เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่ / เจ้าสาวมือสองของคุณชายพิก… - บทที่ 427 คนที่เป็นศัตรูกันมักโคจรมาเจอกัน
- Home
- เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่ / เจ้าสาวมือสองของคุณชายพิก…
- บทที่ 427 คนที่เป็นศัตรูกันมักโคจรมาเจอกัน
บทที่ 427 คนที่เป็นศัตรูกันมักโคจรมาเจอกัน
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ บนใบหน้าของเลิงเยาเยาก็ได้ปลื้มปีติ “เธอยังจำฉันได้?”
เสี่ยวหมี่โต้วพยักหน้า
ในใจของเลิงเยาเยาชื่นชอบจนไม่ไหว จากนั้นก็ได้รีบยื่นมือไปควานหาแล้วหาอีกในกระเป๋าของตัวเอง ครั้งนี้ควานหาเจออมยิ้มแท่งหนึ่งแล้ว หลังจากนั้นก็ได้ส่งมอบให้กับเสี่ยวหมี่โต้วไปตรงๆ
ชั่วพริบตาเดียวเสี่ยวหมี่โต้วก็ได้ลังเลแล้ว หลังจากนั้นก็ได้ยื่นมือทั้งคู่ออกไปรับอมยิ้มแท่งนี้เข้ามา และได้พยักหน้าแสดงการทักทายไปทางเลิงเยาเยา
“ขอบคุณพี่สาวคนสวย”
“เลี้ยงดูดีจริงๆ เธอเกรงใจเกินไปแล้ว” เลิงเยาเยาได้พูดอย่างใกล้ชิด
แท้จริงแล้วก็คือลูกของครอบครัวมหาเทพ การเลี้ยงดูนี้ถึงได้ดี ดูแล้ว……ก่อนหน้านี้เธอก็ได้เข้าใจผิดต่อหานมู่จื่อจริงๆแล้ว
เพียงแต่ว่าเด็กคนนี้……เป็นของเธอกับใคร?
“ทำไมพวกเธอมาที่บริษัทเวลานี้? ไม่ใช่ว่าใกล้จะเลิกงานแล้วเหรอ?”
เมื่อเอ่ยสิ่งนี้ขึ้นมา ใบหน้าของจางเสี่ยวเหยียนก็เต็มไปด้วยความกระวนกระวายกลุ้มใจ: “ฉันไม่อยากที่จะแขวะจริงๆเลย มู่จื่อยังอยู่ในห้องทำงาน ฉันไปโรงเรียนใกล้ๆรับเสี่ยวหมี่โต้วกลับมา และจะขึ้นไปชั้นบนเพื่อรอหล่อน”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เลิงเยาเยาก็ได้ถลึงตาโตอย่างอดไว้ไม่อยู่ ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ยังคงออกแบบวาดรูปมาโดยตลอด? ไม่พูดไม่ได้ว่า ระหว่างทางของแชมป์เปี้ยนคือเดินมาอย่างยากลำบากจริงๆ ให้เธอเหมือนกับหานมู่จื่อแบบนี้ที่ทั้งวันจนถึงจุดสิ้นสุดไม่กินไม่ดื่มนำเพียงแค่เอาตัวเองปิดอยู่ในห้องหนึ่งเพื่อวาดรูป เธอคือทำไม่ได้
“ได้เถอะ คนยอดเยี่ยม! ถ้าเช่นนั้นฉันไปก่อนแล้ว เจ้าหนูน้อย พวกเราค่อยพบกันใหม่ครั้งหน้า”
“ลาก่อนพี่สาวคนสวย~”
รอหลังจากที่เลิงเยาเยาจากไป จางเสี่ยวเหยียนก็อดที่จะพูดแขวะไม่ไหว: “ก่อนหน้านี้ยังหยิ่งทะนงเช่นนั้น ทำไมรู้สึกว่าได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคนอย่างกะทันหันยังไงยังงั้น?”
เพียงแต่ว่าจางเสี่ยวเหยียนยังคงได้มีท่าทีโต้ตอบกลับมาเร็วมาก หลังจากนั้นก็ได้ลากเสี่ยวหมี่โต้วขึ้นไปรอหานมู่จื่อที่ชั้นบน
ตอนที่ถึงชั้นบน ก็ได้พบกับหานมู่จื่อที่กำลังออกมาจากด้านในพอดี
“เสี่ยวหมี่โต้ว” หานมู่จื่อเห็นถึงเสี่ยวหมี่โต้ว จากนั้นก็ได้รีบคุกเข่าลงมากอดเขาไว้: “ตกใจจะตายแล้ว ฉันเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เขาไปเรียนหนังสือแล้ว”
“แม่จ๋า รอตอนแม่นึกขึ้นมาได้เสี่ยวหมี่โต้วก็ถูกคนอื่นรับไปแล้ว” เสี่ยวหมี่โต้วได้พูดด้วยน้ำเสียงที่มีความคับแค้นใจอยู่บ้าง
ในใจของหานมู่จื่อได้ละอายใจจนไม่ไหว จากนั้นก็ได้ยื่นมือไปบีบแก้มที่อ่อนนุ่มของเขา: “เป็นแม่ที่ไม่ดี แม่ขอโทษเสี่ยวหมี่โต้ว ครั้งหน้าจะต้องจำได้ไปรับนายด้วยตัวเอง”
เสี่ยวหมี่โต้วได้กางมือที่ได้โอบกอดคอของหานมู่จื่อไว้ออก แม่ลูกทั้งสองเมื่อมองขึ้นมาแล้วก็สนิทสนมใกล้ชิดเป็นพิเศษ: “ถ้าเช่นนั้นแม่จ๋าพูดได้ต้องทำได้นะ”
“พูดคำไหนคำนั้น”
หานมู่จื่อยังคงยื่นมือไปเกี่ยวก้อยกับเสี่ยวหมี่โต้วแล้ว จากนั้นจางเสี่ยวเหยียนก็อดไม่ไหวได้พลิกสายตามองค้อนแล้ว
“เสี่ยวหมี่โต้ว ฉันคิดว่านายเกี่ยวก้อยกับแม่ของนายยังไม่ดีไปกว่ามาหาฉันเกี่ยวก้อยล่ะ ถึงอย่างไรเสียแม่ของนายก็คือคนบ้างานคนหนึ่ง เมื่อได้ทำงานขึ้นมาก็แม้แต่ข้าวก็ไม่ต้องกิน นอนก็ไม่ต้องนอน แล้วยังจะสนใจเธอได้ที่ไหนกันล่ะ?”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ในช่วงเวลาสั้นๆสีหน้าของเสี่ยวหมี่โต้วก็ได้เปลี่ยนไปแล้ว
“แม่จ๋าวันนี้แม่ยังไม่ได้กินข้าว?”
เมื่อถูกถามเช่นนี้หานมู่จื่อถึงได้ตกใจรู้สึกว่าท้องของตัวเองได้หิวร้องขึ้นมาแล้ว เธอได้ลูบท้องไปมามีความเก้อเขินอยู่บ้าง: “ดูเหมือนว่า……เป็นท่าทางของการที่ยังไม่ได้กินข้าว?”
เมื่อจางเสี่ยวเหยียนได้ยินถึงคำพูดนี้ ก็เกือบจะเคาะไปที่หัวของหานมู่จื่อแล้ว: “ก็ได้รอเธอมาทั้งวันแล้ว ฉันไม่สน วันนี้เธอต้องเลี้ยง พวกเราต้องออกไปกินอาหารมื้อใหญ่ที่ด้านนอก!”
ออกไปกินด้านนอกเหรอ? หานมู่จื่อคิดแล้วคิดอีก หลังจากนั้นก็ได้ล้วงหมวกใบหนึ่งออกมาจากในกระเป๋าเพื่อมาใส่อยู่บนหัวของเสี่ยวหมี่โต้ว: “ถ้าเช่นนั้นไปเถอะ วันนี้แม่เลี้ยงพวกเธอกินอาหารมื้อใหญ่”
เมื่อได้ยินถึงของกิน ในตาของเสี่ยวหมี่โต้วก็ได้วางรังสีสะท้อนของความเปล่งปลั่งออกมา จากนั้นก็ได้รีบกอดต้นขาของหานมู่จื่อไว้: “ฉันให้อภัยแม่จ๋าแล้ว”
“นายเนี่ย ก็รู้แต่กิน……ก็ไม่รู้ว่าเหมือนใคร”
เสี่ยวหมี่โต้วได้กะพริบตาไปมา: “แม่จ๋าไม่ใช่คนกินจุ ถ้าเช่นนั้นเสี่ยวหมี่โต้วจะต้องเหมือนกับพ่อจ๋าแน่ๆแล้ว”
ตอนที่ได้พูดประโยคนี้ออกมา รอยยิ้มด้านริมฝีปากของหานมู่จื่อในชั่วพริบตาก็ได้เฉื่อยชาแล้ว ช่วงเวลาหลังจากนั้นเธอก็ได้หัวเราะแล้วหัวเราะอีก: “ได้แล้ว ไม่ว่าเหมือนใคร นายก็คือลูกหัวแก้วหัวแหวนที่เชื่อฟังที่สุดของแม่ พวกเราไปเถอะ”
เพราะว่ารถเป็นเซียวซู่ที่ส่งเข้ามาแทนเธอ ดังนั้นหานมู่จื่อก็ได้ขับรถด้วยตัวเอง จึงให้จางเสี่ยวเหยียนกับเสี่ยวหมี่โต้วไปนั่งอยู่ที่เบาะนั่งหลัง และได้ไปกินข้าวที่ร้านอาหารร้านหนึ่งที่ได้รับการประเมินว่าดีมากบนอินเทอร์เน็ต
ห้องอาหารร้านนี้คุณภาพดีระดับสูงมาก ชั้นหนึ่งเป็นรูปแบบเปิดของที่นั่งรับประทานอาหาร ตั้งแต่ชั้นสองเป็นต้นไปก็คือที่นั่งแบบห้องพิเศษ ถ้าคนเยอะสามารถไปชั้นบนได้ หานมู่จื่อเป็นกลุ่มหนึ่งที่มีเพียงสามคน และได้บวกกับคนในห้องอาหารนั้นมีมาก ดังนั้นสุดท้ายแล้วทั้งสามคนก็ได้เลือกที่นั่งที่ค่อนข้างที่จะสงบเงียบนั่งลงมาแล้ว
“สั่งอาหารก่อน”
และตอนนี้ห้องพิเศษชั้นบน
“มา มา มาคุณชายเย่ ฉันเคารพคุณสักแก้ว!” ผู้ชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความอัปลักษณ์ดุร้ายนั้นได้ยกแก้วเหล้าขึ้นมาแล้ว และได้หันเคารพไปตามทิศทางของเย่โม่เซิน
แต่ทว่าเย่โม่เซินที่ได้นั่งอยู่ตรงข้ามได้มีการแสดงออกถึงความเย็นชา ดูเหมือนว่าเดิมทีก็ไม่ได้เอาฝ่ายตรงข้ามมองอยู่ในสายตา
เซียวซู่ที่ได้ยืนอยู่ทางด้านหลังของเย่โม่เซินได้ยิ้มเล็กน้อย: “ประธานหวัง ชนแก้วเช่นนี้ไม่ค่อยดีเถอะ?”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ บนใบหน้าตุ้ยนุ้ยของประธานหวังก็ได้สั่นแล้วสั่นอีก หลังจากนั้นเขาก็วางแก้วในมือลง และได้พูดด้วยความพะอืดพะอมวางตัวไม่ถูก: “เป็นความผิดของฉัน ฉันลงโทษตัวเองสามแก้ว”
หลังจากนั้นเขาก็ได้รีบรินเหล้าสามแก้วให้ตัวเองแล้ว และได้ดื่มลงไปคำหนึ่งด้วยความกลัดกลุ้ม
คนกี่คนรอบด้านที่ได้เห็นถึงสถานการณ์ ก็ได้รีบตบมือ
“ความสามารถในการดื่มของประธานหวังดีนี่”
“ประธานหวังโชควาสนาดีจริงๆนะ วันนี้สามารถเชิญคุณชายเย่ออกมาได้ เมื่อก่อนคุณชายเย่ผู้สูงศักดิ์มีเรื่องมากมาย พวกเราต้องการจะเชิญก็เชิญไม่ได้ล่ะ แต่วันนี้คือได้เพิ่มความสดใสให้กับห้องโทรมๆจริงๆ”
คนกี่คนได้ประจบสอพลอต่อเย่โม่เซิน คนที่ฟังก็ได้ปวดกบาล
เย่โม่เซินได้ขมวดคิ้วขึ้น รอบตัวปรากฏถึงไอของไม่สบายใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นเซียวซู่จึงได้ยื่นเอวและหลังตรงทันที: “ทุกท่าน ควรพูดเรื่องธุรกิจได้แล้ว”
กลุ่มคนนี้ถึงได้นั่งเหมือนกับสอดเข็มเข้าไปบนสักหลาดด้วยความกระสับกระส่าย จากนั้นก็ได้รีบพยักหน้า
ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงได้พูดเรื่องธุรกิจขึ้นมา เมื่อเย่โม่เซินได้หันหน้าก็ได้นำบรรยากาศของชั้นล่างได้เก็บเข้าสู่ภายใต้สายตาแล้ว
ที่แท้เย่โม่เซินเพียงแค่ชำเลืองมองลวกๆเท่านั้น แต่สายตาทั้งหมดของเขากลับได้หยุดชั่วคราวไว้แล้ว หลังจากนั้นในมุมสายตาก็ได้ถูกเงาของใครบางคนดึงดูดเข้าไปแล้ว
สายตาทั้งหมดของเย่โม่เซินยึดแน่นอยู่ที่คนนั้น หลังจากนั้นก็ได้หรี่ตาขึ้น
ทำไมเธอถึงได้อยู่ที่นี่?
จุดที่หานมู่จื่อนั่งได้อยู่ตรงข้ามกับเย่โม่เซินพอด และวันนี้คาดไม่ถึงว่าเสี่ยวหมี่โต้วกับจางเสี่ยวเหยียนก็ได้นั่งอยู่ด้วยกันแล้ว เพราะว่ารออาหารยังต้องรอเวลา ดังนั้นเสี่ยวหมี่โต้วกับจางเสี่ยวเหยียนจึงได้รวมเข้าใกล้ไปเล่นเกมอยู่ด้วยกันแล้ว
หานมู่จื่อก็คือหยิบโทรศัพท์ที่ซ่อมเสร็จแล้วออกมา หลังจากนั้นก็ได้เปิดวีแชทดูแล้วดูอีก
ก่อนหน้านี้หลังจากที่ถูกผู้หญิงคนนั้นตบลงไป เธอก็ได้ยินเสียงดังของโทรศัพท์ที่ส่งออกมา น่าจะเป็นหน้าจอตกแตกแล้ว คิดไม่ถึงว่าเซียวซู่ก็ได้ซ่อมแทนเธอแล้ว
เมื่อคิดถึงคนนั้น หานมู่จื่อก็ได้เปิดวีแชทออก
ในตารางยื่นคำร้อง ยังคงมีบัญชีของเย่โม่เซิน
เพียงแต่ว่าตอนนั้นได้ถูกเธอปิดกั้นแล้ว
ทำไมก็ได้คิดถึงคนนั้นอีกแล้ว? สีหน้าของหานมู่จื่อได้หยุดชั่วคราว คนอื่นก็ได้แต่งงานแล้ว เธอยังคิดถึงเขาทำไม?
ความคิดจนถึงตอนนี้ หานมู่จื่อก็ได้เอาโทรศัพท์วางอยู่ที่บนโต๊ะ หลังจากนั้นสายตาที่นุ่มนวลทั้งหมดก็ได้มองฝั่งตรงข้ามไว้
และตอนนี้ในห้องพิเศษ หลังจากที่กลุ่มคนของผู้จัดการใหญ่ที่ได้พูดกับเย่โม่เซินเสร็จก็กลับได้พบว่าเดิมทีเขาก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบ เมื่อมองอีกถึงได้พบว่าสายตาทั้งหมดของเขาได้ทะลุผ่านมองตกไปยังทางด้านล่างของหน้าต่าง
“นี่……ทางด้านล่างมีอะไรที่คุ้มค่าให้คุณชายเย่คอยมองอยู่?”
คนกี่คนก็ได้มองเข้าไปตามเส้นสายตาของเขา ผลสุดท้ายก็ได้เห็นถึงคนหนึ่งที่มีความโดดเด่นปรากฏขึ้น เป็นผู้หญิงที่ละเอียดงดงามมีรูปร่างหน้าตาสวยงาม
กลุ่มคนคือได้ชะงักงันไปแล้วทั้งหมด แต่ว่าเร็วมากก็สามารถมีท่าทีโต้ตอบกลับมาได้
“ดูแล้ว ข่าวที่แพร่กระจายบอกว่าคุณชายเย่ไม่เข้าใกล้เสียงผู้หญิง ที่จริงก็ไม่ได้เป็นเช่นนี้เถอะ”
“คุณชายเย่ นี่คือชอบแล้ว?”
“พวกเราเข้าใจ!” หลังจากนั้นคนกลุ่มหนึ่งก็ได้หัวเราะฮ่าๆส่งเสียงดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน
เพียงแต่ว่าเสียงหัวเราะนี้ยังไม่ได้มีความยาวนานต่อเนื่องก็ได้หายไปแล้ว เพราะว่าเย่โม่เซินได้หันหัวกลับมาอย่างกะทันหัน และได้จ้องมองพวกเขาด้วยความอึมครึมเอาไว้