เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่ / เจ้าสาวมือสองของคุณชายพิก… - บทที่ 442 จงใจทำ
บทที่ 442 จงใจทำ
“ฉันใส่รองเท้าแล้ว ไม่เป็นไรหรอก”
หานมู่จื่อมีสีหน้าที่เย็นชาแล้วเดินเข้าไปอยู่ข้างๆหุ่น คิดแล้วคิดอีก แล้วจึงพูดกับเสี่ยวเหยียนไปว่า
“ยังไม่ต้องเข้ามาตอนนี้ ช่วยไปหยิบถุงมือเข้ามาให้ฉันก่อน”
ในตอนแรกเสี่ยวเหยียนก็อยากเข้าไปข้างใน แต่เมื่อได้ยินเธอพูดแบบนี้แล้วต้องหันหลังกลับไปหยิบถุงมือให้เธอ
มีเพียงเลิงเยาเยาและหานมู่จื่อเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในที่เกิดเหตุ
ในที่สุดเลิงเยาเยา ก็เช็ดน้ำตาออกและมองไปที่หานมู่จื่อ
“อยากหยิบชุดของคุณขึ้นมาหรือเปล่า? แต่ว่า … กระโปรงมันขาดไปแล้วแบบนี้ยังจะเก็บขึ้นมาอีกเหรอ
แม้ว่าจะหยิบขึ้นมาก็ใช้การไม่ได้อยู่ดี”
หานมู่จื่อเหลือบมองเธอที่อยู่ข้างๆ
“ใครบอกว่ามันใช้การไม่ได้แล้ว”
เลิงเยาเยาก็อึ้ง “หมายความว่ายังไง?”
“ยังไม่หมดหวัง” หานมู่จื่อมองไปรอบๆอย่างสงบแล้วกระซิบเบาเบาไปว่า “เธอบอกฉันก่อนว่าคุณเห็นที่แบบนี้กลายเป็นอย่างนี้ตั้งตอนไหน”
“ฉัน …” เลิงเยาเยาเม้มริมฝีปากของเธออย่างอึดอัดใจสักพัก “เมื่อวานนี้ฉันดีใจไปหน่อย เลยชวนเพื่อนๆมาดื่มด้วยกัน แล้ว … นี่เป็นผลงานชิ้นแรกของฉันที่สามารถแสดงในห้องโถงนิทรรศการได้ แม้ว่าจะเป็นห้องจัดแสดงที่ไม่มีใครเข้าชมก็ตาม แต่ก็มีความสุขมากสำหรับฉัน
ดังนั้น … ฉันเลยกลับไปดูชุดนี้ ในตอนนั้นก็ดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังดีดีอยู่แต่เมื่อฉันกลับเข้ามาดูใหม่ในเช้าวันนี้ก็กลายเป็นสภาพนี้อย่างที่เห็นแบบนี้แหละ
ฉันคิดว่าเสี่ยวเหยียนพูดถูกอาจจะมีคนบุกเข้าไปในบ้าน ขโมยแล้วทำลายข้าวของจนกลายเป็นสภาพแบบนี้ที่เราเห็น”
“ขโมยขึ้นบ้านนั้นเหรอ?” หานมู่จื่อหัวเราะเบาๆ “คิดว่า…คนที่เข้ามาขโมยจะส่งเสียงดังขนาดนี้เลยเหรอ?”
เลิงเยาเยาชะงักคำพูด “มันหมายความว่ายังไง”
“ขโมยต้องเอาของมีค่าไปสิ แล้วทำไมถึงได้มาทำลายข้าวของแบบนี้ ”
เลิงเยาเยากระพริบตา “บางทีอาจเป็นเพราะไม่มีของมีค่าอยู่ในบริษัท เลยโมโหแล้วได้ทำลายข้าวของแทนก็อาจเป็นไปได้ ว่าไหม?”
“ถ้าหากเธอเป็นขโมย แล้วมาขโมยบริษัทนี้ คุณจะทุบกระจกทั้งหมดรวมทั้งสิ่งของในตอนกลางคืนเพื่อดึงดูดผู้อยู่อาศัยข้างๆหรือเปล่าล่ะ?”
“ไม่ ฉันคงไม่ทำเรื่องโง่ๆแบบนี้แน่ การกระทำแบบนี้มันดังมากและสามารถดึงดูดผู้คนได้อย่างง่าย ”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้เลิงเยาเยาก็หยุดกะทันหันและคิดอะไรบางอย่าง
“เป็นไปได้ไหม …ที่ว่ามีไม่ได้เข้ามาในบ้านเพื่อขโมยของ แต่ …” เธอจ้องมองหานมู่จื่อด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
หานมู่จื่อไม่ได้แก้ความสับสนของเธอ แต่ในเวลานี้เสี่ยวเหยียนหยิบถุงมือขึ้นมา
หลังจากสวมใส่แล้วหานมู่จื่อก็ก้มลงและตบเศษแก้วเบา ๆ บนชุดจากนั้นจึงหยิบชุดออกจากกองเศษกระจก
เมื่อเสี่ยวเหยียนและเลิงเยาเยาหยิบมันขึ้นมาเมื่อเธอออกมาพร้อมกับชุดของเธอหานมู่จื่อขมวดคิ้ว
ดังนั้นเสี่ยวเหยียนและเลิงเยาเยาเดินถอยไปข้างๆ
แล้วหาพื้นที่ว่างๆเพื่อจะวางเสื้อลง จากนั้นถอดถุงมือ
“มู่จื่อขาของเธอได้รับบาดเจ็บนิ ” เสี่ยวเหยียนสังเกตเห็นคราบเลือดเล็กน้อยที่ข้อเท้าของเธอ
หานมู่จื่อไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดจึงไม่ได้สนใจ “ ไม่เป็นไร อาจจะมีเศษแก้วหลงเหลืออยู่ในเสื้อก็เป็นได้
ช่วยกันเอาเศษแก้วออกกันก่อนเถอะ”
เลิงเยาเยานั่งยองๆข้างๆเธอและมองดูอย่างมืดมน
“แต่จะเกิดอะไรขึ้น หลังจากหาเจอก็ไม่รู้? กระโปรงตัวนี้ได้ขาดเสียหายไปแล้ว
และ … งานแถลงข่าวที่หลินซิงหั่วจะเข้าร่วมก็อีกไม่กี่วันแล้ว จะทำใหม่ก็คงทำไม่ทัน ไม่มีเวลาแล้ว?”
เสี่ยวเหยียนนั่งย่อๆลงข้างๆ มองดูชุดที่ขาดเสียหาย“มู่จื่อ จะทำยังไงดี? ชุดตัวนี้เสียหายยับเยินเกินไป ใกล้ถึงวันงานแล้วจะมีเวลาซ่อมทันรึเปล่า?”
หานมู่จื่อมองไปยังชุดที่ขาดและเสียหายอย่างยับเยินที่อยู่ตรงหน้าแล้วรู้สึกหดหู่เล็กน้อย
เธอเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “ก่อนอื่นเอาเศษแก้วออกมาแล้วค่อยคุยเรื่องนี้ทีหลัง”
เธอใจเย็นและนิ่งอย่างมากแต่ก็ผิดปกติเช่นกันที่หลังจากเกิดเรื่องๆนี้ขึ้น
กลับกันกับทั้งสองที่กำลังรีบร้อนจะเป็นจะตาย
เสี่ยวเหยียนทำงานกับเธอมานาน แต่เลิงเยาเยานั้นแตกต่างออกไปเธอเพิ่งได้รู้จักกับหานมู่จื่อเมื่อไม่นานมานี้เอง
เมื่อเห็นท่าทางที่เรียบง่ายของเธอก็รู้สึกเป็นกังวลแล้วจึงพูดออกมา “ แล้วจะเอายังไงต่อ? พูดมาสิ?กระโปรงขาดยับเยินขนาดนี้แล้วทำไมถึงไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไรเลยรึไงกัน
นี่คือชุดที่ ที่ประชุมของบริษัทเราจะทำให้กับหลินซิงหั่วเลยนะ แล้วจะรับมือยังไง มีวิธีแล้วเหรอ?”
“ไม่มี” หานมู่จื่อบอกความจริงออกมา
เรื่องมันเพิ่งเกิด เธอเองก็สับสนเช่นกัน แล้วจะคิดวิธีการที่แก้ไขได้อย่างกะทันหันได้ยังไงกัน?
แต่ตอนนี้ก็ต้องจัดการอย่างเร่งด่วนด้วย จากนั้นจึงคิดหาวิธีรับมือ
“… ถึงอย่างนั้นแล้วเธอก็ยังไม่ตกใจแม้แต่เล็กน้อยเลยเหรอ” เลิงเยาเยาสูดหายใจเข้าแล้วพูด
“ตกใจแล้วจะแก้ปัญหาได้ไหม? สามารถนำเศษแก้วออกมาได้หรือเปล่า? หยุดพูดเรื่องไร้สาระและลงมือทำโดยเร็วดีกว่าไหม”
เสี่ยวเหยียนได้กระซิบกับเลิงเยาเยา “ ทำตามสิ่งที่มู่จื่อพูดเร็วเธอ แม้ว่านี่จะเป็นงานของคุณ แต่อย่าลืมว่าคนที่รับผิดชอบงานบริษัท คือมู่จื่อนะ ถ้าเกิดเรื่องก็คือเธอที่ต้องรับผิดชอบทั้งหมด”
เมื่อเสี่ยวเหยียนพูดอย่างนั้น เลิงเยาเยาก็ดูเหมือนจะตอบสนองจากนั้นก็พยักหน้าแล้วจึงช่วยกันหยิบเศษแก้วออกจากชุด
เมื่อช่วยกันเก็บกวาดเสร็จหมดแล้ว หานมู่จื่อก็พูดอย่างเย็นชาว่า “ถ้ากลับถึงบ้านไปแล้วก็ทำตัวปกติ ให้ทำเหมือนว่าคืนนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
“อะไรนะ”ดวงตาของเลิงเยาเยาเบิกกว้างอย่างไม่น่าเชื่อ แต่เมื่อเห็นท่าทางที่สงบของหานมู่จื่อ
เธอรู้สึกว่าเธอควรจะเชื่อเธอ เธอจึงพยักหน้าและเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาที่มุมตาของเธอ
“ฉันเข้าใจแล้วเมื่อกี้ฉันไม่ได้ร้องไห้ ฉันแค่กังวลที่เห็นงานของฉันถูกทำลายแบบนั้น”
หานมู่จื่อ “… ฉันเข้าใจแล้ว ทุกคนกลับไปได้แล้ว”
หานมู่จื่อเอาชุดไปที่ห้องทำงานของตน จากนั้นนั่งลงบนเก้าอี้แล้วจ้องมองชุดนั้น
คนที่ทำลายชุดนี้กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ ชุดนี้ทำมาจากผ้าไหมจึงใช้มือเปล่าทำลายไม่ได้จึงใช้ของมีคมทำลายถึงได้เสียหายได้ขนาดนี้
ด้วยอาการปวดหัว หานมู่จื่อจึงเอื้อมมือไปบิดคิ้ว
ทันใดนั้น WeChat ก็ดังขึ้น
หานมู่จื่อเหลือบมองไปดู แล้วเห็นว่าหลินซิงหั่วได้ส่งข้อความถึงเธอ
หลินซิงหั่ว{คนสวยของฉัน ฉันได้ยินว่า ทำชุดของฉันเสร็จแล้ว? }
หานมู่จื่อรู้สึกงุนงงมากเมื่อเห็นว่าเป็นชื่อของหลินซิงหั่ว ว่าทำไม วันก่อนให้เธอมาลองชุดกลับไม่มาลองแต่เมื่อชุดพังแล้วก็เกิดอยากลองชุดขึ้นมากันทำไมนะ ปวดใจจริงๆ
หานมู่จื่อครุ่นคิดสักครู่แล้วตอบกลับ
{ใช่ ทำเสร็จแล้ว วางอยู่ที่ห้องโถงนิทรรศการชั้นหก }
หลังจากคิดได้แล้วดวงตาของเธอก็มืดลงเล็กน้อยเธอจึงพิมพ์แชทและส่งไป
{แต่ว่า มีปัญหาเล็กน้อย }
หลินซิงหั่ว{เกิดอะไรขึ้น ? อย่ามาทำให้ฉันตกใจนะ! }
มีสีหน้าตื่นตระหนกเล็กน้อยทำให้หานมู่จื่อลังเลในทันที และคิดอยู่ว่าจะบอกเธอโดยตรงหรือจะถ่ายรูปแล้วส่งให้เธอดี?