เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ - บทที่ 837 ตอนพิเศษ ซานเป่า ไปสู่ขอบฟ้าที่สวรรค์และใต้หล้าบรรจบกัน
- Home
- เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ
- บทที่ 837 ตอนพิเศษ ซานเป่า ไปสู่ขอบฟ้าที่สวรรค์และใต้หล้าบรรจบกัน
บทที่ 837 ตอนพิเศษ ซานเป่า ไปสู่ขอบฟ้าที่สวรรค์และใต้หล้าบรรจบกัน
เย็นวันนั้น
กู้หวนอวี้ได้จัดงานเลี้ยงต้อนรับให้เว่ยหนิง ช่วงเวลาอาหารค่ำทุกคนล้วนมีความสุข เบิกบาน เว่ยหนิงถูกล้อมรอบไปด้วยผู้ใตับังคับบัญชาการและสหายร่วมรบ พวกเขาหัวเราะให้กันอย่างครื้นเครง
ถังหลี่เหลือบมองหญิงสาวที่งดงามกล้าหาญท่ามกลางหมู่ชายฉกรรจ์ นางยิ้มออกมา
ในที่สุด ซานเป่าเด็กหญิงตัวน้อยไร้เดียงสาก็ได้เติบโตขึ้นเป็นแม่ทัพหญิงผู้องอาจอย่างนางที่ต้องการ
ถังหลี่พึงพอใจมากเหลือเกิน ไม่นานนักนางก็เหลือบไปเห็นเด็กสองคนที่นั่งดื่มสุรา ใบหน้าของพวกเขาแดงก่ำ ถังเป่าเป็นราชินีตัวน้อย ไม่ว่านางจะตกอยู่ในสภาพไหนก็ตาม แม้กระทั่งในยามที่ดื่มสุราจนเวียนหัวเช่นนี้ แต่นางก็ยังนั่งตัวตรงแม้ว่าตาจะปรือแทบหลับ ถังหลี่ขอให้สาวใช้อุ้มนางไปนอนที่เตียงอย่างรวดเร็ว
ในทางกลับกัน มู่เปาเป็นเด็กช่างเจรจา เขาดื่มสุราอย่างบ้าคลั่งแล้วเกาะติดกับมารดาเหนียวหนึบ ดื่มจนเมาก็ยังไม่ยอมไปนอนร้องเอ็ดตะโรโวยวายว่าอยากนอนกับมารดาพลางกอดเอวถังหลี่แน่น
เว่ยฉิงโมโหลูกชายตัวน้อยของเขามาก แทบอยากจะกระชากเด็กน้อยออกจากมารดาเสียเดี๋ยวนั้น แต่มู่เป่าแข็งแกร่งเขาเกาะมารดาอย่างเหนียวแน่นไม่ยอมปล่อยมือ
“เป็ดย่าง ไก่ย่าง ขนมอบหอมหมื่นลี้ เกี๊ยวข้าวหมัก …” เว่ยฉิงร่ายอาหารจานโปรดของมู่เป่าออกมายาวเหยียด มู่เป่าปล่อยมือจากเอวของถังหลี่พูดอย่างเอาแต่ใจ
“เพิ่มตีนเป็ดย่างให้ข้าด้วย” มู่เป่าพูดพลางกลืนน้ำลาย เว่ยฉิงโกรธจนบีบใบหน้าน้อยๆ ที่อ้วนท้วนของเขา แล้วพูดพลางยิ้มว่า
“ก็ได้ พ่อสัญญากับเจ้า” มู่เป่าน้อยจึงได้สงบลงจากไปอย่างเชื่อฟัง
ถังหลี่นั่งอยู่ด้านข้างเฝ้ามองเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเช่นนี้นับครั้งไม่ถ้วน ที่จริงแล้วมู่เป่าเป็นเด็กฉลาด เขารู้วิธีที่จะควบคุมบิดาของตนเป็นอย่างดี
เมื่อมองชายที่มีความสุขที่ได้ส่งลูกชายออกไปให้พ้น ถังหลี่ได้แต่ส่ายหน้า
เหตุใดเขาถึงได้โดนลูกชายหลอกอยู่เรื่อยๆเช่นนี้นะ
อย่างไรก็ดีสีหน้าของถังหลี่ไม่ได้รังเกียจแต่กลับเต็มไปด้วยความรักและความอ่อนโยน นางจับมือเว่ยฉิงเดินเข้าไปในเรือน
สุดท้ายเหลือแต่เว่ยหนิงอยู่ที่โต๊ะอาหาร นางยังดื่มและคุยกับซุนต้าหู่และเสี่ยวหลิวไม่เลิก
“ข้าเคยคิดอยากประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงที่โด่งดัง แต่ตอนนี้ข้ามาคิดดูแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดน่าจะเป็นการที่ยังมีชีวิตอยู่นั่นเอง”
“ยังมีชีวิตอยู่และได้นั่งดื่มเหล้าด้วยกันเป็นความสุขที่ยากจะหาอื่นใดมาเทียบได้” ซุนต้าหู่เมา เขากลิ้งตัวไปกับพื้น เสี่ยวหลิวทำท่าจะดึงตัวเขาขึ้นมา แต่ในไม่ช้ากลับถูกดึงลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่กับพื้นเช่นกัน
มีคนทำท่าจะไปช่วยดึง ไม่ช้าก็โดนฉุดลงไปกองคนแล้วคนเล่า ไม่นานคนทั้งกลุ่มต่างพากันเกลือกกลิ้งไปมากับพื้น
ใบหน้าของเว่ยหนิงแดงก่ำ นางเวียนหัวไม่น้อย แต่หญิงสาวยังเดินตัวตรงได้ ความสามารถในการดื่มของนางดีกว่าชายฉกรรจ์กลุ่มนี้มากนัก
นางค่อยๆ เดินออกจากที่ตรงนั้น ระวังไม่ให้เหยียบไปโดนตัวคนที่นอนอยู่กับพื้น ไม่ไกลนักมีร่างหนึ่งยืนอยู่
อาจารย์ของนาง ยืนอยู่ไม่ไกล ดูเหินห่างและเย็นชาไม่เข้ากับบรรยากาศที่วุ่นวาย
เว่ยหนิงเดินไปหาอาจารย์ ทั้งๆ ที่พวกเขาเป็นผู้ชายเหมือนๆ กัน แต่ซุนต้าหู่และเสี่ยวหลินกลับมีกลิ่นเหงื่ออยู่บนตัว ไม่เหมือนตู้เย่ที่มีกลิ่นกายที่สะอาด เว่ยหนิงยืนไปหยุดที่ข้างๆ นางสะบัดศีรษะไปมา
“คืนนี้พระจันทร์เต็มดวง”
“ใช่แล้ว”
“อาจารย์ ท่านอยู่ต่ออีกสักหน่อยแล้วค่อยไปต้าฉีได้หรือไม่? “ นางมองเขาอย่างขอร้องแกมคาดหวัง แต่เดิมอาจารย์ของนางอยากจะเดินทางไปท่องเที่ยวยังแคว้นต้าฉี แต่เว่ยหนิงประสบกับอุบัติเหตุเข้าเสียก่อน เขาจึงได้ล้มเลิกอย่างกะทันหัน เว่ยหนิงอยากให้อาจารย์มีอิสระ ปล่อยให้เขาทำในสิ่งที่ตนต้องการ แต่เมื่อได้ฉิวเฉียดประสบกับกับความตาย นางจึงอยากเอาแต่ใจ อยากให้อาจารย์ใช้เวลาอยู่กับตนมากขึ้น
“อาหนิง อาจารย์อยากเป็นรองแม่ทัพของเจ้า” ตู้เย่พูดออกมาตรงๆ
เขาเคยมีความคิดอยู่ในใจว่านางเป็นประหนึ่งลูกนกอินทรี สักวันเมื่อเติบโตขึ้นนางจะโผบินกางปีกออกจากรัง เขาจะยืนอยู่ที่หน้าผาเฝ้าดูนางบินห่างจากเขาไป
แต่ในครั้งนี้ที่เขาเกือบจะสูญเสียนางไป ตู้เย่พลันคิดได้ว่า เขาทนไม่ได้หากอินทรีจะร่วงหล่นลงจากท้องฟ้า เขาไม่อยากยืนดูอย่างเงียบๆ ข้างนางอีกต่อไปแล้ว เขาอยากเป็นลมใต้ปีกที่จะคอยสนับสนุนหญิงสาวผู้นี้ให้โบยบินสูงขึ้น แม้ว่านางอาจจะไม่เต็มใจก็ตาม
เว่ยหนิงตกตะลึง
“อาจารย์..”
นางชะงักก่อนจะกล่าวต่อว่า “อาจารย์ท่านยินดีจะเป็นรองแม่ทัพของข้าหรือไม่?”
“ข้ารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง”
“ถ้าข้ามีเวลา ข้าจะพาอาจารย์ไปไปต้าฉี” นางเอียงคอมองเขามีรอยยิ้มแต่งแต้มบนใบหน้าที่งดงาม
ตู้เย่มองแล้วยิ้มตาม ใบหน้าที่เย็นชาหล่อเหลาอ่อนโยนราวกับสายน้ำ
ต่อมาเว่ยหนิงออกศึกอีกสองสามครั้ง การกลับมาของแม่ทัพปีศาจสร้างความหวาดกลัวให้กับแคว้นที่ตั้งตนเป็นศัตรู
สิ่งที่ทำให้พวกเขาสิ้นหวังมากยิ่งขึ้นคือแม่ทัพปีศาจมีผู้พิทักษ์เงาอยู่ข้างกายของนาง ผู้พิทักษ์เงาของนางมีทักษะเก่งกาจ วิธีการฆ่าของเขาแยบยลเหนือชั้น เขาลอบเข้ามาอย่างเงียบเชียบไม่มีใครเห็น แค่เพียงพริบตาเท่านั้นก็ปรากฏบาดแผลขึ้นที่หน้าอกของศัตรู
เมื่อแม่ทัพปีศาจถูกข้าศึกปิดล้อม ผู้พิทักษ์ของนางจะฝ่าวงล้อมของศัตรูไปอย่างเด็ดเดี่ยวแต่ผู้เดียว เขาพานางออกจากการปิดล้อมของศัตรูได้ ด้วยความช่วยเหลือเช่นนี้ แม่ทัพปีศาจจึงได้มีชื่อเสียงอยู่อย่างคงกระพันนับแต่นั้นมา
ทั้งวีรกรรมที่กล้าหาญ ตำนานของผู้พิทักษ์เงาทำให้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก บ้างก็ร่ำลือว่าผู้พิทักษ์เงาผู้นี้เป็นผู้ที่มีทักษะและความเก่งกาจเหนือกว่าแม่ทัพปีศาจเสียอีก บ้างก็ร่ำลือว่าผู้พิทักษ์เงาเป็นผีร้ายที่ท่านแม่ทัพได้ชุบเลี้ยงเอาไว้ เขาปรากฏตัวและหายตัวได้ บ้างก็ร่ำลือว่าผู้พิทักษ์เงาและแม่ทัพปีศาจเป็นคู่รักกัน ไม่รู้ว่าเรื่องนี้เริ่มต้นจากที่ไหน แต่เมื่อได้ยินความเหี้ยมโหดและดุร้ายของพวกเขาทั้งสองแล้วก็เหมาะเจาะสมกันดี
หนังสือนิยายของท่านแม่ทัพปีศาจและผู้พิทักษ์เงาต่างเป็นที่ต้องการของท้องตลาดและขายหมดอย่างรวดเร็ว
เว่ยหนิงได้ยินข่าวลือที่ว่า นางประหลาดใจ ผู้คนล้วนชมชอบการทำศึกของนางถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?
จนกระทั่งเว่ยหนิงได้กลับมายังเมืองหลวงอีกครั้ง นางเห็นหนังสือนิยายเกี่ยวกับเรื่องราวของตนเองวางตั้งเรียงเป็นแถวในร้านขายหนังสือที่พี่รองของตนเป็นเจ้าของกิจการ นางถึงกับตกใจ
เมื่อได้อ่านเนื้อหาภายในหนังสือเล่มนั้น ที่เขียนเอาไว้ว่านางกับอาจารย์เป็นคู่รักกัน เดินทางร่วมกันไปยังทะเลทรายตอนเหนือ ไปเที่ยวชมภูเขาหิมะด้วยกันเพื่อชมดูบัวหิมะที่กำลังบาน ข้อความเหล่านี้ช่างสมจริง หากเว่ยหนิงไม่ใช้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับหนังสือด้วยแล้ว นางย่อมคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน
เว่ยหนิงพบว่าเรื่องนี้ถูกแต่งขึ้นโดยพี่สะใภ้รองของนางเอง
เว่ยหนิงมองสามีภรรยาทั้งคู่ นางแทบหัวเราะออกมาด้วยความโกรธ
พี่รองของนางยังพูดซ้ำเติมอีกว่า
“อาหนิง ใครๆก็ชอบเรื่องนี้มาก เป็นหนังสือที่ขายดิบขายดี เจ้าช่วยเสียสละให้พี่รองเถอะ อย่างน้อยก็ไม่ได้สูญเสียเลือดเนื้อไปสักชิ้นมิใช่หรือ?”
เขาช่างไร้สำนึกและไม่รู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย
เนื่องจากกิจการร้านหนังสือของเขาเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ เขากลายเป็นเจ้าของร้านหนังสือที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นต้าโจว หลังจากเป็นพ่อค้าเต็มตัว เขาเฉลียวฉลาดมากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่น้องสาวของเขายังถูกเอาใช้เป็นเครื่องมือหากินเลย
“พี่สะใภ้รองดูเขาสิ” เว่ยหนิงหันไปฟ้องพี่สะใภ้รองด้วยความโกรธ
พี่สะใภ้รองยิ้ม นางพูดกับเว่ยหนิงเบาๆว่า
“ลองขอให้พี่ชายของเจ้าบริจาคเงินอุดหนุนกองทัพสักแสนตำลึงสิ เป็นค่าช่วยเหลือให้ทหารดีหรือไม่?”
ใบหน้าเล็กๆ ที่กำลังโมโหของเว่ยหนิงเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มในทันที
ใช่ เงินมากมาย! นางจะกลัวไปทำไมหากทหารในกองทัพจะได้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น!
“ถ้าเช่นนั้นต้องขอบคุณ พี่สะใภ้รองและพี่รองของข้า” เว่ยหนิงพูดขึ้นมาในทันที
หลังจากสู้รบมาหลายปี ในที่สุดแคว้นต้าโจวก็มีความมั่นคงขึ้นมากกว่าแต่ก่อน เว่ยหนิงจึงได้หยุดพัก นางคิดถึงคำสัญญาที่ให้ไว้กับอาจารย์ของตน
นางต้องการเดินทางไปแคว้นต้าฉีกับเขา
เว่ยหนิงพักอยู่ในเมืองสองสามวัน จากนั้นจึงได้เดินทางไปยังแคว้นต้าฉี ทั้งสองคนขี่ม้าไปข้างหน้าอย่างช้าๆ เพื่อชื่นชมใต้หล้าที่กว้างใหญ่
“อาจารย์ ตอนที่ท่านไปทะเลทรายตอนเหนือ ท่านเคยขี่อูฐบ้างหรือไม่?” เว่ยหนิงถามขึ้นมา ตู้เย่ไม่ตอบ เขามองไปยังเบื้องหน้าด้วยท่าทีเรียบเฉย
“อาจารย์ จริงๆ แล้วท่านไม่เคยไปทะเลทรายตอนเหนือใช่หรือไม่?” เว่ยหนิงถามต่อ
หลังจากหลายปีผ่านไป ต่อให้นางโง่เขลามากเพียงใดก็ตาม เว่ยหนิงก็ยังสังเกตเห็นความจริงบางอย่างได้อยู่ดี
ครั้งหนึ่งนางพบว่าอาจารย์ของตนมีหนังสือเกี่ยวกับแคว้นต่างๆมากมาย มีบางเล่มจดบันทึกเอาไว้ ทั้งหมดเป็นเรื่องที่อาจารย์ได้เคยเล่าให้นางฟัง ที่จริงแล้วอาจารย์ไม่เคยไปที่นั่นเลยด้วยซ้ำ เขาอยู่ข้างกายของนางตลอด
หน้ากากที่ดุร้ายและปราณีตเช่นนั้น ร้านในตลาดจะสร้างได้อย่างไรกัน?
มีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียว
“อาจารย์รอพวกเราไปแคว้นต้าฉีก่อนแล้วค่อยเดินทางไปทะเลทรายกันนะ”
“พวกเราจะไปทุกที่ที่อาจารย์เคยพูดถึง”
รอยยิ้มงดงามปรากฎขึ้นที่ใบหน้าของตู้เย่
“อืม”
“อาจารย์มาแข่งกันเถอะ ม้าของใครจะเร็วกว่ากัน”
“ได้เลย!” เว่ยหนิงสะบัดแส้ ม้าที่นางขี่อยู่ควบกระโจนไปเร็วรี่ราวกับลม ตู้เย่ขี่ม้าควบไล่ตามนางไป ร่างทั้งสองโจนทะยานไปข้างหน้าเห็นได้จากระยะไกล
เล็กลงไปเรื่อยๆจนหายไปในขอบฟ้า