เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่ / เจ้าสาวมือสองของคุณชายพิก… - บทที่ 464 ร่วมใจ
บทที่ 464 ร่วมใจ
ค่ำวันเดียวกัน หัวข้อเกี่ยวกับ จ้าวยี่หรู คือใครขึ้นเทรนด์อย่างรวดเร็ว
เมื่อคลิกเข้าไปดูจึงเห็นวิดีโอที่ประธานหานชิงแห่งบริษัทตระกูลหานกำลังยืนสอดมือข้างหนึ่งไว้ในกางเกง ถามด้วยสีหน้าเมินเฉยว่า “จ้าวยี่หรู คือใคร”
พวกที่อยากรู้อยากเห็นต่างก็พากันมาเยาะเย้ยว่า จ้าวยี่หรู แสดงละครหลอกลวง พูดเองเออเอง ถึงกระทั่งเพ้อเจ้อว่าตัวเองเป็นคุณนายน้อยในตระกูลไฮโซ ไม่ดูตัวเองเลยว่าอยู่ระดับไหน
เมื่อเห็นเทรนด์ที่กำลังมาแรง เสี่ยวเหยียนสวมเพียงเสื้อคลุมอาบน้ำ เธอรีบหยิบมือถือแล้ววิ่งไปที่ห้องของ หานมู่จื่อ จากนั้นก็ขลุกอยู่ในห้องด้วยกัน
“มู่จื่อ คำพูดของเธอยังได้ผล พี่ชายเธอออกมาตอบโต้กลับแล้ว ตอนนี้ในอินเทอร์เน็ตกำลังหัวเราะเยาะ จ้าวยี่หรู อยู่ล่ะ” เสี่ยวเหยียนเอามือปิดปากแล้วหัวเราะออกมา “แค่คิดถึงสีหน้าได้ใจของหล่อนที่ตอนนี้คงกำลังโกรธอย่างบ้าคลั่ง ฉันก็มีความสุขสุดๆ ไปเลยล่ะ”
“เธอน่ะพอได้แล้ว มันน่าดีใจตรงไหน”
“ทำไมจะไม่ดีใจล่ะ หล่อนอยากหลอกลวงคนอื่นไม่ใช่หรือไง ตอนนี้คนแฉแล้ว ฉันอยากจะรู้จริงๆ ว่าต่อจากนี้หล่อนจะแสดงยังไงอีก หน้าไม่อายจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะใช้ชื่อเสียงคนอื่นทำให้ตัวเองดัง เหอะ เธอดูคอมเมนต์ของชาวเน็ตสิ”
หานมู่จื่อ เหลือบมองแวบหนึ่ง คำพูดรุนแรงทั้งนั้น
ก่อนหน้านี้ที่ชาวเน็ตต่างพากันมาอิจฉาเธอ ตอนนี้กลับกลายเป็นโจมตี จ้าวยี่หรู ทั้งหมด
ต่อว่าเธอหน้าไม่อาย ไม่มีความละอายใจ สวยแต่ไร้สมอง ไล่เธอออกจากวงการบันเทิง
{โปรดเรียกฉันว่านักพยากรณ์หนึ่งเดียวในที่นี้ ฉันบอกแต่แรกแล้วว่าประธานของบริษัทตระกูลหานไม่เข้าใกล้ผู้หญิงมานานมาก ทุกคนรู้ว่าจนถึงตอนนี้เขายังโสด รสนิยมของเขาต้องสูงแน่นอน จะไปชอบคนสวยแต่ไร้สมองแบบ จ้าวยี่หรู ได้ยังไงกัน ถ้าเป็น หลินซิงหั่ว ยังจะน่าเชื่อมากกว่าเสียอีก คนที่เคยยินดีและอิจฉาเธอช่างน่าตลกสิ้นดี คิดไม่ถึงจริงๆ ว่า จ้าวยี่หรู จะใช้ชื่อเสียงของหานชิงมาทำให้ตัวเองดัง สงสัยคงคิดว่าเขายุ่งจนไม่มีเวลามาสนใจเรื่องพวกนี้ล่ะสิ ตอนนี้คงจะโดนตบหน้าเป็นตัวตลกแล้วสิ}
{หานชิงดูไม่ค่อยมีมารยาทเลยนะ ถึงจะไม่รู้จัก จ้าวยี่หรู แต่ก็ควรปฏิบัติต่อผู้หญิงอย่างมีความเป็นสุภาพบุรุษหน่อย เล่นปฏิเสธตรงๆ ไปแบบนั้น ไม่พูดอะไรก็ดีแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะถามว่าเธอคือใคร จ้าวยี่หรู โด่งดังขนาดนั้น ตาบอดหรือเปล่าที่พูดว่าไม่รู้จัก}
{คอมเมนต์บนมาพูดเรื่องตลกหรือไง ในเมืองเป่ยหานชิงอยู่ในระดับไหนแล้ว เขาอยู่ในวงการธุรกิจอันยิ่งใหญ่จะมาสนใจนางเอกในวงการบันเทิงเล็กๆ แถมยังสวยแต่ไม่มีสมองแบบนั้นเนี่ยนะ}
{คอนเมนต์บนแสดงความคิดเห็นปัญญาอ่อน +1 คงจะเป็นแฟนคลับปัญญาอ่อนของจ้าวยี่หรู}
{หัวเราะดูหมาบ้า}
{แฟนคลับบางคนเคยพูดโอ้อวดอย่างบ้าคลั่ง ตอนนี้หน้าแตกแล้วเป็นไงล่ะ ยังไม่รีบมุดผ้าถุงกลับไปเก็บเศษหน้าอีก!}
เมื่ออ่านถึงตรงนี้ หานมู่จื่อ จึงละสายตาออก “พอแล้วล่ะ ถือว่าเรื่องนี้จบแล้ว เธอได้ระบายความโกรธแล้ว รีบกลับไปนอนเถอะ”
“เหอะ ฉันได้ระบายความโกรธแน่นอน หานชิงบอกว่าไม่รู้จักหล่อน นั่นก็แสดงว่าเขาไม่เคยส่งกระโปรงให้หล่อน งั้นกระโปรงที่ใส่ก็เป็นของปลอม หลังจากนี้หล่อนจะโดนแบรนด์สินค้าหลายแบรนด์ปฏิเสธแน่นอน”
“โอ๊ย สะใจจริงๆ ฉันไปนอนละ”
เมื่อเสี่ยวเหยียนออกไปแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของ หานมู่จื่อ ค่อยๆ จางหายไป เธอพิงเตียงแล้วหยิบหนังสือออกนั่งเหม่อ
หนังสือนิยายที่ชอบอ่านเมื่อก่อน ทว่าตอนนี้กลับไม่สามารถอ่านต่อไปได้แม้แต่ตัวเดียว ในสมองมีแต่คำพูดของเย่โม่เซินที่พูดกับเธอ
“คุณแม่”
ตอนที่เธอกำลังคิดอย่างจริงจัง จู่ๆ ก็มีมือน้อยๆ แตะลงมาบนใบหน้าของเธอ
หานมู่จื่อ หลุดออกจากภวังค์ เห็นเสี่ยวหมี่โต้วอยู่ใกล้มาก เจ้าตัวแสบคุกเข่าอยู่บนเตียง ยื่นมือออกมาแตะเบาๆ ลงบนหน้าของเธอ “คุณแม่กำลังคิดอะไรอยู่ เสี่ยวหมี่โต้วเรียกแม่ตั้งนาน”
“เสี่ยวหมี่โต้ว” หานมู่จื่อ มองลูกชายด้วยสีหน้ารู้สึกผิด “ขอโทษนะ เมื่อกี้แม่กำลังคิดเรื่องอะไรอยู่น่ะ ลูกเรียกแม่นานแล้วเหรอ”
“อื้ม!” เสี่ยวหมี่โต้วพยักหน้าอย่างใสซื่อ “ผมเรียกแม่สามสี่รอบแล้ว แต่แม่ไม่สนใจผม แม่มีเรื่องอะไรกลุ้มใจหรือเปล่าครับ เสี่ยวหมี่โต้วพอจะแบ่งเบาความทุกข์ของแม่ได้ไหมครับ”
กลุ้มใจเหรอ แบ่งเบาความทุกข์เหรอ
หานมู่จื่อ มองเจ้าตัวแสบที่อยู่ตรงหน้า เธอโอบเจ้าตัวเล็กเข้ามากอดอย่างอดไม่ได้ จากนั้นจึงพูดเบาๆ ว่า “ไม่มีอะไรหรอก เมื่อกี้แม่แค่คิดเรื่องงานน่ะ เลยเหม่อไปเท่านั้น ก่อนหน้านี้ที่เสี่ยวหมี่โต้วพูดกับแม่ ลูกอยากให้คนที่เก่งสุดยอดมาเป็นพ่อของลูกใช่ไหม”
เสี่ยวหมี่โต้วกะพริบตาปริบๆ “ไม่ได้เหรอครับ”
หานมู่จื่อ หัวเราะ “แม่ก็แค่ถามดู ทำไมต้องเจาะจงว่าเป็นเขาล่ะ มีคนที่เก่งกว่าเขาตั้งเยอะแยะ อีกอย่างแม่ยังหาคนที่ดีกว่านั้นให้ลูกได้นะ”
ได้ยินดังนั้น เสี่ยวหมี่โต้วก็ขมวดคิ้วแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจ “แต่ว่าเสี่ยวหมี่โต้วรู้สึกว่าเขาเก่งสุดยอดเลยนะครับ”
หานมู่จื่อ รู้สึกว่าความคิดของเด็กคนนี้แน่วแน่มาก อยากพูดโน้มน้าวเขา แต่เมื่อมาคิดดูอีกครั้งวันนั้นเขาไม่เห็นว่าคนบนตึกเป็นใคร เด็กคนนี้ได้ยินเพียงว่าอีกฝ่ายเป็นคนยิ่งใหญ่ แต่ทว่าไม่ได้เห็นหน้าเขา
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เธอจะปิดบังเขาได้ใช่ไหมนะ
ถ้าหาคนอื่นเสี่ยวหมี่โต้วคงไม่รู้หอก
ไม่ได้ คนเป็นแม่จะหลอกลวงลูกตัวเองได้อย่างไรกัน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หานมู่จื่อ ยิ้มแล้วพูดอธิบายว่า “แต่ว่าแม่ไม่อยากอยู่กับเขา แล้วก็ไม่อยากให้เขาเป็นพ่อของลูกด้วย”
“เอ๋?” เสี่ยวหมี่โต้วเงยหน้าขึ้น กะพริบตามองผู้เป็นแม่อย่างสงสัย “แม่ไม่ชอบคนนั้นเหรอครับ”
“อื้ม” หานมู่จื่อ พยักหน้า “ไม่ชอบ”
เสี่ยวหมี่โต้วย่นจมูก คิดอยู่ครู่หนึ่งจึงกอดคอของผู้เป็นแม่แล้วถูแก้มของเธอด้วยความรักใคร่ “งั้นก็ได้ ในเมื่อแม่ไม่ชอบ งั้นเสี่ยวหมี่โต้วก็ไม่ต้องการเขาเป็นพ่อแล้ว”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ขอบตาของ หานมู่จื่อ ก็ร้อนผ่าวอย่างแปลกประหลาด
เดิมทีเธอคิดว่าเด็กคนนี้จะยืนกรานไม่ยอม แต่คิดไม่ถึงว่าเด็กคนนี้จะยอมอย่างว่าง่าย อีกทั้งตอนพูดประโยคนี้สีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความเศร้าใจ จู่ๆ เธอก็รู้สึกซาบซึ้งจนบอกไม่ถูก
เธอไม่กล้าให้ลูกเห็นน้ำตาของตัวเอง จึงยื่นมือไปกอดลูกมาไว้ในอ้อมอก หยดน้ำตาเอ่อล้นอยู่ในดวงตา
“เสี่ยวหมี่โต้วของแม่เป็นเด็กดีจริงๆ โตแล้วสินะ โตเป็นผู้ใหญ่ที่รู้ความแล้ว”
ขอแค่เสี่ยวหมี่โต้วเห็นด้วย เธอสามารถไปหาคนอื่นได้
สำหรับเรื่องของเย่โม่เซิน เธอต้องหาวิธีหย่ากับเขาให้ได้
ห้าปีก่อนเขาอยากหย่า ไม่ยอมให้เธอเจอหน้า แถมยังไม่ยอมฟังคำพูดของเธอ
ห้าปีหลังจากนั้น ไม่ว่าอย่างไรเธอจะไม่กลับไปอยู่กับเขาอีก ไม่ให้บทเรียนนี้เกิดขึ้นซ้ำอีก
ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องหย่า
เธอจะไม่ให้เย่โม่เซินเป็นพ่อของเสี่ยวหมี่โต้ว เธอจะหาพ่อใหม่ให้เสี่ยวหมี่โต้ว หาผู้ชายที่รักครอบครัวและมีความรับผิดชอบ
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เธอจึงหลับตาลงแล้วกระชับคนในอ้อมกอดอย่างเสี่ยวหมี่โต้วให้แน่นขึ้น
“คุณแม่ เรานอนกันเถอะ” จู่ๆ เสี่ยวหมี่โต้วก็ผลักเธอออก หานมู่จื่อ เอาหน้าหลบอย่างลุกลี้ลุกลน เพราะว่าบนใบหน้าของเธอยังมีคราบน้ำตา แต่ทว่าเสี่ยวหมี่โต้วกลับไม่ได้มองเธอ แถมยังปีนขึ้นไปปิดโคมไฟด้วยตัวเอง
ภายในห้องเข้าสู่ความมืด หานมู่จื่อ อึ้งไปเล็กน้อยจากนั้นจึงเอามือเช็ดน้ำตาบนหน้าของตัวเอง จากนั้นจึงยิ้มแล้วพูดว่า “โอเค เรานอนกันเถอะ ฝันดีนะเสี่ยวหมี่โต้ว”
เสี่ยวหมี่โต้วโน้มตัวเข้ามา ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือเปล่า ปากนิ่มๆ ของเด็กน้อยประทับลงบนคราบน้ำตาของเธอ “ฝันดีครับแม่”