เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่ / เจ้าสาวมือสองของคุณชายพิก… - บทที่ 1580 ใครอยากเป็นพ่อของเธอ
- Home
- เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่ / เจ้าสาวมือสองของคุณชายพิก…
- บทที่ 1580 ใครอยากเป็นพ่อของเธอ
บทที่ 1580 ใครอยากเป็นพ่อของเธอ
“อย่าคิดมากไปเลยหยวนหยวน ตอนที่พี่ออกมาพี่เธอนอนหลับอยู่ในหอ”
นอนหลับ?
“ตอนนี้พี่ยอมนอนดีกว่าที่จะมาหาหยวนหยวนเหรอคะ?”
จงฉู่เฟิงอยากตบหน้าตนเองขึ้นมาทันที แม้แต่พูดก็ยังพูดไม่ได้เลย เขาจะจัดการอย่างไรล่ะ?
เห็นอยู่ชัดๆว่าเป็นการอธิบาย แต่เหมือนผลลัพธ์กลับทำให้เรื่องแย่ลงไปอีก
“ไม่ใช่อย่างนั้นหยวนหยวน เมื่อคืนพี่เธออ่านหนังสือดึกก็แค่นั้น ตอนที่พี่ออกมา เขายังนอนอยู่เลย พี่ก็เลยไม่ได้บอกเขาว่ามาหาเธอ”
หวังว่าคำพูดอย่างนี้ ในใจของหยวนหยวนจะดีขึ้นบ้างนะ
พูดจบ จงฉู่เฟิงยื่นมือไปขยี้หัวของถางหยวนหยวน : “พอแล้วหน่า เธอจะคิดมากมายทำไม? ปกติพี่เธอเอ็นดูเธอจะแย่เธอไม่รู้เหรอ? จะไม่มาหาเธอได้ยังไง?”
ถางหยวนหยวนไม่ได้พูดอะไรอีก
ข้อแรกรู้สึกว่าเฟยเฟยรักษาตัวอยู่ด้านใน ตอนนี้เธอพูดเรื่องนี้ก็ไม่ค่อยเหมาะสม ข้อสองรู้สึกว่าค่อนข้างเหนื่อย ไม่อยากพูดแล้ว
รออยู่อย่างนี้อีกสักพัก ประตูห้องฉุกเฉินก็โดนเปิดออกอย่างฉับพลัน มีหมอออกมาคุยกับพวกเขา บอกว่าบนร่างกายของเมิ่งเข่อเฟยมีบาดแผลมากมาย
ด้วยเหตุนี้ จงฉู่เฟิงกับถางหยวนหยวนจึงตกตะลึงกันทั้งคู่ ท่าทางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
หมอเลี่ยงไม่ได้ เพียงแค่ถาม : “พวกคุณเป็นอะไรกับเธอ?”
“คุณหมอครับคืออย่างนี้ น้องสาวผมเป็นเพื่อนเธอ เห็นว่าเธอไม่สบายจึงอยากจะพาเธอมาส่งโรงพยาบาล แต่จู่ๆเธอก็หมดสติไป แล้วบาดแผลบนร่างกายของเธอ? เกิดอะไรขึ้นครับ?”
“อืม มีบาดแผลมากมาย”
หลังจากจงฉู่เฟิงอธิบายความสัมพันธ์แล้ว หมอก็ไม่ได้ถามพวกเขาอีก อันที่จริงสองคนนี้น่าจะไม่รู้เรื่องราวทั้งหมด “ทำได้เพียงรอให้คนไข้ตื่นขึ้นมาก่อนแล้วค่อยถามอีกที ตอนนี้คนไข้อยู่ในสภาวะหมดสติ มีสถานการณ์มากมายที่ยังไม่รู้ได้”
หลังจากประตูห้องฉุกเฉินปิดลงอีกครั้ง ถางหยวนหยวนหน้าตางงงัน
“พี่ฉู่เฟิง เมื่อกี้ที่หมอบอก บนตัวของเฟยเฟยมีบาดแผล?”
จงฉู่เฟิงไม่ตอบ แค่เม้มๆปาก อีกครู่หนึ่งถึงจะดึงเธอกลับไปนั่งที่เก้าอี้
“เธออยู่ด้วยกัน ช่วงนี้ไม่เจออะไรเลยเหรอ?”
ถางหยวนหยวนจึงเล่าเรื่องในระยะนี้ให้จงฉู่เฟิงฟัง
หลังจากเข้าใจสถานการณ์พอประมาณแล้ว ท่าทางของจงฉู่เฟิงก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา: “กลัวว่าจะเริ่มตั้งแต่วันนั้น แล้วไม่กล้าบอกเธอ อยากจะให้ตนเองฝืนทนต่อไป แต่อาการป่วยช่วงกี่วันนี้น่าจะแย่ลง จึงเป็นอย่างนี้”
ฟังถึงตรงนี้ ดวงตาของถางหยวนหยวนก็แดงขึ้นมาอีกแล้ว
“แม่ทูนหัว ไม่ง่ายเลยนะที่น้ำตาจะหยุดไหลได้ เธออย่าร้องอีกเลย ถ้าเธอร้องอีก พี่ฉู่เฟิงคงทำได้เพียงถอดเสื้อให้เธอเอาไว้เช็ดน้ำตาแล้วนะ”
ประโยคท้ายนั้น หยุดน้ำตาของถางหยวนหยวนได้ทันที จะกล้าร้องไห้อีกได้ที่ไหน
“กลัวแล้วสินะ? เธอลองร้องไห้เรื่อยเปื่อยอีกดูสิ”
ถางหยวนหยวนไม่กล้าร้องไห้อีกแล้ว แต่ยังคงสะอึกสะอื้น
“พอแล้ว ตอนที่หมอออกมาเมื่อกี้แค่ถามสถานการณ์เฉยๆ ไม่ได้พูดเรื่องอื่น นี่ก็แสดงว่าอาการป่วยของเมิ่งเข่อเฟยไม่ได้หนักขนาดนั้น อีกสักพักก็คงตื่นขึ้นมาแน่ๆ”
เห็นดวงตาถางหยวนหยวนแดงอย่างนี้ จงฉู่เฟิงยังมีความวู่วามที่อยากจะดึงเธอเข้ามากอดเอาไว้ แต่ทว่าเขาไม่กล้า ตามที่ยู่ฉือยี่ซูบอกไว้ นั่นก็ต่ำทรามเกินไป
ภายหลังเมิ่งเข่อเฟยได้ย้ายจากห้องฉุกเฉินไปห้องคนไข้ธรรมดาแล้ว ถางหยวนหยวนก็พบว่าตามร่างกายของเมิ่งเข่อเฟยมีบาดแผลมากมายจริงๆ
“เป็นอย่างนี้ได้ไง? ฉันอยู่กับเธอกี่วันมานี้ทำไมถึงไม่รู้สึกเลย ทำไมเฟยเฟยถึงมีบาดแผลเยอะขนาดนี้?” ถางหยวนหยวนตื่นตระหนก อย่างไรก็คิดไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้น
จงฉู่เฟิงดึงเธอไว้ “คงเป็นเธอเองที่ไม่อยากให้เธอรู้ ถ้าเธออยากให้รู้ บาดแผลพวกนี้เธอก็ต้องรู้ตั้งนานแล้ว นี่ไม่ใช่ความผิดของเธอเลย”
“เป็นฉันที่ประมาทเกินไป ฉันควรจะพาเธอมาโรงพยาบาลให้เร็วกว่านี้หน่อย” พูดจบ ถางหยวนหยวนก็รู้สึกได้ถึงเรื่องที่แย่มากเรื่องหนึ่ง : “แต่ทำไมเธอถึงได้รับบาดเจ็บหนักขนาดนี้ แล้วยังไม่ยอมพูดอีก?”
“เหตุผลที่ไม่ยอมพูดมีหลายอย่าง อาจจะไม่อยากให้เธอเป็นห่วง แล้วก็อาจจะไม่อยากให้เรื่องนี้บานปลายใหญ่โต ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถึงกับนอนอยู่ในหอพักตั้งหลายวันหรอก ไม่ยอมพูดแม้แต่คำเดียว”
พูดถึงตรงนี้ ท่าทางของจงฉู่เฟิงก็เคร่งขรึมขึ้นมา “น่าจะประสบเข้ากับเรื่องอะไรบางอย่าง”
“พี่ฉู่เฟิง งั้นฉันควรไปบอกอาจารย์ไหมคะ หรือพวกเราแจ้งตำรวจกันเถอะ”
เมิ่งเข่อเฟยหมดสติไปแล้ว ดังนั้นถางหยวนหยวนจึงรู้สึกว่าลักษณะของเรื่องนี้ร้ายแรงมาก คาดการณ์ว่ามีแค่การแจ้งตำรวจเท่านั้นถึงจะแก้ปัญหาได้
“อย่าเพิ่งรีบร้อน เรื่องเกิดขึ้นไปแล้ว รอให้เฟยเฟยตื่นขึ้นมา พวกเราถามสถานการณ์ให้แน่ชัดแล้วค่อยตัดสินใจอีกที”
“ค่ะ”
จงฉู่เฟิงจึงอยู่เป็นเพื่อนถางหยวนหยวนในห้องคนไข้รอให้เมิ่งเข่อเฟยฟื้นขึ้นมา
แต่เมิ่งเข่อเฟยไม่ฟื้นขึ้นมาในชั่วครู่นี้หรอก ดูเวลาก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว จงฉู่เฟิงเองแม้จะหิวก็ไม่เป็นไร แต่กลับทนไม่ได้ที่จะให้ถางหยวนหยวนสาวน้อยคนนี้หิวไปกับเขาด้วย จึงหยิบมือถือขึ้นมาเปิด app สั่งอาหาร
“ตอนเที่ยงอยากกินอะไร?”
แม้ถางหยวนหยวนจะหิวแล้ว แต่กลับรู้สึกเหมือนว่าตนเองไม่อยากอาหารเลย จึงส่ายๆหัว
“ไม่เป็นไรค่ะพี่ฉู่เฟิง ฉันไม่หิว”
“คนเป็นโลหะข้าวเป็นเหล็ก เป็นไปได้ยังไงที่เธอจะไม่หิว? ถ้าเป็นเพราะเรื่องของเมิ่งเข่อเฟยเธอจึงไม่กินข้าว ถ้าเป็นอย่างนั้นเธอก็ไม่เป็นเด็กดีแล้วนะ”
จงฉู่เฟิงบีบหูของถางหยวนหยวน
“เชื่อฟังนะ กินนิดหน่อยก็ได้ พี่ฉู่เฟิงช่วยเธอเลือก”
“ค่ะ ขอบคุณนะพี่ฉู่เฟิง”
ภายหลังถางหยวนหยวนราวกับนึกถึงอะไรอีกแล้ว “ใช่สิคะพี่ฉู่เฟิง พี่ฉันเขายังไม่ตื่นเหรอ?”
“พี่เธอเหรอ? เขายังไม่โทรกลับหาพี่เลย คงยังนอนอยู่ รอเขาตื่นแล้ว ต้องรีบมาแน่ๆ”
“อ้อ”
ได้ยินว่ายู่ฉือยี่ซูนอนไม่พอจึงมานอนกลางวันแทน ในใจของถางหยวนหยวนจึงดีขึ้นหน่อยแล้ว แค่ไม่ใช่ไม่มีเวลาสนใจเธอก็พอแล้ว
จากนั้นจงฉู่เฟิงจึงตั้งใจเลือกอาหารที่ถางหยวนหยวนชอบกินบน app สั่งอาหาร แล้วก็เลือกอาหารอ่อนๆอีกด้วย เหมาะกับเมิ่งเข่อเฟยตื่นแล้วจะได้กินโจ๊กพวกนั้น ส่วนตนเองก็เลือกตามใจชอบมาอย่างหนึ่ง แล้วคิดเงิน
ตอนที่ข้าวมาส่ง เมิ่งเข่อเฟยยังคงไม่ตื่น ถางหยวนหยวนจึงพูดกับเมิ่งเข่อเฟยที่ยังไม่ได้สติ “เฟยเฟย ฉันไปกินข้าวก่อนนะ รอฉันกินข้าวเสร็จแล้วจะกลับมาอยู่เป็นเพื่อนเธอนะ”
ถางหยวนหยวนกับจงฉู่เฟิงกินข้าวอยู่ที่โต๊ะในห้อง ถางหยวนหยวนพบว่าอาหารทั้งโต๊ะที่สั่งมาเป็นของที่เธอชอบทั้งนั้น จึงค่อนข้างประหลาดใจ
“พี่ฉู่เฟิง ทำไมพี่ถึงรู้ว่าฉันชอบกินพวกนี้ล่ะคะ?”
“รู้จักกันมาตั้งหลายปีแล้ว พี่จะยังไม่รู้จักเธออีกเหรอ? พี่ฉู่เฟิงขึ้นชื่อเรื่องความจำดีนะ”
จงฉู่เฟิงเอาถุงใส่อาหารที่สั่งมาออกไป แล้วเปิดฝาออก แม้แต่ตะเกียบก็ยังเตรียมไว้ให้ถางหยวนหยวนอย่างดี แล้วส่งให้เธอ “เร็ว รีบกิน”
หลังจากถางหยวนหยวนรับตะเกียบมาแล้ว จู่ๆก็พูดประโยคหนึ่งขึ้น
“พี่ฉู่เฟิง ท่าทางเร่งให้ฉันกินข้าวของพี่ เหมือนพ่อฉันมากเลย”
ฟังแล้ว จงฉู่เฟิงสีหน้าหม่นหมอง อารมณ์เปลี่ยนเป็นกลัดกลุ้มอย่างฉับพลัน ใครอยากเป็นพ่อของเธอกัน ? ? ?