เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่ / เจ้าสาวมือสองของคุณชายพิก… - บทที่ 348 ให้ความสำคัญกับเธอ
“คนพวกนี้ก็แปลกนะ เธอก็เป็นแค่นักออกแบบเสื้อผ้า ถ่ายเธอไปแล้วจะได้ข่าวใหญ่อะไรกัน ไม่แปลกเลยที่หนังสือพิมพ์เดี๋ยวนี้ไม่มีอะไรที่น่าอ่านเอาซะเลย แทนที่จะทำแบบนี้สู้ไปถ่ายพวกเน็ตไอดอลตัวน้อย ๆ ยังจะดีซะกว่า อย่างน้อยพวกนั้นก็อาจจะมีโอกาสดังขึ้นมาได้ คอนเทนต์ที่ถ่ายก็อาจที่จะสามารถเอามาฉายได้ในอนาคต เธอว่าใช่มั้ยล่ะ?”
เสี่ยวเหยียนพูดจาถากถางหานมู่จื่ออย่างไม่เกรงใจ ระหว่างที่ถากถางนั้นเธอก็ยิ้มไปด้วย
เมื่อได้ยิน ฝีก้าวของหานมู่จื่อก็ชะงักลง หันหน้ากลับพร้อมกับดึงมุมปากและจ้องเสี่ยวเหยียน
ปกติแล้วเสี่ยวเหยียนก็บ่นเธออยู่บ่อย ๆ แต่ว่าทุกครั้งหานมู่จื่อนั้นก็มักจะไม่ได้มีการตอบสนองใด ๆ แต่วันนี้เธอกลับหยุดและจ้องมาที่ตัวเธอ ทำให้เธอรู้สึกตกใจกลัวไม่น้อย และพูดออกไปว่า: “เฉียวเฉียว เธออย่าจ้องฉันแบบนี้สิ มันทำให้ฉันกลัว……”
เมื่อพูดถึงตรงนี้แล้ว สีหน้าของเสี่ยวเหยียนก็เปลี่ยนไป รีบปิดปากตัวเองด้วยท่าทีที่ร้อนรน หันสายตาหนีขึ้นไปมองด้านบน
“เมื่อกี้……ประโยคนั่นฉันไม่ได้พูดนะ ฉันไม่ได้พูดอะไรออกไปเลยจริง ๆ ”
เมื่อได้ยิน 2 คำนั้น กลับทำให้หานมู่จื่อนึกย้อนไปถึงเรื่องในอดีตเมื่อนานมาแล้ว
ครั้งหนึ่ง ผู้คนก็ต่างเรียกเธอด้วยชื่อนี้ แต่วันนี้……เธอกลับไม่ได้ยินการเรียกชื่อนั้นมานานหลายปีแล้ว
คำว่าเสี่ยวเหยียนนั้น ทำให้ความทรงจำต่าง ๆ มากมายของเสิ่นเฉียวนั้นย้อนคืนกลับมา
หานมู่จื่อยืนนิ่งอยู่กับที่ เสียงของเด็กน้อยก็ดังขึ้นมาจากด้านล่าง
“น้าเสี่ยวเหยียน เฉียวเฉียวคือใครเหรอ?”
เมื่อได้ยิน หานมู่จื่อจึงได้สติกลับมา เธอก้มหน้าลงมองลูกชายของตัวเอง และลูบหัวของเขาอย่างไม่มีทางเลือก: “เสี่ยวหมี่โต้ว อย่าเพิ่งถามเยอะเลย รีบไปกันเถอะ”
พูดจบเธอก็จับมือของเสี่ยวหมี่โต้วและตรงไปข้างหน้า เสี่ยวเหยียนที่รู้ว่าตัวเองนั้นพูดผิดไป ก็ตามหลังไปติด ๆ อย่างเงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไร
ผ่านไปสักพัก เสี่ยวเหยียนจึงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น: “คือว่า มู่จื่อ……เมื่อกี้ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ มันพลั้งออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจน่ะ……”
“เสี่ยวเหยียน โทรไปถามว่ารถที่จะมารับพวกเรามาถึงรึยัง?”
เมื่อเสี่ยวเหยียนได้ยิน ก็ได้สติกลับมา รีบพยักหน้า: “เดี๋ยวเช็คให้”
ในจังหวะที่เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก็มีสายเข้ามาพอดี เสี่ยวเหยียนรีบรับสาย “ฮัลโหล?เลขาซู?คุณอยู่ไหนแล้ว?”
ระหว่างที่พูดหานมู่จื่อที่อยู่ข้าง ๆ กลับเดินก้าวไปข้างหน้าและพูดขึ้น: “ไม่ต้องโทรแล้ว ฉันเห็นเธอแล้ว ไปกันเถอะ”
ได้ยินดังนั้น เสี่ยวเหยียนก็มองตามทางที่หานมู่จื่อไป และก็ได้เห็นเลขาซูอยู่ไกล ๆ ตามที่เธอพูด
หลังจากที่ไม่ได้เจอกันมานาน ซูจิ่วนั้นก็ยังคงแต่งตัวเช่นเดิม เรียบง่ายและสะอาดสะอ้านพร้อมกับการแต่งหน้าที่เรียบง่ายของเธอทำให้เธอดูมีพลังมาก ในมือหนึ่งของเธอถือกระเป๋า ส่วนอีกมือก็กำลังโบกมือมาทางพวกเธอ
เมื่อหานมู่จื่อมาถึงลุงหนานที่รออยู่อีกด้านก็รับสัมภาระของเธอมา
“คุณผู้หญิง ยินดีต้อนรับกลับครับ”
“ลุงหนาน!”
หานมู่จื่อยิ้มให้กับเขา หลังจากนั้นก็พูดกับลูกตัวน้อยของตน: “ลูก รีบทักทายปู่หนานสิ”
เสี่ยวหมี่โต้วก็รีบพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว: “สวัสดีครับปู่หนาน ขอให้ปู่หนานมีสุขภาพที่แข็งแรง ~”
นี่เป็นครั้งแรกที่ลุงหนานได้พบกับเสี่ยวหมี่โต้ว เสี่ยวหมี่โต้วก็พูดเช่นนี้ขึ้นมา นั่นทำให้ลุงหนานรู้สึกปลื้มเป็นอย่างมาก ใบหน้าของเขานั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“นี่คงจะเป็นคุณชายหานน้อยสินะ ช่างเป็นเด็กที่ฉลาดจริง ๆ เลย”
เสี่ยวเหยียนเดินตรงไปที่ด้านหลังและสะกิดไหล่ของเสี่ยวหมี่โต้ว: “ฉลาดจริง ๆ ”
เสี่ยวหมี่โต้วหันตัวกลับไป แอบแลบลิ้นแบร่ใส่เสี่ยวเหยียน
เมื่อซูจิ่วเห็นเสี่ยวหมี่โต้ว ก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นด้วยความตกใจ: “ไม่ได้เจอกันแค่สองปี ก็โตขึ้นขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย……”
“พี่ซูดูเหมือนว่าจะสวยขึ้นนะครับ!”
ซูจิ่วก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้: “เจ้าเด็กคนนี้นี่……หัวงูจริง ๆ เลย”
“ใช่มั้ยล่ะ แค่ฝีปากของเขาอย่างเดียว ก็ไม่รู้ว่าโตไปอนาคตจะมีผู้หญิงกี่คนที่จะถูกหลอกเอาได้” เสี่ยวเหยียนที่อยู่อีกด้านก็พูดหักหน้าอย่างตั้งใจ แต่ว่าเสี่ยวหมี่โต้วก็ไม่ได้โกรธ และมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มอยู่เช่นนั้น
อันที่จริงแล้วเมื่อได้เห็นใบหน้าของเขาเสี่ยวเหยียนมักจะรู้สึกเหมือนกับตอนที่ได้เห็นบอสใหญ่ของตนเป็นครั้งแรก เพียงแต่ว่า……ครั้งนี้นั้นเป็นคนละเวอร์ชัน แถมยังเป็นเวอร์ชันแบบน่ารักซะด้วย
นอกจากนั้นแล้ว การแสดงอาการบนใบหน้าของทั้งสองคนนั้นก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
แม้ว่าจะพูดได้เลยว่าโตมาอย่างกับออกมาจากแม่พิมพ์เดียวกัน แต่ว่าสีหน้าของคนก่อนหน้านี้นั้นเป็นสีหน้าที่เย็นชาและไร้ซึ่งชีวิตชีวา แต่ว่าคนปัจจุบัน……กลับเอาแต่ยิ้มร่าทั้งวัน แล้วก็มู่จื่อเลี้ยงเขาดีเกินไปแล้ว จนทำให้ที่แก้มทั้งสองข้างของเขามีเนื้อป่อง ๆ เล็ก ๆ ออกมา ดูแล้วยังกับก้อนลูกชิ้นเนื้อ มันช่าง……น่าหยิก
ใช่!
น่าหยิกมาก ๆ !
อื้ม
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เสี่ยวเหยียนก็เอื้อมมือไปเพื่อที่จะหยิกแก้มของเสี่ยวหมี่โต้วตามอำเภอใจ แล้วก็อุทานขึ้นมาว่า: “นุ่มจังเลย~ นุ่มกว่าลูกชิ้นเนื้อที่ฉันซื้อจากเน็ตมาก่อนหน้านี้ซะอีกน้า นี่มันเครื่องบีบลดความเครียดชัด ๆ !”
ยิ่งพูดเท่าไรเสี่ยวเหยียนก็ยิ่งบีบแรงขึ้นเท่านั้น ใบหน้าหล่อ ๆ ของเสี่ยวหมี่โต้วแทบจะถูกเธอบีบจนเสียรูปเลยทีเดียว
แต่ว่าต่อหน้านักข่าวและทุก ๆ คน ทำให้เสี่ยวหมี่โต้วไม่กล้าที่จะขัดขืนอย่างเปิดเผย ทำได้เพียงทำใบหน้าร้องไห้และเรียกหานมู่จื่อให้ช่วย: “หม่ามี๊ ช่วยผมด้วย……”
หานมู่จื่อที่เห็นว่าลูกชายของเธอถูกบีบหน้าจนแทบจะเสียรูปแล้ว ก็พูดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้: “เสี่ยวเหยียน……”
ดังนั้นเสี่ยวเหยียนจึงคลายมือออก “เห้อ เห็นแก่หน้าหม่ามี๊ของเธอหรอกนะถึงได้ยอมปล่อยเธอไป ถ้าไม่งั้นล่ะก็ฉันคงไม่บีบแค่นี้แน่!”
ทันทีที่เสี่ยวเหยียนคลายมือออก เสี่ยวหมี่โต้วก็รีบวิ่งไปที่ด้านหลังหานมู่จื่ออย่างน่าสงสาร
“เอาล่ะ มีเรื่องอะไรเดี๋ยวพวกเราค่อยไปคุยกันในรถ ด้านนอกมีพวกนักข่าวถ่ายอยู่นะ” ซูจิ่วเห็นพวกเธอเล่นกันอย่างเพลิดเพลิน ก็อดไม่ได้ที่จะพูดเตือนขึ้นมาเล็กน้อย
จากนั้นทุกคนจึงขึ้นรถไป
หลังจากขึ้นรถแล้ว เสี่ยวหมี่โต้วก็นั่งอยู่ที่ข้าง ๆ หานมู่จื่อ และเอาแต่กอดแขนของเธอแน่น และจ้องไปที่เสี่ยวเหยียนด้วยแววตาที่ระมัดระวังภัย
กลัวว่าครั้งหน้าถ้ามีโอกาสเธอจะมาขยำหน้าของเขาอีก เห้อ!หน้าของเขานั้นดูดีซะขนาดนี้ ถ้าเกิดว่าถูกน้าเสี่ยวเหยียนขยำซะจนดูไม่ได้ขึ้นมาจะทำยังไง?
“นายหานได้ยินว่าคุณมู่จื่อกลับประเทศมา แต่ว่าเพื่อที่ 2-3 วันนี้เขานั้นจะได้พักผ่อนร่วมกันกับคุณมู่จื่อ เค้าก็ได้เลื่อนตารางงานทั้งหมดออกไป”
“พี่ชายฉันเหรอ?” หานมู่จื่อก็มีน้ำตาไหลออกมา ในดวงตาที่งดงามคู่นั้นมีแสงเป็นประกาย เธอมองออกไปที่หน้าต่างรถ: “เขายุ่งขนาดนั้น เลื่อนกำหนดการทั้งหมดไปแบบนี้ บริษัทจะเสียหายกี่ร้อยล้านกันนะ?”
เมื่อได้ยิน ซูจิ่วก็อดจะยิ้มขึ้นมาไม่ได้: “สำหรับนายหานแล้วนั้น จะกี่ร้อยล้านนั้นก็ไม่สำคัญเทียบเท่ากับน้องสาวคนนี้หรอก”
“ไม่หรอกมั้ง?” หานมู่จื่อยังไม่ทันได้พูดอะไรเสี่ยวเหยียนที่อยู่อีกด้านก็อดไม่ได้ที่จะอุทานขึ้นมา: “นี่ก็ผ่านมาตั้ง 5 ปีแล้ว พี่ชายของมู่จื่อก็ยังไม่ได้แต่งงานเลยรึไง?ยังคงให้ความสำคัญกับน้องสาวเป็นอันดับแรกอีกงั้นเหรอ?”
เมื่อพูดเรื่องนี้ขึ้นมา หานมู่จื่อเองก็รู้สึกกังวลใจแทนพี่ชายของเธอขึ้นมา
ช่วงที่ผ่านมานี้ หานชิงก็เอาแต่ยุ่งอยู่กับเรื่องการตามหาน้องสาวมาตลอด ยิ่งรวมกับเรื่องที่เขานั้นเป็นคนที่ไม่ค่อยแสดงอารมณ์อะไรออกมานัก เพราะงั้นจึงไม่เคยที่จะได้คิดถึงมุมนี้เท่าไรนัก
หลังจากที่พบกับน้องสาวของตนแล้ว เขาก็ยุ่งกับการจัดการเรื่องต่าง ๆ ให้กับน้องสาว ทำให้ยิ่งไม่มีเวลาไปคิดถึงเรื่องอื่น ๆ เลย
เพราะงั้น……แค่ไม่นานหานชิงก็มีอายุเกือบจะ 40 ปีแล้ว แต่กลับยังโสดตัวคนเดียวอยู่เลย
แม้ว่าอายุเขานั้นจะเกือบ 40 แล้ว แต่ว่าคนของตระกูลหานนั้นมีอัธยาศัยดี ดู ๆ แล้วราวกับคนอายุราว 30 ต้น ๆ เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นแล้วยังเป็นชายที่มีความมั่นคงและประสบความสำเร็จในชีวิตอีกด้วย
แล้วในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ซูจิ่วก็ได้แต่งงานและมีลูกสาวที่น่ารักมา 1 คนแล้วด้วย