เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่ / เจ้าสาวมือสองของคุณชายพิก… - บทที่ 242 ความจริงที่เก็บซ่อน
มีชั่วขณะหนึ่ง เสิ่นเฉียวยังคิดว่าตนเองมองผิดไป
เพราะเธอกลับเห็นต่างหูคู่นั้นที่เย่โม่เซินเป็นคนซื้ออยู่บนหูของหานเส่โยว
“คุณผู้หญิงท่านนี้ คุณต้องการอะไรหรือคะ?” เสียงของพนักงานดังขึ้นมา ในที่สุดก็เรียกให้เสิ่นเฉียวมีสติกลับคืนมา เสิ่นเฉียวจึงมีสติกลับมาได้ แล้วหันไปพูดขยับปากกับพนักงานอย่างเขินอาย: “ฉันเอากาแฟหนึ่งแก้วก็พอค่ะ”
“ได้ค่ะ” พนักงานเดินออกไปแล้ว หานเส่โยวมองดูเสิ่นเฉียวที่ยิ้มแย้มอย่างอ่อนหวานและดึงมือเธอมาจับไว้อย่างสนิทสนมมาก: “เฉียวเฉียว ขอบใจแกมากนะ แกเป็นคนดีจัง ทั้งๆที่ตนเองไม่ชอบทานของหวาน แต่ก็ยอมมาทานเป็นเพื่อนฉันตลอดเลย เราจะเป็นเพื่อนรักกันตลอดไปนะ”
สายตาของเสิ่นเฉียวอดใจไม่ได้ที่จะมองไปบนหูของหานเส่โยวอีก
ต่างหูคู่นั้นสีชมพูอ่อนหวานน่ารัก ส่องแสงระยิบระยับใต้แสงไฟที่ดึงดูดตาคน แต่ว่าหลังจากนั้น…….
เธออดใจไม่ไหวที่จะต้องถาม: “ต่างหูของแกคู่นี้……”
ได้ยินแล้ว หานเส่โยวเหมือนจะรู้สึกตัวขึ้นมาทันที ยื่นมือไปจับต่างหูบนหูคู่นั้นของตนเอง จากนั้นก็อมยิ้ม “สวยมากเลยใช่ไหม?”
เสิ่นเฉียวไม่รู้ควรจะตอบอย่างไรดี จึงพยักหน้าตอบอย่างเหม่อลอย
“สวย” เธอยิ้มนิดๆ แต่ว่ารอยยิ้มนี้กลับขมขื่นจนลึกเข้าไปสุดใจ คงมีเพียงเธอที่รู้อยู่ในใจคนเดียว
พูดจบแล้วเสิ่นเฉียวมองเห็นหานเส่โยวยื่นมือตนเองไปจับใบหน้าของตนเอง สีหน้าเขินอายและจับต่างหูของตนเอง “ฉันก็รู้สึกว่ามันสวย”
ในใจของเสิ่นเฉียวรู้สึกขมขื่นอย่างมาก มือที่วางอยู่ใต้โต๊ะนั้นกำลังกำไว้อย่างแน่นๆ เล็บมือเกือบจะหยิกเข้าไปในเนื้อ จากนั้นเธอก็ปล่อยมืออีกครั้ง มองไปที่ต่างหูและถามว่า: “แก….เป็นคนซื้อเองเหรอ?”
หานเส่โยวเหมือนจะตะลึงไปสักพัก จากนั้นส่ายหัว: “ไม่ใช่อยู่แล้ว เป็น…..คนอื่นมอบให้ฉันเอง!”
พูดถึงตรงนี้ ใบหน้าของหานเส่โยวแดงขึ้นมาเลย สีหน้าเต็มไปด้วยความเขินอาย
ท่าทางของเธอเช่นนี้ เสิ่นเฉียวต้องเข้าใจอยู่แล้วว่ามันหมายความว่าอะไร สีหน้าท่าทางเหมือนกำลังมีความรัก
แต่ว่า……ตอนนี้เสิ่นเฉียวกำลังคิดว่า ต่างหูคู่นั้นคงจะไม่ใช่เย่โม่เซินเป็นคนมอบให้หรอกนะ? ถึงแม้เย่โม่เซินมีใจแบบนั้น แต่เส่โยวไม่ใช่คนแบบนั้นนิ? ในขณะที่รู้แล้วว่าเย่โม่เซินกับตนเองเป็นคู่สามีภรรยากันแล้ว หานเส่โยวจะยอมรับของขวัญจากเย่โม่เซินได้อย่างไร ยังแสดงอาการที่เขินอายแบบนี้ เธอไม่ใช่คนแบบนั้น
คิดถึงแบบนี้แล้ว ในที่สุดเสิ่นเฉียวก็รู้สึกโล่งใจ จากนั้นมือที่กำไว้ด้วยกันแน่นๆจึงปล่อยออก
“ยินดีกับแกด้วยน้า” เสิ่นเฉียวขอบคุณเธออย่างจริงใจ ในใจคิด นี่คงจะเป็นแค่บังเอิญเท่านั้น
ได้ยินเธอบอกว่ายินดี สีหน้าบนใบหน้าของหานเส่โยวตะลึงไปสักพักหนึ่ง จากนั้นเธอกระพริบๆตาและมองดูเสิ่นเฉียวอย่างเงียบๆกะทันหัน
เสิ่นเฉียวถูกเธอมองมาจนมีความแปลกใจ จึงถามกลับไปว่า: “ทำไมเหรอ?”
หานเส่โยวร้องอ้า!ออกมาหนึ่งเสียง จากนั้นส่ายหัวบอกว่าไม่มีอะไร พนักงานมาเสิร์ฟของหวานพอดี หานเส่โยวหยิบช้อนขึ้นมาตักเนยหนึ่งคำและทานลงไป “ดีจังเลย”
กาแฟของเสิ่นเฉียวถูกส่งมาแล้ว เธอดื่มไปหนึ่งคำ มันขมจนเข้าไปข้างในใจ
ถึงจะพยายามปลอบใจตนเองสุดๆแล้ว แต่ในใจก็ยังรู้สึกกังวลอย่างมาก ต่างหูคู่นั้น……มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญจริงๆหรือ?
ตอนที่ทั้งสองจะจากกันนั้น หานเส่โยวจับมือของเสิ่นเฉียวอย่างกะทันหัน ถามด้วยเสียงเบาๆว่า: “เฉียวเฉียว ฉันอยากจะบอกเธอเรื่องหนึ่ง แต่ว่า……ไม่รู้ว่าควรเอ่ยปากพูดกับเธอยังไง”
ได้ยินเช่นนั้น เสิ่นเฉียวรู้สึกหางตากระตุกอย่างแรง เสียงของเธอสั่นเล็กน้อย
“เรื่อง เรื่องอะไรเหรอ?”
หานเส่โยวจ้องมองเธอสักพัก สีหน้าก็ไม่ได้อ่อนโยนเหมือนก่อนหน้านั้นแล้ว แต่กลายเป็นความเศร้าขึ้นมาหน่อย มองจากสายตาเธอแล้ว เหมือนทำอะไรที่ผิดต่อเธออย่างนั้น สายตาแบบนี้ทำให้ในใจของเสิ่นเฉียวสะเทือน
“ช่างเถอะ ไม่พูดแล้วจะดีกว่า” หานเส่โยวถอนหายใจแรงๆ ก้มหน้าลงและปิดปากเงียบไม่พูดอีก
เสิ่นเฉียว : “……แกพูดสิ ความสัมพันธ์ระหว่างเรา ไม่มีอะไรพูดไม่ได้”
หานเส่โยวส่ายหัว: “ยังไม่ถึงเวลาอันสมควร รอถึงเวลานั้นฉันจะบอกเธอ เฉียวเฉียว……ไม่ว่าเมื่อไหร่ แกจะต้องจำไว้ เราเป็นเพื่อนรักกัน แกต้อง……เชื่อใจฉันนะ!”
เธอกอดแขนของเสิ่นเฉียวไว้แน่นๆ มองดูเสิ่นเฉียวและพูดอย่างจริงจัง
ตอนแรกเสิ่นเฉียวปลอบใจตนเองแล้ว แต่ในวันนี้คำพูดของหานเส่โยวที่จะพูดแต่ก็ไม่พูด ยิ่งทำให้เธอใจหาย มองดูหานเส่โยวอย่างลำบากใจและกัดริมฝีปากไว้: “เส่โยว เราเป็นเพื่อนรักเพื่อนสนิทกัน ฉันต้องเชื่อใจเธออยู่แล้ว แต่……อะไรคือถึงเวลาเหมาะสมตอนไหน? ตกลงแกมีอะไรปิดบังฉันหรือ?”
“ไม่มีอะไร เสิ่นเฉียวแกอย่างคิดมาก วันหลังฉันต้องบอกแกแน่นอน แต่แกต้องเชื่อใจฉัน เราจะเป็นเพื่อนรักกันตลอดไป”
สุดท้าย หานเส่โยวก็ไม่พูดอะไรกับเธอ เสิ่นเฉียวไม่มีทางอื่น หลังจากที่จากกับเธอแล้ว กลับบ้านไปอย่างสลดหดหู่ใจ
เดินไปครึ่งทาง เสิ่นเฉียวนึกถึงร้านนั้นในครั้งก่อน ดังนั้นจึงรีบบอกคนขับ: “พี่คะ รบกวนกลับรถหน่อยค่ะ!”
จากนั้นเสิ่นเฉียวบอกที่อยู่ใหม่ให้แก่คนขับรถ คนขับจึงส่งเธอไปตามที่อยู่ใหม่
หลังจากลงรถแล้ว เสิ่นเฉียวรีบเดินเข้าไปร้านจิวเวลรี่ร้านนั้น
เพิ่งเดินเข้าไป ก็เจอพนักงานขายที่ครั้งก่อนนำต่างหูให้เธอลองใส่พอดี พนักงานขายยังจำเธอได้ มองเห็นเธอก็รีบยิ้มให้
“สวัสดีค่ะ”
เพราะว่าเรื่องของวันนั้น ดังนั้นเสิ่นเฉียวมีความเขินอายนิดๆ จึงยิ้มแย้มให้เธอ
พนักงานขายเอ่ยปากพูดก่อน “สวัสดีค่ะ คุณผู้หญิง ท่านมาดูต่างหูคู่นั้นเหรอคะ?”
นึกไม่ถึงว่าเธอยังจำตนเองได้จริงๆ เสิ่นเฉียวได้แค่พยักหน้า: “อื่ม”
“คุณผู้หญิงต้องการซื้อกลับไปเหรอคะ?”
เสิ่นเฉียวส่ายหัว: “ฉันแค่อยากจะถามดู ว่าต่างหูคู่นั้น……”
“สวัสดีค่ะ คุณผู้หญิง วันนั้นคุณผู้ชายคนนั้นได้มาซื้อต่างหูกลับไปแล้วในวันที่สอง ต้องมาซื้อให้คุณแน่ๆเลย คุณโชคดีจริงๆเลยนะคะ เพื่อนของคุณก็เคยมา นึกไม่ถึงว่าคุณก็มา……”
เสิ่นเฉียวขยับๆปาก รู้สึกเขินอายมาก
“ที่จริงแล้วฉันก็แค่อยากถามว่า ต่างหูคู่นั้น……ยังมีอีกไหม” เธอสงสัยอย่างมาก ต่างหูคู่นั้นมีแบบเดียวกันหรือไม่ เธอหวังว่ามันเป็นแค่เรื่องบังเอิญจริงๆ
“แบบเดียวกัน?” พนักงานขายตอนแรกก็ตะลึง หลังจากนั้นสักพักถึงรู้สึกได้ ว่าสิ่งที่เธอพูดหมายความว่าอะไร: “คุณผู้หญิงท่านวางใจได้ค่ะ ต่างหูคู่นั้นออกแบบพิเศษ ในตลาดมีเพียงหนึ่งคู่ชั่วคราว”
ในตลาดมีเพียงหนึ่งคู่เท่านั้น?
“ชั่วคราว?”
“ใช่ค่ะ สินค้าของร้านเราส่วนใหญ่จะมีเพียงแบบเดียว ขายออกไปแล้วถึงจะพิจารณาสั่งทำแบบเดียวกันอีก”
ได้ยินเช่นนี้แล้ว ในที่สุดเสิ่นเฉียวฟังก็เข้าใจแล้วและถามว่า: “ถ้าฉันอยากได้คู่ที่สอง สั่งตอนนี้ต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ถึงจะได้คะ?”
พนักงานขายคิดไปสักพัก ให้คำตอบเธอ
“เวลาจากการซื้อขายจนถึงมือท่าน ระหว่างนี้ต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือนกว่าค่ะ คุณผู้หญิง”
หนึ่งเดือนกว่า……
เสิ่นเฉียวก็ยังไม่ตายใจ: “แล้วมีแบบที่คล้ายๆกันไหมคะ?”
“สีชมพูมีแค่คู่นี้ชั่วคราวเท่านั้นค่ะ”
ความหวังเล็กๆสุดท้ายในใจของเสิ่นเฉียว สุดท้ายก็ถูกทำลาย
ดังนั้น……คำพูดที่พูดแล้วหยุดของหานเส่โยวมันเกี่ยวกับต่างหูคู่นี้หรือ?
ต่างหูคู่นั้น ที่จริงแล้วก็คือเย่โม่เซินเป็นคนมอบให้หานเส่โยว?
นึกถึงเช่นนี้แล้ว เสิ่นเฉียวกัดริมฝีปาก ตรงหน้าเริ่มโลกหมุน
มีชั่วขณะหนึ่ง เธอรู้สึกว่าตนเองเหมือนจะล้มลงไป โชคดีที่พนักงานขายมองเห็นสีหน้าเธอไม่ปกติ รีบพยุงเธอไว้
“คุณผู้หญิงท่านเป็นอะไรไหม?”