษหรือไม่?”
เงาร่างรางๆ ปรากฏขึ้นภายในใจของเว่ยหนิง เสียงอ่อนโยนที่เรียกนางว่า “ซานเป่า” ฝ่ามือกว้างที่โอบกอดนางเอาไว้ และร่างที่อยู่ในชุดสีแดงที่ปรากฏขึ้นภายในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เว่ยหนิงรู้ว่าคนที่นางเห็นรางเลือนเหล่านั้นคือคนที่ใกล้ชิดและเป็นคนที่สำคัญของนาง
แต่กลับจำไม่ได้ว่าพวกเขาเป็นใคร
“มี แต่ข้าลืมรูปร่างหน้าตาของพวกเขา” เว่ยหนิงลำบากใจ ฉู่เฉิงเหยาจึงได้รู้ว่านางสูญเสียความทรงจำไป เขาจึงพูดว่า
“ไม่ช้าเจ้าจะจำพวกเขาได้”
“สักวันหนึ่งข้าจะพบพวกเขา” เว่ยหนิงกล่าว
“ข้าคิดว่าเขากำลังตามหาข้าเช่นกัน”
“เยี่ยมมาก!” ฉู่เฉิงเหยาพูดด้วยน้ำเสียงอิจฉา ดีใจที่มีคนห่วงใยนางไม่เหมือนเขาที่ไม่มี
“ท่านมีคนที่อยากเจอบ้างหรือไม่?” เว่ยหนิงหันไปถาม เมื่อได้ยินคำถามของนาง แว่บแรกที่เขาคิดคือร่างที่ปรากฏขึ้นในภูเขาที่เต็มไปด้วยศพนอนเรียงรายและเลือดที่ไหลนองราวกับเป็นทะเลเลือด
บางครั้งเขารู้สึกว่ามนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาด มีอารมณ์ต่างๆ เกิดขึ้นมากมายอย่างที่เขาอธิบายไม่ถูก ฉากนั้นยังฝังลึกตราตรึงอยู่ภายในใจของเขา เขาไม่รู้จะอธิบายอารมณ์ที่เกิดขึ้นว่าอย่างไร?
จะเป็นเพราะความชื่นชมในความแข็งแกร่งของคนผู้นั้น หรือความรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เหลือบมองเห็นแค่เพียงชั่วขณะ หรือจะเป็นทั้งสองอย่าง
“ข้ามีคนที่อยากพบอยู่”
“ท่านจะไปหาคนผู้นั้นหรือไม่?”
“ข้าคงไม่ได้เห็นแล้ว นางไม่ได้อยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว” น้ำเสียงของฉู่เฉิงเหยาเศร้าหมอง
“อย่าเศร้าไปเลย”
“ข้าคุ้นชินเสียแล้ว”
ตั้งแต่ที่ฉู่เฉิงเหยายังเด็ก เขาคุ้นเคยกับการพลัดพรากจากไปของผู้คนมากมาย คุ้นเคยกับการเฉยเมยและการดูหมิ่นเหยียดหยาม เว่ยหนิงหันกลับมามองเขา คนข้างกายนางสูงมาก แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนเเป็นเด็กที่เปราะบาง
“หากนางยังอยู่ เราจะเป็นศัตรูกัน แต่…ข้าหวังให้นางยังอยู่และมีชีวิตที่สุขสบายดี” ฉู่เฉิงเหยาพูดขึ้นอีกครั้ง
แม้ว่านางจะยังมีชีวิตอยู่ แต่พวกเขาก็ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ ฉู่เฉิงเหยาได้แต่หวังว่าแม่ทัพปีศาจผู้นั้นจะยังคงมีชีวิตอยู่เพื่อที่เขาจะใช้นางเป็นคู่ต่อสู้และเป็นเป้าหมายเพื่อที่จะได้บรรลุในสิ่งที่ตนวาดหวังเอาไว้
ตราบใดที่นางยังมีชีวิตอยู่ …เขาย่อมยินดี
น่าเสียดายเหลือเกินที่นาง…
ฉู่เฉิงเหยายืนขึ้น
“ไปกันเถอะ” ทั้งสองเดินกลับ เมื่อพวกเขาเดินเข้ามาใกล้โรงเตี๊ยม ฉู่เฉิงเหยายื่นสายบังเหียนให้นาง
เว่ยหนิงมองม้า แม้จะไม่ชอบใจที่มันหนีการสู้รบ แต่มันก็เป็นม้าเหงื่อโลหิตจริงๆ เหมือนที่ฉู่เฉิงเหยาได้พูดเอาไว้ หากมันถูกฝึกให้เชื่องและเรียนรู้คำสั่ง มันจะเป็นม้าที่ภักดีและทรงพลัง เว่ยหนิงชอบมันมาก นางรับสายบังเหียนไว้แล้วพูดว่า
“ขอบคุณ”
“พบกันใหม่”
“พบกันใหม่” เว่ยหนิงพาม้าเดินไป แต่แล้วนางก็เห็นใครบางคนยืนอยู่ที่หน้าโรงเตี๊ยม หญิงสาวตกตะลึงไปในทันที