เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่ / เจ้าสาวมือสองของคุณชายพิก… - บทที่ 310 เขาไม่ยอมเจอเธอ
ยี่สิบนาทีหลังจากนั้น ในที่สุดรถของเซียวซู่ก็ได้มาถึงวิลล่าไห่เจียง แต่กลับถูกหยุดไว้ที่หน้าประตู เซียวซู่เลิกคิ้วและโบกมือให้คนเฝ้าประตู แต่คนเฝ้าประตูก็ยังไม่ปล่อยพวกเขาเข้าไป
เซียวซู่ไม่เข้าใจ ทำได้เพียงหันมาบอกเสิ่นเฉียว: “คุณนายน้อยรออยู่ในรถสักครู่ ผมจะรอไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ได้” เสิ่นเฉียวพยักหน้า แล้วมองเซียวซู่เปิดประตูรถลงไป
หลังจากปิดประตูรถ เสิ่นเฉียวไม่ได้ยินว่าพวกเขากำลังพูดอะไรกัน เห็นเพียงแค่เซียวซู่เดินไปคุยกับพวกเขาไม่กี่คำจู่ ๆ เซียวซู่ก็หันกลับมามองเธออย่างกะทันหัน สายตาของเขาซับซ้อนเกินไป จากนั้นเขาก็หันกลับไปอีกครั้ง ดูเหมือนว่ากำลังเถียงกับคนเฝ้าประตู
แต่รออยู่นาน เขาก็ยังไม่กลับมา
เสิ่นเฉียวกลืนน้ำลายอย่างประหม่า ในใจก็พอจะเดาได้
เธอเงียบไปพักหนึ่งและในที่สุดก็ผลักประตูแล้วลงจากรถ
“เซียวซู่ เกิดอะไรขึ้น?”
เมื่อได้ยินเสียงของเธอ เอวของเซียวซูก็เหยียดตรงทันที จากนั้นเขาก็วิ่งไปหาเสิ่นเฉียวอย่างรวดเร็ว: “คุณนายน้อย ไม่มีอะไรครับ ผมกำลังคุยกับพวกเขา”
สายตาของเสิ่นเฉียวมองผ่านไหล่ของเซียวซู่และหยุดลงที่คนเฝ้าประตูที่อยู่ข้างหลังเหล่านั้น
คนเหล่านี้ต่างก็รู้จักเธอ แต่ในตอนนี้กลับถอยห่างออกไปเล็กน้อยหลังจากที่ได้ สบตากับเธอแล้วไม่กล้ามองสบตาเธอตรง ๆ พอเห็นแค่นี้ เสิ่นเฉียวก็ ยิ่งเป็นการยืนยันสิ่งที่เธอคาดเดาอยู่ในใจ ดวงตาของเธอสั่นไปสักพัก แล้วเอ่ยถามอย่างเรียบ ๆ ว่า: “เขาไม่ยอมให้ฉันเข้าไป ใช่ไหม?”
พอได้ยิน สีหน้าของเซียวซู่ ก็เปลี่ยนเป็นดูไม่ได้ขึ้นมา เขามองไปที่เสิ่นเฉียวอย่างสับสนแล้วอธิบายว่า: “ ไม่ใช่แบบนั้นนะคุณนายน้อย คืนนี้คุณชายเย่รอคุณนายน้อยมาทั้งคืน จะต้องโกรธเพราะเรื่องนี้แน่นอน ดังนั้น…”
“ดังนั้น…เขาก็เลยไม่อยากให้ฉันเข้าไป เป็นแบบนี้ใช่ไหม?” เสิ่นเฉียวหลุบสายตาลง จ้อง มองนิ้วเท้าที่มีเลือดออกของตน “ เขาไม่คิดที่จะฟังฉันอธิบายแม้แต่ประโยคเดียวเลยใช่ไหม?”
“ คุณนายน้อย…”
“เซียวซู่ ในเมื่อพวกเขาไม่ให้ฉันเข้าไป อย่างนั้นนายก็เข้าไปเองเถอะ”
“แต่ว่าคุณนายน้อย…”
“รบกวนนายบอกกับเขาหน่อย ว่าฉันจะรอเขาอยู่ตรงนี้ ฉันอยากเจอเขา ฉันมีเรื่องมากมายที่อยากจะบอกเขา ขอร้องล่ะ!”
“อย่างนั้นก็ได้ คุณนายน้อยรอผมอยู่ตรงนี้ ผมจะรีบเข้าไปบอกกับคุณชายเย่”
“อืม”
ก่อนที่เซียวซู่จะจากไปก็ได้มองคนเฝ้าประตูเหล่านั้นอย่างกล่าวเตือนแวบหนึ่ง หลังจากนั้นก็ขับรถเข้าไป
ประตูของวิลล่าไห่เจียงใหญ่ขนาดนี้ กลับมีเพียงคนเฝ้าประตูสองสามคนอยู่กับเสิ่นเฉียว
เสิ่นเฉียวยืนอยู่ค่อนข้างไกล ชุดราตรีที่เธอสวมใส่พอเจอสายลมในยามค่ำคืนยิ่งทำให้ดูอ่อนแอเปล่าเปลี่ยวและเดียวดาย ลาดไหล่ที่เกลี้ยงเกลานั้นกลับยิ่งดูบอบบางอ่อนแอ วินาทีนั้นสายลมที่พัดมาก็ทำให้ผู้คนเห็นเหมือนเป็นภาพลวงตา
หนึ่งในนั้นทนไม่ไหวแล้วพูดว่า: “คุณนายน้อย คุณมารอตรงนี้เถอะ คืนนี้ลมแรงเกินไปแล้ว คุณจะเป็นหวัดเอาได้ ถึงตอนนั้นคุณชายเย่ก็คงจะตำหนิพวกเรา”
พอได้ยิน ริมฝีปากของเสิ่นเฉียวก็ขยับ สายตามองผ่านพวกเขาไป
จะตำหนิพวกเขาเหรอ? เขาไม่อยากให้เธอเข้าไป จะคิดถึงความปลอดภัยหรือความอันตรายของเธอที่ไหนกัน
พอคิดถึงตรงนี้ เสิ่นเฉียวก็หลุบสายตาลงอีกครั้ง ไม่ได้เอ่ยปากอีก
เธอไม่เข้าไป คนเฝ้าประตูสองสามคนก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เสิ่นเฉียวยืนเหม่อลอย พวกเขาก็ทำได้เพียงเหม่อมองเธอ
อันที่จริงพวกเขาดูออกที่ไหนกัน ว่าคุณชายเย่กำลังโกรธเสิ่นเฉียว แต่ในความเป็นจริงความรู้สึกก็ยังคงอยู่นั่นแหละ อย่างไรเสียเธอก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่คุณชายเย่พามาที่วิลล่าไห่เจียง แต่เพราะเป็นคนรักที่อยู่ในใจ เวลาโกรธขึ้นมาก็เลยยิ่งรุนแรงใช่ไหม?
แต่นั่นมันเป็นเพียงเรื่องในตอนนี้ เรื่องหลังจากนี้จะใครก็พูดไม่ได้
ถ้าไม่ใช่เพราะคำสั่งตายของคุณชายเย่ที่บอกก่อนเข้ามาว่า ไม่อนุญาตให้เสิ่นเฉียวเข้าประตูใหญ่นี้ พวกเขาทั้งหมดเลยต้องทนทุกข์ทรมานพวกเขาอยากจะเปิดตาข้างหนึ่งปิดตาข้างหนึ่งจริง ๆ
อย่างไรก็ตามทุกคนต่างรู้สึกได้ว่า นับตั้งแต่ที่เสิ่นเฉียวเข้ามาในวิลล่าไห่เจียง อารมณ์ของคุณชายเย่ก็ค่อนข้างดีกว่าเมื่อก่อนมาก แถมยังกลับมาที่นี่ทุกวัน
นี่เป็นสถานการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน
นี่คงจะเพียงพอที่จะยืนยันว่าเสิ่นเฉียวมีความสำคัญมากเป็นพิเศษ
ไม่รู้ว่ายืนอยู่ท่ามกลางลมหนาวมานานแค่ไหนจนเสิ่นเฉียวรู้สึกว่าแขนของตนเองถูกลมหนาวพัดจนเป็นเหน็บชา ในที่สุดเธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบ
เมื่อเธอเงยหน้าขึ้น ก็เห็นเซียวซู่กำลังรีบวิ่งมาหาตนเอง
“เซียวซู่…”ริมฝีปากของเสิ่นเฉียวขยับเล็กน้อยแล้วเรียกชื่อของเขา แต่เสียงนั้นแผ่วเบาจนแม้แต่ตัวเองก็แทบจะไม่ได้ยิน แถมเสียงนั่นก็กำลังสั่นอยู่
หนาวเกินไปแล้ว
สวมชุดราตรีแขนกุดยืนรับลมในตอนกลางคืนนานขนาดนี้
เซียวซู่เดินไปตรงหน้าเธอ แต่ใบหน้าของเขาก็ยังคงดูไม่ได้อยู่ดี แถมมือของเขายังดูเหมือนจะถือเอกสารเพิ่มขึ้นมีอีกหนึ่งฉบับ
“คุณนายน้อย…”เซียวซู่มองเธอด้วยสายตาที่ซับซ้อนราวกับว่าเขาอยากพูดแต่ก็พูดไม่ได้
เสิ่นเฉียวกระพริบตาและถามเบา ๆ “เขาไม่ยอมเจอฉันเหรอ?”
เซียวซู่หลบสายตาของเธอ แล้วพยักหน้า: “คุณชายเย่ยังโกรธอยู่ ยังไม่อยากเจอคุณตอนนี้ คุณนายน้อย…คุณลองมาวันอื่นดีไหม?”
“……”
เสิ่นเฉียวไม่ได้พูดต่อ แน่นอนว่าเธอไม่สามารถที่จะเปลี่ยนวันแล้วมาอีกได้แล้ว
“นายได้นำคำพูดเหล่านั้นของฉันไปบอกเขาแล้วใช่ไหม?”
เซียวซู่นึกถึงสถานการณ์ตอนนั้นขึ้นมา ในความเป็นจริงแล้วท่าทางของเย่โม่เซิน ทำให้คนหวาดกลัวมากเกินไปแล้ว หลังจากที่เขาเข้าไปและพูดในสิ่งที่เสิ่นเฉียวขอให้เขานำไปบอกแล้ว ก็ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างเย็นชาของเย่โม่เซิน “มีอะไรให้พูดอีก? ฉันรอเธอทั้งคืนแต่กลับไม่มาตอนนี้ยังแกล้งทำเป็นน่าสงสาร นายไปบอกเธอ ครั้งนี้ฉันจะไม่เชื่อคำพูดไร้สาระของเธออีกแล้ว”
“แต่ว่าคุณชายเย่…คุณนายน้อยเธอ!”
ตอนนั้นเซียวซู่ยังอยากจะพูดเรื่องที่เสิ่นเฉียวได้รับบาดเจ็บออกไปแต่กลับถูกเย่โม่เซินตัดบทด้วยน้ำเสียงเย็นชาทันที: “คุณนายน้อย? เธอคู่ควรเหรอ?”
พอพูดจบ ก็โยนเอกสารฉบับหนึ่งลงตรงหน้าเขา
“ไม่ใช่ว่าเธออยากได้สิ่งนี้มาตลอดเหรอ? เอาให้เธอ แล้วบอกให้เธอใส่หัวไป”
เซียวซู่: “…”
เขาหยิบเอกสารตรงหน้าขึ้นมาดูแวบหนึ่ง ในขณะนั้นก็ตกใจอย่างมาก!
“คุณชายเย่ แต่นี่มัน…คุณแน่ใจจริง ๆ ใช่ไหมว่าจะเอาสิ่งนี้ให้คุณนายน้อย?”
“จำไว้ หลังจากนี้เธอไม่ใช่คุณนายน้อยสองของตระกูลเย่อีกต่อไป”
“คุณชายเย่!”
“ไสหัวไป!”
เย่โม่เซินสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เซียวซู่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม เย่โม่เซินกลับเริ่มโมโหขึ้นมาแล้ว ทันใดนั้นยกมือกวาดสิ่งของบนโต๊ะลงไป
โครม!
เมื่อรู้สึกได้ถึงความโกรธของเขา เซียวซู่ก็รู้ว่าตนเองไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป เขาทำได้เพียงหยิบเอกสารแล้วหันหลังจากไป
“สิ่งนี้ เป็นเขาที่ให้ส่งต่อให้ฉันใช่ไหม?” เสิ่นเฉียวมองไปที่เอกสารฉบับนั้นแล้วสอบถาม จากนั้นก็เอื้อมมือไปหยิบมัน
เซียวซู่หน้าเปลี่ยนสีแล้วถอยหลังไปก้าวหนึ่ง “คุณนายน้อย!”
ถึงแม้ว่าคุณชายเย่จะขอให้เขามอบสิ่งนี้ให้กับเสิ่นเฉียว แต่เขาก็ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะให้สิ่งนี้กับเธอดีหรือไม่ อย่างไรเสีย…คืนนี้คุณชายเย่ก็แค่โกรธมากเกินไปจริง ๆ แล้ว ตอนที่คนกำลังโมโห ก็มักจะตัดสินใจอย่างไร้เหตุผลออกมา
อย่างเช่นสิ่งนี้ในตอนนี้ เขาไม่รู้ว่าเย่โม่เซินจะเสียใจในภายหลังหรือไม่ ถึงเวลานั้นจะตำหนิเขาไหม? ในความเป็นจริงไม่ว่าเขาจะเสียใจที่หลังหรือไม่ สุดท้ายคนที่โชคร้ายที่สุดก็คงจะเป็นตัวเขาเองแล้ว
ดังนั้น เขายังคงต้องคิดเรื่องนี้ให้ดี ๆ ถึงจะถูก
“เอาให้ฉันเถอะ” เสิ่นเฉี่ยวยิ้มให้เขาเล็กน้อย: “ในเมื่อเขาสั่งให้นายเอาให้ฉัน นายก็อย่าลังเลแล้ว”