เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่ / เจ้าสาวมือสองของคุณชายพิก… - บทที่ 343 ฉันจากไปเองได้
เสิ่นเฉียวนั้นไม่ได้คาดคิดไว้จริง ๆ จังหวะที่กำลังจะล้มลงไปข้างหน้า โชคดีที่เธอนั้นจับที่เท้าแขนที่อยู่ข้าง ๆ ได้ทัน จึงไม่ได้ล้มตกลงไป
หลังจากที่ยืนได้มั่นคงแล้ว เสิ่นเฉียวก็ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งจากด้านหลัง
“ฮ่า ๆ ๆ พวกเธอดูมันสิน่าขายหน้าจริง ๆ ฉันจะบอกให้พวกเธอฟังนะ ผู้หญิงที่ถูกทิ้งแบบนี้ก็จะเป็นแบบเธอนี้แหละ ช่างน่าอัปลักษณ์จริง ๆ เลย”
เสิ่นเฉียวหายใจเข้าลึก ๆ หนึ่งที หลังจากที่ยืนนิ่งได้แล้วก็หันตัวกลับไป
เฉียงเวยเอามือทั้งสองข้างวางไว้ที่อก และตั้งใจที่จะทำสายตาเยาะเย้ยไปที่เธอ: “ทำไม?เธอไม่พอใจเหรอ?”
เสิ่นเฉียวมองเธออยู่ครู่ใหญ่ แล้วจู่ ๆ ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและโทรออก
“อยากได้กำลังเสริมงั้นเหรอ?แต่เธออย่าลืมสิ ว่าตอนนี้น่ะเธอเป็นแค่ผู้หญิงที่ถูกทิ้ง เธอยังมีกำลังเสริมที่ไหนมาช่วยได้อีกงั้นเหรอ?เหอะ……” เฉียงเวยชักมุมปากขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มที่แสดงออกถึงความเย้ยหยันอย่างขีดสุด
แต่ไม่นานนัก หลังจากที่ได้ยินสิ่งที่เสิ่นเฉียวพูดขึ้นมาแล้วนั้น รอยยิ้มยิ้มที่มุมปากของเธอก็หายไปในทันที
“ฮัลโหลสวัสดีค่ะ 110 ใช่มั้ย?ที่นี่คือประตูของบริษัทตระกูลเย่ในเมืองเป่ย ฉันมีเรื่องจะรายงาน”
สีหน้าของเฉียงเวยเปลี่ยนไปมาก รายงาน?เธอต้องการจะรายงานอะไรกัน?
“สันนิษฐานว่าจะมีการฆาตกรรม ใช่ค่ะ ฉันกำลังท้องอยู่ ผู้หญิงคนนั้นคิดที่จะทำร้ายเด็กที่อยู่ในท้องของฉัน อื้ม เดี๋ยวฉันส่งที่อยู่ให้คุณ รบกวนคุณช่วยรีบมาช่วยเหลือด้วย”
เมื่อได้ยินเธอพูดว่าตั้งท้อง สีหน้าของเฉียงเวยก็เปลี่ยนไปดูเลวร้ายลงในทันที
เป็นไปไม่ได้น่า เธอตั้งท้องลูกของเย่โม่เซินอยู่อย่างงั้นเหรอ?งั้นวันนี้ที่เธอมาก็เพื่อ……?
หลังจากวางสายไป เสิ่นเฉียวก็เก็บมือถือไป และใช้สายตามองไปที่เฉียงเวยอย่างนิ่ง ๆ
เฉียงเวยมีอาการหน้าซีด กัดปากและถามเธอขึ้น: “ท้องงั้นเหรอ?เธอโกหกรึเปล่า?แถมยังบอกสันนิษฐานว่าฉันจะฆาตกรรมอีก ฉันไปฆ่าเธออะไรที่ไหนกัน?”
“หึ เธอน่ะไม่ได้ฆ่าฉัน แต่เมื่อกี้เธอผลักฉันแล้ว ถ้าหากว่าไม่ใช่เพราะฉันประคองตัวขึ้นมาได้เองแล้วฉันตกลงไปแล้วล่ะก็ ลูกของฉันเป็นอะไรไปขึ้นมาแล้วล่ะก็ ทั้งหมดนั่นน่ะเป็นความผิดของเธอ!”
เฉียงเวย: “……”
พวกกลุ่มคนที่อยู่รอบ ๆ เฉียงเวยเองก็ได้ยินชัดถึงสิ่งที่เสิ่นเฉียวเพิ่งจะพูดและประกาศออกมา
“เธอเรียกตำรวจมาแล้วจริง ๆ ด้วย งั้นพวกเราจะโดนพ่วงไปด้วยมั้ยเนี่ย?”
“เรื่องนี้ไม่น่าที่จะเกี่ยวข้องกับพวกเราหรอก?เฉียงเวยเป็นคนที่ผลักเธอนะ ถ้าจะจับก็ต้องจับเฉียงเวยสิ พวกเราไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยสักหน่อย”
ดังนั้นคนพวกนั้นจึงค่อย ๆ เขยิบออกห่างจากเฉียงเวยเล็กน้อย อย่างเงียบ ๆ แต่ว่าเฉียงเวยนั้นจะไม่รู้ตัวได้อย่างไรกัน?เธอหันกลับไปจ้องมองพวกเธอด้วยความโกรธ และพูดขึ้น: “พวกเธอทำอะไรกันน่ะ?ผู้หญิงคนนี้น่ะกำลังหลอกอยู่พวกเธอดูไม่ออกรึยังไงกัน?เธอจะไปตั้งท้องได้ยังไง?นี่น่ะมันก็แค่โกหกพวกเธอก็เท่านั้นเอง!”
“ฉันท้องหรือไม่ท้องเธอก็รู้งั้นเหรอ?เธอส่งคนมาสะกดรอยตามฉันตลอด 24 ชั่วโมงเลยอย่างนั้นเหรอ?ถึงได้ทำเหมือนกับว่ารู้ถึงสถานการณ์ของฉันดีแบบนี้?”
“ใครสะกดรอยตามเธอกัน?เธอบ้ารึเปล่า?”
เสิ่นเฉียวยิ้มอย่างเย็นชา: “ถ้าเกิดว่าไม่ได้สะกดรอยตามฉัน งั้นเธอจะรู้ได้ยังไงกันล่ะว่าจริง ๆ แล้วฉันน่ะท้องหรือไม่ได้ท้อง?ช่างเถอะ เรื่องพวกนี้ฉันขี้เกียจที่จะพูดกับพวกเธอแล้ว ยังไงก็รอตำรวจมา พวกเธอก็ไปเคลียร์กับตำรวจเอาเองก็แล้วกัน”
คนอื่นเมื่อได้ยินเธอพูดจากโหดร้ายเช่นนั้น ก็รีบถอยหนีไปด้วยความตื่นตกใจในทันที
“เธอเรียกตำรวจมาแล้วจริง ๆ งั้นพวกเราไปกันดีกว่า ขืนอยู่ที่นี่ต่อไม่ช้าก็เร็วก็จะโดนพ่วงไปด้วยเอา”
“ไปกันเถอะ ๆ เฉียงเวยมีความแค้นส่วนตัวกับเธอ ทำไมถึงต้องลากพวกเราไปด้วยกันล่ะ?พวกเรากับเธอน่ะก็ไม่ได้มีความคับข้องใจอะไรต่อกันสักหน่อย”
กลุ่มคนเหล่านั้นจึงพร้อมใจกันจากไป เพียงพริบตาเดียวก็เหลือเพียงแต่เฉียงเวยตัวคนเดียว
เฉียงเวยทำอะไรไม่ถูก เพียงแค่พริบตาเดียวความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับเสิ่นเฉียวก็หมดไป เธอโกรธจนโวยวายขึ้น: “ไอ้พวกขี้ขลาด!เธออย่าคิดนะว่าแค่เธอเรียกตำรวจแล้วฉันจะกลัว คอยก่อนเถอะ”
หลังจากที่เฉียงเวยโวยวายเสร็จ ก็หันหลังกลับและหนีหายไปทันที
เสิ่นเฉียวเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า ก็อดไม่ได้ที่จะเอามือขึ้นมาลูบไปที่คิ้วของเธอ หลังจากนั้นก็มองไปที่โทรศัพท์ของตัวเอง อันที่จริงแล้วเธอนั้นไม่ได้โทรออกไปเลยแม้แต่น้อย ก็แค่ขู่พวกเธอก็เท่านั้นเอง
โชคดีที่ตกขู่ได้ผล ไม่งั้นก็คงเอาแต่อยู่ที่นี่แล้วก็สร้างปัญหาก่อกวนเธอไม่รู้จบ
เสิ่นเฉียวไม่ได้คิดที่จะลงมือจัดการพวกเธอจริง ๆ
แล้วก็ไม่รู้ว่ารอมานานเท่าไรแล้ว แต่ในที่สุดพวกพนักงานรักษาความปลอดภัยก็กลับมาแล้ว
ที่ตามมาด้านหลังนั่นก็คือเซียวซู่ เมื่อเซียวซู่เห็นเธอ ก็รีบตรงเข้ามาทันที
“คุณนายน้อยสอง。”
เมื่อได้ยินว่าถูกเรียกเช่นนั้น เสิ่นเฉียวก็ก้มหน้าและขดตัวลงเล็ก หลังจากนั้นเธอก็สงบลงและพูดขึ้นด้วยเสียงเบา ๆ ว่า: “เซียวซู่ ฉันไม่ใช่คุณนายน้อยสองของตระกูลเย่แล้ว หลังจากนี้เรียกชื่อฉันเฉย ๆ ก็พอ”
เมื่อได้ยิน เซียวซู่ก็ถึงกับงงไปพักใหญ่ แล้วจึงพูดขึ้น: “คุณนายน้อยสอง คุณชายเย่ก็แค่กำลังอยู่ในอารมณ์โกรธ อะไรก็ตามที่ตัดสินใจทำลงไปในตอนนี้ก็ล้วนไม่ได้มีสติทั้งนั้น”
“ไม่มีสติ?” เสิ่นเฉียวยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อย: “นายคิดอย่างนั้นจริง ๆ น่ะเหรอ?เย่โม่เซินเป็นคนยังไง นายน่ะน่าจะรู้ดียิ่งกว่าฉันอีกนะ ที่สามารถตัดสินใจแบบนี้ออกมาได้ เขาน่ะจะต้องผ่านการคิดมาอย่างถี่ถ้วนแล้ว แม้แต่ใบเซ็นหย่าเองก็ส่งมาถึงมือฉันแล้ว นี่ก็ชัดเจนแล้วว่าไม่มีทางที่จะหวนกลับไปได้แล้ว”
“นั่นมัน……”
“ฉันยินยอมที่จะหย่า” เสิ่นเฉียวเม้มปากแน่น หลังจากนั้นก็คิดอยู่พักหนึ่งแล้วก็พูดขึ้น: “ดังนั้นวันนี้ฉันน่ะไม่ได้มายื้ออะไร นายพอจะให้พบเค้าหน่อยได้มั้ย?”
เซียวซู่: “เรื่องนี้……ผมคงต้องไปถามคุณชายเย่ดูก่อน”
“ได้ ฉันจะรอนะ”
เซียวซู่กลับไปถามเย่โม่เซิน ความเร็วของเซียวซู่นั้นรวดเร็วกว่าพนักงานรักษาความปลอดภัยพวกนั้นเป็นอย่างมาก ผ่านไปเพียงไม่กี่นาทีก็กลับมาแล้ว ใบหน้าของเขาแสดงท่าทีร้อนรนออกมา “มาเร็ว อีก 5 นาทีหลังจากนี้คุณชายเย่จะมีประชุม ในช่วงก่อนหน้านั้นคุณชายเย่ตอบรับที่จะเจอเธอแล้ว เธอต้องการที่จะพูดอะไรก็รีบพูดล่ะ”
พูดจบเซียวซู่ก็ลากตัวเธอตรงเข้าไปด้านหน้า เสิ่นเฉียวที่แทบจะตามฝีเท้าของเขาไม่ทันนั้น ในใจก็ยิ่งรู้สึกขมขื่นยิ่งขึ้น
ให้เวลาเธอแค่ 5 นาทีเท่านั้นเองหรือ?
หักเวลาที่ขึ้นไปแล้ว ก็คงมีเวลาไม่ถึง 3 นาทีด้วยซ้ำ
แต่ก็ช่างเถอะ ยังไงไม่ว่าจะกี่นาทีหรือว่ากี่ชั่วโมง เธอก็ต้องการเพียงแค่พูดให้ชัด ๆ ก็เพียงพอแล้ว
เมื่อถึงห้องทำงานชั้นบน เซียวซู่ก็ยืนอยู่ที่ประตู: “คุณชายเย่นั้นอยู่ด้านใน ยังมีเวลาเหลือก่อนที่จะประชุม 3 นาที คุณนายน้อยสองรีบเข้าไปเถอะ”
เสิ่นเฉียวก้าวไปข้างหน้า และเปิดประตูออก
เย่โม่เซินนั่งอยู่บนวีลแชร์ ในตอนนั้นเขานั้นอยู่ที่ด้านหน้าหน้าต่างฝรั่งเศส เขานั้นกำลังหันหลังให้กับตัวเธออยู่ และจากที่เห็นนั้นดูเหมือนว่าเขากำลังมองออกไปยังวิวที่อยู่ด้านล่างนั่น
คิดอยู่ครู่หนึ่ง เสิ่นเฉียวก็ตัดสินใจที่จะก้าวเดินตรงไป
“ฉันมีเรื่องจะพูดกับนาย”
เย่โม่เซินแม้แต่หน้าก็ไม่หันมา บรรยากาศที่แผ่ออกมาจากตัวของเขานั้นมีแต่ความเย็นยะเยือก
เขานั้นไม่ได้ตอบเธอกลับ ผ่านไปพักหนึ่งจึงอดทนไว้ไม่ไหวและพูดขึ้น: “มีเรื่องอะไรก็รีบพูด ฉันยุ่งมาก”
เสิ่นเฉียว: “……นายไม่มีความอดทนขนาดนี้เลยเหรอ?ยังไงมันก็แค่ 3 นาทีเท่านั้นเอง”
เก้าอี้วีลแชร์นั้นหันมา เย่โม่เซินเผชิญหน้ากับเธอแล้ว ใบหน้าของเขานั้นแสดงออกถึงความเย็นชาถึงขีดสุด
“ถ้าเธอเองก็รู้ว่ามีเวลาแค่ 3 นาที งั้นก็อย่าพูดอะไรไร้สาระ”
พูดจบ เขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา และพูดเตือนเธออย่างเย็นชา: “เธอยังมีเวลาอีก 2 นาทีครึ่ง ถ้าหากไม่มีอะไรที่จะพูดก็ออกไปได้แล้ว”
“เย่โม่เซิน นายไม่ต้องรีบไล่ฉันไปขนาดนั้นหรอก พอหลังจากที่ฉันพูดจบ และจัดการเรื่องที่ต้องทำเสร็จสิ้นแล้ว ไม่ต้องให้นายพูดฉันก็คงออกไปจากที่นี่เองอยู่ดี”
เย่โม่เซินจ้องเธออย่างเอาเป็นเอาตาย
ไม่เจอเพียงไม่กี่วัน เธอกลับดูเปลี่ยนไปอย่างไม่คาดคิด แล้วก็……ยังแต่งหน้าด้วยการทาลิปสติกสีแดงอีกด้วย ดูแล้ว……ก็รู้สึกได้ถึงออร่าที่ออกมาอยู่หน่อย ๆ
เธอต้องการที่จะพูดอะไรกับตนกันแน่?เย่โม่เซินเอาแต่จ้องขมวดคิ้วโดยไม่พูดอะไร