เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่ / เจ้าสาวมือสองของคุณชายพิก… - บทที่ 349 กลับประเทศแล้ว
หานมู่จื่อจับปอยผมทัดหู และยิ้มเล็ก ๆ และพูดขึ้น: “พี่ฉันจริงจังกับงานมากเกินไปหน่อยนะ ถ้างั้น……เธอช่วยเขาหน่อยมั้ยล่ะ?”
เมื่อพูดจบ สายตาของหานมู่จื่อก็มองไปยังเสี่ยวเหยียน
เมื่อเสี่ยวเหยียนได้ยิน ใบหน้าที่ขาวนั้นก็เปลี่ยนเป็นสีแดงในพริบตา “มู่จื่อเธอพูดอะไรของเธอน่ะ?พี่ชายของจะเห็นคนอย่างฉันอยู่ในสายตาได้ยังไงกัน!”
หานมู่จื่อเห็นว่าหน้าของเธอแดง ก็อดไม่ได้ที่จะแกล้งเธอ: “เธอเคยถามเข้าแล้วเหรอ?ถ้าไม่งั้นเธอจะรู้ได้ยังไงกันว่าเขาไม่เห็นเธออยู่ในสายตา?”
“เธอ!ฉันไม่คุยกับเธอแล้ว” เสี่ยวเหยียนถอนหายใจหนึ่งที่ งอนและหันหน้าหนีไป
หานมู่จื่อยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อย แล้วก็พักเรื่องแกล้งเธอไป
หลังจากที่เธอหุบรอยยิ้มนั้นลง หานมู่จื่อก็เงยหน้าขึ้นไปมองเห็นถึงแววตาของซูจิ่วที่มองมาทางเธอจากที่นั่งด้านหน้า เธอขยิบตาให้กับมู่จื่อเล็กน้อย และทั้งสองต่างก็ยิ้มให้กัน
พูดถึงซูจิ่ว หานมู่จื่อมักจะรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง ซูจิ่วนั้นคอยอยู่ข้างกายหานชิงและทำหน้าที่ของเลขาได้เป็นอย่างดีมาโดยตลอด ถ้าหากว่าหานชิงได้แต่งงานกับคนเช่นนี้ และเป็นผู้ช่วยที่ดีได้ก็คงมีความสุขไม่น้อย
แต่ก็ไม่รู้ว่าหานชิงไม่รู้จักความรักหรือว่าอะไร ซูจิ่วที่อยู่ข้างกายของหานชิงมาตลอดแต่เขากลับไม่ได้รักหรือชอบเธอเลย
ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว ต่อให้จิตใจจะทำด้วยหินก็ต้องมีสึกกร่อนกันบ้างแล้ว
แต่ว่าจิตใจของหานชิงนั้นกลับนิ่งไม่ไหวติงแม้แต่น้อย
ใคร ๆ ต่างก็ดูออกว่าซูจิ่วนั้นชอบหานชิง จะมีก็แต่ตัวหานชิงคนเดียวที่ไม่รู้
เพราะงั้นก็มีหลายครั้งที่หานมู่จื่อพยายามบอกใบ้ให้กับหานชิง แต่ว่าหานชิงก็มักจะทำเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร นานวันไปหานมู่จื่อก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีกเลย
อย่างไรก็ตามคนเรานั้นก็มีสิทธิเลือก การที่เธอรู้สึกว่าซูจิ่วเป็นตัวเลือกที่ดีนั้น ก็ไม่ควรที่จะไปบังคับจับคู่ให้เขาได้
แต่น่าเสียดาย ที่หลังจากนั้นซูจิ่วก็ไปนัดบอดหาคู่ ใครจะไปรู้กันว่าการนัดบอดครั้งนั้นจะได้เจอกับเนื้อคู่ของตัวเองเข้า ทั้งสองคนคบกันไม่ถึงเดือนก็แต่งงานกันอย่างสายฟ้าแลบ หลังจากนั้นไม่นานก็ตั้งท้อง และหลังจากช่วงเดือนตุลาก็ได้ลูกสาวตัวน้อยมาหนึ่งคน สภาพครอบครัวเองก็ถือว่าราบรื่นและเป็นไปได้ด้วยดี
แถมสามีของซูจิ่วนั้นก็ปรนนิบัติดูแลเธอเป็นอย่างดี มันนั้นสามารถชดเชยกับความเย็นชาของหานชิงที่มีต่อซูจิ่วก่อนนี้ได้ทีเดียว
อันที่จริงแล้วในมุมมองของหานมู่จื่อนั้น การที่ได้แต่งงานกับคนที่ใส่ใจตัวเธอ รักเธอ และเอาตัวเธอไปอยู่ในใจนั้น ก็ถือว่าชาตินี้นั้นไม่น่าเสียดายอีกแล้ว
รถที่ค่อย ๆ ขับตรงไปข้างหน้า ไม่นานก็ถึงที่พักใหม่หมู่บ้านคอนโดรุ่ยซิน
ลุงหนานนำรถเข้าไปจอดในโรงจอดรถ และทุกคนก็ลงจากรถมา หานมู่จื่อที่กำลังจะไปลากกระเป๋าเดินทาง ลุงหนานก็พูดขึ้น: “คุณมู่จื่อ พวกนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของลุงหนานเองเถอะ”
“จะทำแบบนั้นได้ยังไงกัน?ยังไงกระเป๋าเดินทางก็มีล้อเดินไปลากไปได้ แล้วก็ไม่หนักด้วย เดี๋ยวฉันลากเองดีกว่า”
“เธอให้เขาจัดการเถอะ” ซูจิ่วอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นแทนลุงหนาน: “เธอคิดว่าพวกเราเดินทางจากเมืองข้างๆมาถึงเมืองซูเพื่ออะไรกันล่ะ?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น มือของหานมู่จื่อก็ชะงักลง ลุงหนานก็เอาสัมภาระต่าง ๆ ลากเข้าไป หลังจากนั้นก็เดินตรงไปด้านหน้า
“ไปกันเถอะ” ซูจิ่วเขย่าพวงกุญแจเบา ๆ ในมือตรงไปที่เธอ: “บ้านหลังนี้ฉันให้คนมาทำความสะอาดให้เรียบร้อยหมดแล้ว ข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นเองก็ครบถ้วนแล้ว แค่เข้าไปก็พร้อมอยู่ได้เลย”
“ว้าว เลขาซูคุณนี่ช่างเป็นคนที่มีจิตใจดีจริง ๆ เลย!” เสี่ยวเหยียนรู้สึกซึ้งใจและกระโจนเข้ากอดตัวเธอ
หานมู่จื่อจับมือของเสี่ยวหมี่โต้วของเธอขึ้นมา “งั้นก็ขึ้นไปดูกันเถอะ”
ด้านในห้องหมู่บ้านคอนโดรุ่ยซินนี้นั้นดูค่อนข้างมีการแบ่งสันปันส่วนที่ดี ครั้งแรกที่หานมู่จื่อได้เห็นมันบนอินเทอร์เน็ตก็รู้สึกชอบเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงได้เลือกที่นี่
เมื่อทุกคนขึ้นลิฟต์ไป ซูจิ่วก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น: “คุณมู่จื่อ อันที่จริงแล้วที่เมืองเป่ยก็มีกะพริบตาพาร์ทเม้นท์ที่สวยงามมากมาย คุณเองก็ไม่ได้พับกับนายหานมานานแล้ว ตระกูลหานเองก็อยู่ในเมืองเป่ย ทำไมคุณถึงเลือกที่จะซื้ออพาร์ทเม้นท์ที่อยู่ในเมืองซูอย่างนั้นหรือ?อยู่ห่างแบบนี้ ถ้าหากจะเดินทางไปบริษัทตระกูลหานแต่ละทีเองก็ไม่สะดวก”
เมื่อได้ยิน หานมู่จื่อก็ยิ้มขึ้นมาเบา ๆ ในดวงตาที่งดงามของเธอนั้นก็มีก็มีประกายอย่างประหลาด: “เพราะว่าถ้าหากเทียบกันกับเมืองเป่ยแล้ว ฉันชอบเมืองซูมากกว่าน่ะ แล้วก็เป็นเมืองที่อยู่ใกล้ ๆ กันด้วย พวกเธอเองก็ใช้เวลาเดินทางมาแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้นเองนี่ ไว้ยังไงช่วงว่าง ๆ ฉันก็จะแวะไปหาพี่ชายของฉันก็ได้”
“นายหานคงจะไม่ค่อยชอบเท่าไรหรอก ต่อให้คุณมู่จื่อไม่มีเวลาว่าง นายหานเองก็จะหาเวลามาพบคุณอยู่ดี”
นั่นคือเรื่องจริง
ก่อนหน้านี้ตอนที่เธออยู่ต่างประเทศ หานชิงก็จะบินไปหาเธอ 1-2 ครั้งในทุก ๆ เดือน ทุก ๆ ครั้งก็จะไปอยู่เป็นเพื่อนเธอ ถ้าพอจะมีเวลาสักหน่อยก็จะอยู่กับเธอ 1-2 วัน แต่ถ้าเป็นช่วงที่งานยุ่ง เขาก็จะทานข้าวเย็นกับเธอมื้อหนึ่งแล้วก็กลับไปทันที
แรก ๆ หานมู่จื่อรู้สึกว่าคนคนนี้นั้น……ทำหน้าที่พี่ชายอย่างถึงที่สุดจริง ๆ เป็นห่วงเธอที่เป็นน้องสาวมากขนาดนี้
ใครจะไปคิดกันว่าเค้านั้นจะยอมนั่งเครื่องบินเป็นเวลากว่า 10 ชั่วโมงเพียงเพื่อแค่กินข้าวร่วมกับเธอ 1 มื้อ?เพื่อฟังเธอเรียกพี่ชาย?แล้วหลังจากนั้นก็กลับมาทำงานต่อ?
ขนาดหุ่นยนต์เองยังไม่มีความอดทนได้เท่ากับเขาเลย
“เห้อ การเป็นน้องสาวสุดที่รักนี่มันดีจังเลย ฉันล่ะอิจฉาจริง ๆ ” เสี่ยวเหยียนนั้นเป็นลูกสาวคนเดียว ไม่เคยได้รับความรักแบบนี้มาก่อน ดังนั้นจึงรู้สึกอิจฉา
เมื่อเดินมาถึงประตู ซูจิ่วก็ตรงไปเปิดประตูออก
หลังจากที่ประตูเปิดออกแล้ว เสี่ยวเหยียนก็พุ่งเข้าไปเป็นคนแรก และที่ตามด้านหลังเธอไปติด ๆ ก็คือเสี่ยวหมี่โต้ว
“ว้าว เป็นอพาร์ทเม้นท์ 2 ชั้นจริง ๆ ด้วย แค่เห็นก็รู้สึกชอบแล้ว”
“สายตาของหม่ามี๊เฉียบคมจริง ๆ !” เสี่ยวหมี่โต้วเองก็พูดชมด้วยอีกคน เสี่ยวเหยียนและเสี่ยวหมี่โต้วแข่งกัน ราวกับว่าเป็นเด็กวัยรุ่น ทั้งสองคนส่งเสียงดังในห้องวุ่นวายอยู่สักพัก หลังจากไม่นานก็รีบขึ้นไปที่ชั้นบนอย่างรวดเร็ว
หานมู่จื่อนั้นราวกับว่าคุ้นชินกับบรรยากาศเช่นนี้ ไม่ได้มีท่าทีใด ๆ ออกมาเป็นพิเศษ เพียงแค่เดินไปรอบ ๆ พร้อมกับซูจิ่วเท่านั้น : “อันที่จริงก่อนที่คุณจะซื้อห้องชุดนี้ นายหานได้ซื้อบ้านเดี่ยวเตรียมไว้ให้คุณก่อนแล้ว แต่ไม่คิดว่าคุณกลับใช้เงินของตัวเองซื้อห้องชุด ทั้งที่ตระกูลหานที่มีธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้”
เมื่อได้ยิน หานมู่จื่อก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้น: “ฉันก็แค่ชอบการตกแต่งแบบนี้ ดูมีศิลปะมาก”
“ก็ใช่ การตกแต่งของอพาร์ทเม้นท์สองชั้นก็ถือว่าไม่เลวเลยจริง ๆ บ้านของพวกฉันเองก็แต่งแบบยุโรป ก็ถือว่าโอเค”
ในขณะที่ทั้งสองคนคุยกัน ก็ไปนั่งลงที่โซฟาในห้องนั่งเล่นโดยที่ไม่ได้สนใจเสียงโหวกเหวกที่มาจากชั้น 2 เลยแม้แต่น้อย
“จริงด้วยคุณมู่จื่อ ที่คุณกลับประเทศมาครั้งนี้ ได้หางานไว้เรียบร้อยแล้วรึยัง?”
หานมู่จื่อพยักหน้า: “อื้อ มีติดต่อไว้บ้างแล้วล่ะ แต่ว่า……งานของฉันเธอเองก็รู้ดี ค่อนข้างจะอิสระ เพราะงั้นก็เลยไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศน่ะ”
ซูจิ่ว: “ในความหมายของนายหาน เค้าหมายถึงถ้าหากคุณมู่จื่อกลับประเทศมาพัฒนาธุรกิจแล้วล่ะก็ งั้นจดทะเบียนแล้วเปิดบริษัทเป็นของตัวเองเลยดีกว่า”
จดทะเบียนบริษัท?หานมู่จื่อเองก็เคยคิด เพียงแต่ว่า……ช่างหลายปีมานี้เธอนั้นรู้สึกขี้เกียจมาก นอกจากจะต้องมองหาแรงบันดาลใจในการออกแบบเสื้อผ้าแล้ว เธอนั้นยังต้องเลี้ยงดูเสี่ยวหมี่โต้วอีก ดังนั้นตอนนี้เธอจึงยังคงทำงานรับจ้างอิสระ
ในตอนที่มีเวลาว่างก็รับงาน ตอนที่ไม่ว่างก็ไม่รับ มีอิสระได้ตามอำเภอใจ
เพราะงั้นในโลกของดีไซเนอร์เสื้อผ้าแล้ว หานมู่จื่อนั้นถือว่าขึ้นชื่อเรื่องความเอาแต่ใจทีเดียว
“ลองดู ๆ ก่อนดีกว่า ฉันยังไม่ได้คิดเลย ถ้าถึงเวลาที่จำเป็นแล้วจะลองพิจารณาดู”
ซูจิ่วพยักหน้าและหยิบเอากุญแจที่อยู่ในกระเป๋าออกมาวางบนโต๊ะ และเมื่ออธิบายอะไรได้พอสมควรแล้วเธอก็ขอตัวกลับไป
หานมู่จื่อเดินไปที่ด้านหน้าหน้าต่าง มองไปยังทิวทัศน์ที่สวนของอพาร์ทเม้นท์
สุดท้ายก็……กลับประเทศมาแล้วสินะ