เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่ / เจ้าสาวมือสองของคุณชายพิก… - บทที่ 414 ผมแต่งงานแล้ว
บทที่ 414 ผมแต่งงานแล้ว
หมายความว่า ในระหว่างที่มีการติดต่องานกัน คุณสามารถเรียกฉันว่าShellyได้ แต่นอกเหนือจากนั้น เราก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน
ดังนั้นคุณไม่มีคุณสมบัติที่จะเรียกชื่อฉันด้วยซ้ำ
สีหน้าอันเย้ายวนของเย่โม่เซินไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่ดวงตาสีดำเศร้าสลดลงอย่างเห็นได้ชัด
เย่โม่เซินไม่ตอบรับและก็ไม่ได้ปฏิเสธอย่างใด
สักครู่หนึ่ง เขาก็นึกถึงอะไรออก ริมฝีปากบางๆ ก็ยกขึ้นเล็กน้อย
“เย่โม่เซิน”
หานมู่จื่องงงวย จู่ๆเขาก็พูดชื่อตัวเองทำอะไร
“เพศชาย งานอดิเรก…” สายตาของเขาสบเข้ากับใบหน้าของเธอ แล้วเขาก็กระซิบว่า “กอล์ฟและบันจี้จัมพ์”
ได้ยินเช่นนี้ หากหานมู่จื่อยังไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร งั้นเธอก็เป็นคนโง่แล้ว
เพียงแค่เธอไม่คาดคิดว่าเย่โม่เซินจะเล่นแนะนำตัวเองอย่างนี้
เธอเขียนมันลงไปราวกับว่าเธอไม่รู้อะไรสักอย่างเกี่ยวกับคนคนนี้
ดวงตาของเย่โม่เซินราวกับสัตว์ร้ายที่นอนจำศีลที่คอยเฝ้ามองเธออย่างใกล้ชิด ริมฝีปากบางๆ เปิดและปิดพูดออกไปทีละคำ
“แต่งงานแล้ว”
คำสองคำเหมือนระเบิดที่โยนเข้าไปในก้นบึ้งหัวใจของหานมู่จื่อ
มือที่ทำการบันทึกของหานมู่จื่อหยุดอย่างกะทันหัน แต่ไม่นานก็กลับมาเป็นแบบเดิม บอกเธอว่าเขาแต่งงานแล้ว เพื่อที่จะทำให้เธออับอายงั้นเหรอ
เธอยิ้มอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ ไม่ว่าเขาจะแต่งงานหรือโสด ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเธอ
แต่กลับไม่รู้ว่า เย่โม่เซินที่อยู่ตรงข้ามได้สังเกตความรู้สึกของเธอตลอด เหมือนกับว่าต้องการค้นหาอะไรบางอย่างจากใบหน้าของเธอ
แต่มันไม่มี
หานมู่จื่อคุยงานกับเขาอย่างจริงจัง เธอไม่สนว่าเย่โม่เซินที่อยู่ฝั่งตรงข้ามจะให้หรือไม่ให้ความร่วมมือกับเธอ คอยถามและกวนอยู่ตลอดเวลา ถ้าเย่โม่เซินไม่ตอบเธอก็จะถามหลายๆ ครั้ง หลังจากนั้นก็ก้มหัวลงเพื่อทำการจดบันทึก จากนั้นก็จัดเก็บให้เป็นระเบียบและถามอีกครั้ง
เดิมทีเย่โม่เซินวางแผนที่จะให้เวลากับเธอเพียงครึ่งชั่วโมง แต่เอาไปเอามาก็นึกไม่ถึงว่าจะใช้เวลามากกว่าหนึ่งชั่วโมงแล้ว และเขาคิดว่าเวลามากกว่าหนึ่งชั่วโมงนี้ ไม่เพียงพอสำหรับการอยู่ร่วมกันของพวกเขาสองคน
“ขอบคุณนายเย่มาก สำหรับความร่วมมือ ข้อกำหนดพื้นฐานของคุณทางเราได้รับรู้แล้ว แล้วฉันจะให้พนักงานของบริษัทมาวัดตัวของคุณในวันพรุ่งนี้ค่ะ”
“พนักงาน” เย่โม่เซินหัวเราะเสียงต่ำ “คุณShellyผมเกรงว่าคุณคงลืมว่า ผมมีสิทธิ์ที่จะเลือกนักออกแบบของตัวเอง หรือพวกนักออกแบบไม่ทำงานเอง ต้องให้คนอื่นทำแทน การวัดขนาดตัวนั้น พวกคุณเป็นคนจัดการด้วยตัวเองจะไม่ดีกว่าไม่ใช่เหรอ”
หานมู่จื่อ “นายเย่ฉันมีธุระอื่นที่จะต้องทำ”
“ไม่ใช่ว่าเป็นบริษัทใหม่เหรอ ธุระเยอะขนาดนั้น คนอื่นคงจะว่างมาก”
หานมู่จื่อหลับตาและลืมตาขึ้น ไม่ว่าจะพูดมากแค่ไหนก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้
“วันนี้ฉันไม่ได้พาเครื่องมือมา พรุ่งนี้ค่อยนัดเวลากันใหม่เถอะ”
“ผมไม่แน่ใจว่าพรุ่งนี้ผมจะว่างหรือเปล่า ไว้ผมจะแจ้งให้คุณทราบอีกที”
หานมู่จื่อ “…..ได้ค่ะ งั้นฉันจะรอการแจ้งจากนายเย่ วันนี้งานจบเรียบร้อยแล้ว ฉันขอตัวก่อน”
“ผมไปส่งคุณ”
ใครจะรู้ว่าเย่โม่เซินจะเดินตามเธอออกไปจากห้องทำงาน หานมู่จื่อวางตัวไม่ถูกเล็กน้อย “ไม่ต้องค่ะนายเย่ฉันขับรถมาเอง”
“อ๋อ” เมื่อนึกถึงรถที่เธอขับในวันนั้น เย่โม่เซินหยิบกุญแจมาแกว่งไว้ในมือโดยไม่รู้ตัว เสียงของพวงกุญแจส่งเสียงที่ชัดเจนและไพเราะ “งั้นก็จอดรถไว้ที่นี่ วันนี้ผมจะไปส่งคุณ”
หานมู่จื่อ “……”
เย่โม่เซิน “พรุ่งนี้คุณต้องมาวัดขนาดตัวไม่ใช่เหรอ ผมแจ้งคุณเสร็จเรียบร้อย แล้วจะไปรับคุณ”
แม้ว่าหานมู่จื่อจะดูสงบ แต่มุมปากของเธอก็กระตุกขึ้นเล็กน้อย
“ไม่ต้องลำบากขนาดนั้นหรอก นายเย่ฉันต้องไปจริงๆ แล้วค่ะ”
เมื่อหานมู่จื่อเข้าลิฟต์ไป เธอยังคิดว่าเย่โม่เซินต้องเป็นโรคประสาทแน่ ดังนั้นเขาจึงพูดประโยคที่ไม่ได้กลั่นกรองออกมาจากสมองแบบนั้น เริ่มตั้งแต่การพบกันครั้งแรกจนถึงตอนนี้ สิ่งที่เขาทำดูเหมือนจะไม่สอดคล้องกับหลักทำนองคลองธรรม แม้แต่สิ่งที่เขาพูดก็ไม่เหมือนกับนิสัยใจคอของเขาในอดีต
ความเฉยเมยและหยิ่งผยองของเย่โม่เซินนั้น
ทำไมเขาถึงกลายเป็นแบบนี้
แน่นอนว่าทำเพื่อที่จะทำให้เธออับอาย เขาได้ทำการฝึกฝนมากมายขนาดนั้นเลยเหรอ
หานมู่จื่อหลบสายตาและมองไปที่ส้นเท้าของเธอด้วยความใจลอย
เมื่อลงมาถึงชั้นล่าง หญิงสาวที่แผนกต้อนรับเห็นเธอและรีบยิ้มอย่างประจบให้กับเธอ หานมู่จื่อค่อยๆเก็บสายตาที่เย็นชา หลังจากนั้นก็ไปขับรถ
รอเธอขึ้นรถและคาดเข็มขัดนิรภัยแล้ว หานมู่จื่อก็หวนคิดไปถึงน้ำเสียงแหบต่ำที่น่าดึงดูดของผู้ชายคนนั้นในสมองของเธอ
“แต่งงานแล้ว”
เขากำลังประกาศอะไร
บอกเธอว่า เขาแต่งงานแล้ว คือกลัวว่าเธอจะคิดเพ้อเจ้อเพ้อฝันงั้นเหรอ
แม้ว่าเธอจะสงบสติอารมณ์ของตัวเองแล้ว แต่ตอนนี้หานมู่จื่อกลับพบว่าหัวใจของเธอเจ็บปวดจริงๆ
เธอยิ้มอย่างขมขื่นและวางมือบนหน้าอกของเธอ
“หานมู่จื่อ เธอคิดอะไรอยู่ เธอมันบ้าหรือไง”
เธอไม่เคยอยากคิดถึงสภาพของเย่โม่เซินว่าเป็นอย่างไรบ้าง เธอเพียงแค่หวังว่าจะไม่พบกับเขาอีก แต่ตอนนี้เขากลับบอกตัวเองว่าเขาแต่งงานแล้ว ก็เหมือนกับเป็นการนำมีดมาขุดรูในหัวใจของเธอด้วยความโหดเหี้ยม
หานมู่จื่อพิงหลังของเธอและหลับตาลงเพื่อพักผ่อน จากนั้นเธอก็เตรียมตัวที่จะออกรถ แต่ผลปรากฏว่ามือของเธอสั่นตลอดเวลา เธออดทนอย่างเจ็บปวดมาตลอดทาง
ระหว่างทาง จิตใจของหานมู่จื่อไม่ได้อยู่ในภวังค์ จนกระทั่งเธอรู้สึกตัวและพบว่าข้างหน้าคือสัญญาณไฟจราจร และเธอก็กำลังจะชนรถBMWสีน้ำเงินที่อยู่ข้างหน้า เธอจึงเหยียบเบรกอย่างแรง
แต่มันก็สายเกินไปแล้ว รถของเธอได้พุ่งชนรถBMWสีน้ำเงินที่อยู่ข้างหน้าเธอ
ชนกับส่วนท้ายแล้ว
หานมู่จื่อนั่งอยู่บนเบาะ เธอรู้สึกงุนงง หลังของเธอก็เหมือนจะมีเหงื่อออกตามมา
เธอ……ใจลอยได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ
เจ้าของรถBMWสีน้ำเงินรีบเปิดประตูและเดินลงมายังหน้าต่างรถของเธอเพื่อเคาะหน้าต่าง
หานมู่จื่อสูดหายใจเข้าลึกๆ ปรับอารมณ์ของตัวเองและก้าวลงจากรถ
“นี้คุณมันเกิดอะไรขึ้น คุณขับรถเป็นไหม ชนเข้ากับรถของคนอื่น” ทันทีที่หานมู่จื่อออกจากรถ เธอก็ถูกโจมตีอย่างรุนแรง คนที่โจมตีเธอคือหญิงสาวคนที่แต่งตัวเหมือนกับเด็กวัยรุ่น แต่งตัวตามแฟชั่น หานมู่จื่อเหลือบมองและเห็นแบรนด์ดังบนร่างกายของเธอมากมาย
“ขอโทษฉันไม่ได้ตั้งใจ” หานมู่จื่อขอโทษอย่างเบาๆ
“มีประโยชน์ไหมที่จะขอโทษ” หญิงสาวมองหน้าเธอด้วยความรังเกียจ สายตานั้นดูเหมือนคนรวยที่กำลังมองดูคนยากจน หานมู่จื่อน่าสงสารมากในสายตาของเธอขนาดนั้น “ดูรถที่คุณขับมันก็แค่รถทั่วไป รถคันนี้มันก็ไม่เท่าไหร่หรอก แต่กลับชนรถของฉันได้ขนาดนี้ คุณจะชดใช้ได้เหรอ”
หานมู่จื่อ “ฉันขอโทษจริงๆ ฉันไม่ได้ตั้งใจ ถ้าไม่อย่างนั้นคุณเรียกตำรวจเถอะ ต้องการค่าชดเชยเท่าไร ฉันจะไม่ปัดความรับผิดชอบของฉันแน่นอน”
“ค่าชดเชย คุณจ่ายไหวเหรอ” ทันใดนั้นเสียงของหญิงสาวก็ดังขึ้น “ดูเธอแต่งตัวแบบนี้ 80% เป็นชุดทำงานของบริษัทไหนบริษัทหนึ่งแน่ เกรงว่าเงินเดือนปีหนึ่งของเธอก็คงไม่เพียงพอที่จะจ่ายไหว แล้วคุณยังกล้าที่จะพูดว่าชดเชยอีก”
หานมู่จื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่มีเหตุผล และลักษณะท่าทางของเธอก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่อีกฝ่ายยังคงบีบบังคับขนาดนี้
“ฉันขอโทษจริงๆ แต่ฉันได้บอกไปแล้วว่า ฉันจะไม่ปัดความรับผิดชอบของตัวเองที่ต้องชดเชยค่าเสียหายอะไร ทำไมคุณผู้หญิงคนนี้ถึงปากคอเราะรายกับฉันขนาดนี้ ฉันจะจ่ายไหวหรือไม่ ตราบใดที่ฉันยินดีจ่าย มันก็จบเรื่องไม่ใช่เหรอคะ”