เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ - บทที่ 846 ตอนพิเศษ พี่น้อง 1
- Home
- เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ
- บทที่ 846 ตอนพิเศษ พี่น้อง 1
บทที่ 846 ตอนพิเศษ พี่น้อง 1
เมื่อฤดูหนาวผ่านไปและฤดูใบไม้ผลิมาถึง ดอกท้อในอุทยานหลวงจะบานและร่วงโรย ไม่นานหลังจากนั้นก็จะบานอีกครั้ง
ในวันหนึ่งของฤดูใบไม้ผลิ ท่ามกลางป่าท้อ มีศีรษะเล็กๆโผล่ออกมาจากด้านหลังของต้นไม้ เป็นเด็กน้อยอายุประมาณห้าหกขวบ หน้าตาหล่อเหลา ดวงตาสีดำสนิท ใบหน้ากลมอ้วน เขาสวมใส่เสื้อผ้าหรูหรา ทว่าเสื้อผ้ากลับเปื้อนมอมแมมสกปรกไปทั้งตัว แม้กระทั่งใบหน้าขาวก็เต็มไปด้วยรอยเปื้อนเช่นกัน
“องค์ชาย กระหม่อมหาท่านเจอแล้ว” ขันทีผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างดีใจ สีหน้าของเด็กตัวน้อยเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจอย่างปิดไม่มิด เขาพูดด้วยน้ำเสียงไพเราะว่า
“เจ้าโง่มาก กว่าจะหาข้าเจอใช้เวลาตั้งนาน”
“พะย่ะค่ะ กระหม่อมโง่เขลาจริงๆ ฝ่าบาทกำลังตามหาพระองค์อยู่ ได้โปรดเสด็จเถิดพะย่ะค่ะ” เขารีบเข้าไปจูงพระหัตถ์พาองค์ชายน้อยไปยังห้องทรงพระอักษรอย่างรวดเร็ว
ผู้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ภายในห้อง เป็นชายหนุ่มท่าทางสง่าผ่าเผย เมื่อองค์ชายน้อยเห็น เขาวางมือไว้ที่ต้นขาทั้งสองข้างพลางร้องเรียกออกมา
“เสด็จพ่อ” ชายหนุ่มเหลือบสายตาไปยังมหาดเล็กข้างกาย คนผู้นั้นรีบถอยออกไปทันที หลังจากบานประตูปิดลง องค์ชายน้อยแย้มสรวล ถลาวิ่งไปหาพร้อมกับปีนขึ้นไปบนตัวของชายหนุ่มผู้นั้นอย่างไม่รอช้า
เสด็จพ่อเคยตรัสว่า หากมีคนอื่นอยู่ด้วย ให้เขาทำท่าจริงจังประพฤติตัวให้เหมาะสม แต่ถ้าหากมีเพียงเขาและเสด็จพ่อก็ไม่ต้องมีกฎเกณฑ์มากมายถึงเพียงนั้น
“อาตง พ่อจะสอนเจ้าอ่านหนังสือ” ฮ่องเต้หนุ่มแย้มสรวล ใบหน้าน้อยๆ เหี่ยวย่นขึ้นมาทันตาเห็น เขาซุกเข้าไปในอ้อมพระกรพลางทำเสียงออดอ้อน
“เสด็จพ่อ อาตงปวดหัวไม่อยากเรียนหนังสือ” เห็นได้ชัดว่าเขาเกียจคร้านมากเพียงใด ฮ่องเต้ไม่ทรงกริ้ว หากทรงพระสรวลเสียงดังอย่างมีความสุข
อาตงเป็นบุตรชายของเขา ย่อมเหมือนเขาเมื่อยามเป็นเด็กไม่ผิด ตอนอ่านหนังสือจะปวดหัวเช่นนี้
“ถ้าอย่างนั้นพ่อจะให้เจ้าดูบางอย่างที่น่าสนใจ” ฮ่องเต้กระซิบ
ดวงตาของอาตงเป็นประกายวูบไหว เขามองพระหัตถ์ของเสด็จพ่อไม่วางตา เห็นเสด็จพ่อเอื้อมไปเปิดลิ้นชัก นำโถใส่จิ้งหรีดออกมา
อาตงตื่นเต้น เขาชอบดูจิ้งหรีดกัดกันมากที่สุด!
ฮ่องเต้ทรงวางโถใส่จิ้งหรีดลงที่พื้น ทั้งคู่พากันนั่งยองๆ อยู่ที่พื้นมองจิ้งหรีดที่อยู่ด้านใน
จิ้งหรีดสองตัวกำลังต่อสู้กัน บิดาและบุตรชายตื่นเต้นและกังวลเป็นอย่างมาก
“เสด็จพ่อ เจ้าตัวนี้แข็งแกร่งมาก”
“งั้นหรือ? แต่พ่อว่าตัวนี้สู้ท่านแม่ทัพไร้พ่ายของพ่อไม่ได้ ตัวนั้นเก่งกว่าเจ้าตัวนี้มากนัก”
“เสด็จพ่อ แล้วตอนนี้ท่านแม่ทัพไร้พ่ายหายไปไหนเสียแล้ว”
“ถูกเสด็จย่าของเจ้าเลี้ยงให้อ้วนมากจนตายไปเสียแล้วนะสิ”
ฮ่องเต้ทรงถอดถอนพระทัย
ทรงฝากเสด็จแม่ให้เลี้ยงดูท่านแม่ทัพไร้พ่าย กำชับให้เสด็จแม่ดูแลมันดีๆ ผลลัพธ์ออกมาดีเกินความคาดหมาย อ้วนจนเคลื่อนไหวแทบไม่ได้
อาตงหยิกแก้มอวบอ้วนของตนเอง อ้วนเกินไปก็ไม่ดีอาจทำให้ตายได้ เขาคงจะต้องกินให้น้อยลงกว่าเดิม
“ฝ่าบาท ใต้เท้าเว่ยขอเข้าเฝ้าพะย่ะค่ะ”
สีหน้าของพ่อลูกเปลี่ยนไปทันที
ใต้เท่าเว่ยผู้นี้ ไม่เพียงเป็นขุนนางเท่านั้น หากยังเป็นคนสนิทของฮ่องเต้และยังเป็นพระอาจารย์ของอาตงอีกด้วย
พ่อลูกทั้งสองคนต่างพากันรีบลุกขึ้นนั่งบนเก้าอี้ เตะโถใส่จิ้งหรีดซ่อนไว้ใต้อย่างไร้ร่องรอย แม้กระทั่งอาตงยังหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านอย่างจริงจัง
ไม่ช้าชายหนุ่มท่าทางอ่อนโยน หน้าตาหล่อเหลาก็ปรากฏกายขึ้นที่หน้าประตู
“ฝ่าบาท” เสียงของเขาแจ่มใสชัดเจน สมกับเป็นหนึ่งในสองของปรมาจารย์ผู้เก่งกาจในเมืองหลวง
แน่นอนว่ายังอีกคนที่ไม่ต้องพูดถึง
ฮ่องเต้ทรงเสแสร้งทำเป็นวางฎีกาที่ทรงถืออยู่ในพระหัตถ์แล้วตรัสด้วยรอยยิ้ม
“จื่ออั๋งมาแล้วหรือ? เข้ามาเถอะ”
เว่ยจื่ออั๋งเดินเข้ามาข้างใน
อาตงแสดงทีท่าสุภาพราวกับบัณฑิตตัวน้อย
“พระอาจารย์”
“จื่ออั๋งเจ้ามาพอดี เจ้าเด็กน้อยผู้นี้กำลังถามคำถามข้าสองสามข้ออยู่ทีเดียว ข้ากำลังยุ่งอยู่ เจ้าช่วยตอบคำถามเขาหน่อยเถอะ” ฮ่องเต้ทรงมีภารกิจมากล้น
ดวงตาของเว่ยจื่ออั๋งเหลือบลงที่ใต้โต๊ะ กล่องใส่จิ้งหรีดโผล่ออกมาจากที่ตรงนั้น
“ฝ่าบาททรงยุ่งอยู่กับการกัดจิ้งหรีดอยู่หรือพะย่ะค่ะ” หลังจากพูดจบเขาก็หยิบโถใส่จิ้งหรีดจากใต้โต๊ะออกมา ชายหนุ่มมองจิ้งหรีดสองตัวที่อยู่ในโถพลางยิ้มกว้าง
ฮ่องเต้ทรงชะงัก จากนั้นจึงได้เบือนพระพักตร์ไปหาอาตงอย่างขึ้งโกรธ
“อาตง เจ้าแอบเล่นกัดจิ้งหรีดอีกแล้วหรือ?”
อาตงกะพริบตาไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาถึงได้ถูกเสด็จพ่อดุ
แต่เมื่อเห็นเสด็จพ่อแอบขยิบพระเนตร เขาจึงได้ก้มหัวยอมรับคำตำหนิอย่างเชื่อฟัง
“อาจารย์ อาตงผิดเอง” อาตงจ้องมองเว่ยจื่ออั๋งด้วยดวงตาชุ่มน้ำ แก้มสองข้างพองออก
เปิดฉากการโจมตีได้อย่างน่าเอ็นดู
เว่ยจื่ออั๋งมองเด็กน้อยน่ารักด้วยหัวใจที่อ่อนลง เขาถอนหายใจ
“เล่นไม่ได้แล้ว อาจารย์จะริบไว้เอง” ว่าแล้วเขาก็ยึดโถใส่จิ้งหรีดไป
สายพระเนตรของฮ่องเต้มองตามโถใส่จิ้งหรีดอย่างไม่ลดละ เขาทุกข์ใจโทษตนเองว่าไฉนจึงได้เก็บโถใส่จิ้งหรีดไม่ดี?
เมื่อเห็นเว่ยจื่ออั๋งมอง เขารีบเปลี่ยนสีหน้า นั่งตัวตรง
“เจ้าริบไปเถอะ เด็กเล่นมากไปจะทำให้เสียนิสัย”
เว่ยจื่ออั๋งยึดจิ้งหรีดไป อาตงคิดว่าเรื่องนี้คงจบลงแล้ว เขารับผิดแทนเสด็จพ่อ ภายหน้าเสด็จพ่อคงไม่ลืมเขาอย่างแน่นอน
เจ้าตัวเล็กมีความสุขมาก
ผลก็คือช่วงบ่ายมีพระอาจารย์อีกคนมาเข้าเฝ้า
“ฝ่าบาท” สวี่เจวี๋ยมีดวงตาจิ้งจอก ท่าทางสง่างาม แต่อาตงกลับกลัวเขามาก เด็กตัวน้อยยืดหน้าอกขึ้น กล่าวทักทายพระอาจารย์ด้วยความเคารพ
“องค์ชายทรงทำการบ้านเสร็จหรือยังพะย่ะค่ะ” สวี่เจวี๋ยมีสีหน้าอ่อนโยน
“เกือบ..” อาตงกระซิบ
สีหน้าของสวี่เจวี๋ยยังคงอ่อนโยนเช่นเดิม ทว่าอาตงกลับรู้สึกถึงพายุที่กำลังก่อตัว
ร่างเล็กๆ ของเด็กน้อยหดตัวราวกับลูกบอล
“อาจารย์ อาตงผิดไปแล้ว”
“ฝ่าบาทจะทรงผิดได้อย่างไร เล่นกัดจิ้งหรีดย่อมสนุกกว่าการเรียนหนังสือมากนัก”
“แต่เรียนหนังสือน่าสนใจกว่า..” อาตงกระซิบ
เขารู้สึกว่าหากตนเองปฏิเสธ ผลลัพธ์ย่อมออกมาไม่ดีแน่
“โอ้..จริงหรือพะย่ะค่ะ”
“จิ้งหรีดเป็นของเสด็จพ่อ” อาตงหลุดสารภาพออกมาอย่างไม่ลังเล ในความคิดของเขาแล้ว ท่านอาจารย์สวี่น่ากลัวกว่าท่านอาจารย์เว่ยมากนัก
ถ้าอยู่ต่อหน้าท่านอาจารย์เว่ยเขากล้ารับผิดแทนเสด็จพ่อ แต่ต่อหน้าอาจารย์สวี่เขาไม่กล้า ไม่เช่นนั้นอาจเคราะห์ร้ายกว่าเดิม
“เนื่องจากองค์ชายตรัสว่าการเรียนเป็นเรื่องน่าสนใจ เช่นนั้นขอให้พระองค์ทรงคัดลอกหนังสือเล่มนี้สามครั้ง กระหม่อมจะกลับมาตรวจอีกครั้งหลังหนึ่งชั่วยาม”
ใบหน้าของอาตงเหี่ยวย่น
“องค์ชายมีข้อสงสัยหรือไม่พะย่ะค่ะ” อาตงเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของอาจารย์ เขาส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว
“องค์ชายเก่งมาก” อาตงหยิบพู่กันมาเขียนคำแล้วคำเล่าไม่กล้าหยุดมือ หนึ่งชั่วยามต่อมา พระอาจารย์สวี่เดินเข้ามาตรวจสอบ มือน้อยๆ ของอาตงเมื่อยเหลือเกิน ในที่สุดเขาก็เขียนจนเสร็จ สวี่เจวี๋ยปล่อยเขาไปชั่วคราว
อาตงถอนหายใจรีบวิ่งไปหาเสด็จพ่อทันที ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรพระโอรสที่น่าสงสาร ทรงเอื้อมพระหัตถ์ไปแตะศีรษะของอาตง
“เราโชคร้ายมากที่ถูกท่านอาจารย์เว่ยจับได้ในขณะที่เล่นจิ้งหรีด”
“แต่ท่านอาจารย์เว่ยไม่ได้ลงโทษอาตง”
………………….