เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่ / เจ้าสาวมือสองของคุณชายพิก… - บทที่ 482 ตายแล้วยิ่งดี
บทที่ 482 ตายแล้วยิ่งดี
หานชิงขมวดคิ้ว มองดูร่างเล็กกระจุ๋มกระจิ๋มที่อยู่ในสายตาของเขาค่อยๆหายไปจนลับสายตา เขาไม่ได้มีเวลามากพอจะตอบสนอง
เสี่ยวเหยียนรีบวิ่งขึ้นไปชั้นบนและซ่อนตัวอยู่ในห้องหนังสือของตนเอง หัวใจเต้นแรงตึกตัก
เกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย หานชิงเดินเข้ามาหาเธอแล้ว อีกอย่างหากว่าเธอมองไม่ผิด เขากำลังจ้องมองริมฝีปากของเธอ
หรือว่า…จะมาหาเธอเพราะเรื่องที่เธอจูบเขาในวันนั้นหรือเปล่า
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เสี่ยวเหยียนก็รีบยกมือขึ้นมาจับหน้าอกของตัวเองทันที “เต้นอะไรนักหนา ทำไมถึงไม่ได้เรื่องแบบนี้เนี่ย”
คิดแล้วคิดอีก เธอรู้สึกเสียใจขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อหานชิงเข้ามาใกล้ตนเองอีกครั้ง เธอจะหนีเพื่ออะไร โอกาสที่ดีแบบนี้ เธอควรจะหยอกล้อเขาอีกครั้งหรือไม่
ตัวอย่างเช่น จะแอบเข้าจู่โจมเขาอีกทีอย่างนั้นหรือ
เป็นความคิดที่ดี!
แต่ว่า…เธอเสียโอกาสที่ดีแบบนี้ไปแล้ว
ฮือๆๆ … เสี่ยวเหยียนเอามือปิดแก้มและมีน้ำตาไหล
*
โรงพยาบาล
เมื่อหานมู่จื่อก็นำกระติกเก็บอุณหภูมิไปถึงโรงพยาบาล ก็เป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วโมงแล้ว
ตอนที่เธอกำลังเข้าไปยังห้องผู้ป่วย ดวงตาที่มีความสุขของเย่โม่เซิน ก็เปลี่ยนเป็นความลึกล้ำอย่างรวดเร็ว เขาก็นั่งอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าเงียบขรึม และไม่ทักทายเธอ
หานมู่จื่อก็ไม่ได้สนใจเขาเช่นกัน วางเก็บกระติกเก็บอุณหภูมิลงบนโต๊ะ จากนั้นก็เปิดฝาออก
ฝาถูกเปิดออก กลิ่นหอมจากด้านในลอยออกมา จากนั้นก็คละคลุ้งไปทั่วห้องผู้ป่วย เย่โม่เซินรออยู่ที่นี่เป็นเวลานานแล้ว เมื่อรับสายโทรศัพท์ของเธอเขาก็รีบวิ่งมาโดยไม่ได้กินข้าว ตอนนี้ท้องของเขาว่าง ในช่องท้องเหมือนจะปั่นป่วนขึ้นมา
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ผู้หญิงคนนี้…
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ลำคอของเขาก็ขยับ แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้พูดอะไรสักคำ
หานมู่จื่อเทโจ๊กลงในชาม เมื่อคิดพิจารณาถึงความไม่สะดวกและอาการบาดเจ็บของเขา ดังนั้นจึงได้ยกอาหารไปให้เขาถึงตรงหน้าเป็นพิเศษ
“กินสิ”
เย่โม่เซินไม่รับ จ้องมองเธออย่างไม่พอใจ
หานมู่จื่อเลิกคิ้ว “ทำไม ไม่หิวเหรอ”
“คุณบอกว่าให้ผมรอหนึ่งชั่วโมง”
“ใช่ไง” หานมู่จื่อพยักหน้า “มีปัญหาอะไรหรือ”
เย่โม่เซินไม่พูดจาอะไร สายตาจ้องมองเธอแน่น หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงบ่น
“คุณมาสายไปครึ่งชั่วโมงเต็ม”
หานมู่จื่อ “….แล้วอย่างไร เป็นเพราะฉันมาสาย ดังนั้นนายก็เลยจะไม่กินอะไรแล้วสินะ” พูดจบ หานมู่จื่อก็ยังขยับชามในมือเขา
เย่โม่เซิน “ง้อผมก่อน”
หานมู่จื่อ “?”
เย่โม่เซิน “ผมเป็นคนป่วยนะ”
“….” หานมู่จื่อต้องอดกลั้นต่อแรงกระตุ้นของเขา ริมฝีปากแดงนั้นยิ้มอย่างเย้ยหยัน “นายเอาจริงหรือ”
“อื้ม” เย่โม่เซินพยักหน้า จากนั้นก็นั่งลงข้างหน้า ลมหายใจผสมผสานไปด้วยกันกับเธอ “ไม่ง้อ ผมก็ไม่กิน หากว่าผมไม่กิน แผลก็คงยากที่จะหาย บาดแผลนี่ก็ได้มาเพราะเธอ หมอบอกว่า ต่อไปก็จะกลายเป็นแผลเป็น”
หานมู่จื่อชำเลืองมองเขา คนคนนี้จงใจจะใช้เรื่องบาดแผลมาเป็นข้ออ้างในการฉวยโอกาสให้ตัวเองหรือเปล่า
เห็นชัดว่าใช่แน่นอน
“อีกอย่างก็ยังต้องผ่าตัดตกแต่ง คุณจะใจแข็งไม่ให้ผมกินข้าวหรือ”
ฟังจบ หานมู่จื่อก็หัวเราะขึ้นมา วางชามในมือลงบนโต๊ะด้านข้าง พูดออกมาด้วยเสียงที่คมชัด
“จะกินหรือไม่กิน คนที่จะหิวจนตายก็ไม่ใช่ฉัน”
พูดจบเธอก็ลุกขึ้นและเดินไปยังกระติกเก็บอุณหภูมิ บรรจุของลงไปและปิดฝา จากนั้นเธอก็หยุดนิ่งลงครู่หนึ่ง หางตามองไปยังเย่โม่เซิน เจ้าบื้อนั้นกำลังกลับไปนอนหงายอยู่บนเตียง การบาดเจ็บที่หลังของเขาล่ะ!
เมื่อคิดได้แบบนี้ ใบหน้าของหานมู่จื่อก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน รีบหมุนตัวหันแล้วเดินกลับไป
“นายกำลังทำอะไร นายไม่รู้หรือว่าที่หลังของนายมีบาดแผล ยังจะมานอนแบบนี้อีกหรือ”
เย่โม่เซินเอนตัวนอนอยู่ที่นั่น หน้าตาดูหมดอาลัยตายอยาก
“ไม่มีใครสนใจผมอยู่แล้ว ตายซะเลยดีกว่า”
น้ำเสียงของเด็กน้อยคนนี้เป็นอะไรไปแล้ว หานมู่จื่อรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย ในที่สุดก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา นั้นก็คือนิสัยของเย่โม่เซินได้เปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ ปฏิบัติต่อตนเอง ตอนนี้เขากำลังอยู่ในโหมดหน้าตาย
เขาไม่รู้เลยว่าสถานะของตนเองเป็นประธานของบริษัทตระกูลเย่ ไม่เคยสนใจกับภาพลักษณ์ของตนเองเลย
ทำไมถึง…มีคนแบบนี้ด้วย
แม้ว่าหานมู่จื่อจะโกรธมาก แต่เมื่อนึกถึงความเจ็บปวดที่น่าตกใจที่อยู่ในความทรงจำของเธอ ก็ทำให้เธอทำอะไรไม่ถูก
เย่โม่เซินเขาคงเจ็บปวดมากจริง ๆ ได้รับบาดเจ็บจากน้ำกรด ไม่ต้องนึกถึงผิวที่หลังของเขาต่อจากนั้นเลย มันจะต้องทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้อย่างแน่นอน และในฐานะคนธรรมดา บาดเจ็บแบบนี้ก็คงจะล้มลงไปนานแล้ว แต่เขากลับใช้บาดแผลที่บาดเจ็บนี้เพื่อต่อปากต่อคำกับตนเอง คิดอยากจะให้ตัวเองอยู่เป็นเพื่อนเขา
ช่างมันเถอะ จะอย่างไรก็ต้องรอให้เขาหายจากอาการบาดเจ็บเถอะ
ในที่สุด หานมู่จื่อก็หลับตาลง พยายามระงับอารมณ์อื่น ๆภายในใจ ในที่สุดก็ลืมตาขึ้นและยกชามขึ้นไว้บนโต๊ะ “อย่างนั้นฉันก็ขอร้องนายแล้วกันเย่โม่เซิน นายช่วยลุกขึ้นมากินอะไรเถอะนะ ร่างกายเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ไม่มีชีวิตแล้ว นายก็ไม่มีอะไรเหลือแล้ว”
เธอเริ่มเปิดฉากบ่นใส่เขาราวกับเป็นหญิงชรา
ใบหน้าของเย่โม่เซินเปลี่ยนไปเล็กน้อย ส่งสายตามองไปที่เธอ
“คุณกำลังง้อผมอยู่หรือเปล่า”
เธอพยักหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ “ไม่ใช่หรือไง”
เย่โม่เซินยกมุมปากที่ซีดขึ้นเล็กน้อย “ไม่นับ ผมยังไม่อยากกิน”
หานมู่จื่อไม่ได้มีอารมณ์หงุดหงิดจริง ๆ “อย่างนั้นนายต้องการอะไร”
เย่โม่เซินยกมือขึ้น ชี้ไปที่มุมริมฝีปากของเขา สิ่งนี้มีความหมายที่ชัดเจน หานมู่จื่อมองดู รูม่านตาก็หดเล็กลง
เจ้าคนหน้าด้านไร้ยางอายนี่
“เป็นไปไม่ได้ ฉันง้อก็เพื่อขอให้คุณกิน แต่ไม่ได้มีอะไรอย่างอื่น เย่โม่เซิน ถ้านายไม่อยากกินละก็ อย่างนั้นฉันก็จะเอาโจ๊กที่ต้มมาเองกับมือทิ้งไปให้หมด หลังจากนั้นก็โทรเรียกเซียวซู่่ให้มาที่นี่ แล้วนายก็ให้เขาคอยดูแลนายเถอะนะ สำหรับอาการบาดเจ็บของนาย ฉันจะเป็นคนจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ทั้งหมด” พูดจบ หานมู่จื่อก็หยิบโทรศัพท์ออกมา คิดจะโทรไปหาเซียวซู่่
ท้ายที่สุดในวินาทีต่อมา เย่โม่เซินลุกขึ้นจากเตียงในทันที เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วมากจนหานมู่จื่อต้องตกใจ
ยังไม่ทันที่เธอจะตอบสนอง เย่โม่เซินก็กระชากข้อมือที่กำลังถือโทรศัพท์
“เธอเพิ่งจะบอกว่า อาหารพวกนี้เธอทำเองกับมือทั้งนั้นไม่ใช่หรือ” เย่โม่เซินไม่สนใจสิ่งอื่นใด เขาสนใจแต่สิ่งนี้
หานมู่จื่อเห็นเขาลุกขึ้นนั่งอย่างทันทีทันใด การกระทำที่รุนแรงแบบนี้มีผลกระทบกับบาดแผลแน่นอน ดังนั้นจึงลืมไปแล้วแม้แต่เรื่องที่กำลังจะโทรศัพท์ เดินตรงไปที่หลังของเขาเพื่อจะไปดูอาการบาดเจ็บของเขา แต่เย่โม่เซินยังคงกำข้อมือของเธอไว้แน่น
“ตอบผมมา!”
“ใช่ ทำด้วยตัวเองทั้งหมด ดังนั้นสรุปว่านายจะกินหรือไม่กิน”
“กิน” เย่โม่เซินจ้องมองเธอ ยื่นมือออกจากเธอ “เมื่อกี้นี้ผมผิดเอง ตอนนี้ผมกำลังจะกินแล้ว”
หานมู่จื่อ “……”
เธอนำชามมาวางไว้ตรงหน้าเขา “รีบกินเถอะ ไม่อย่างนั้นมันจะเย็นหมด”
“อื้ม” เย่โม่เซินพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง จากนั้นเขาก็ยกชามขึ้นก้มศีรษะกินโจ๊กที่เธอต้มด้วยตนเอง หลังจากชิมไปคำหนึ่งก็ขมวดคิ้วขึ้น “ทำไมถึงได้จืดชืด”
“หรือไม่อย่างนั้น นายเจ็บอยู่แบบนี้ จะให้ฉันเตรียมอาหารค่ำอันเลิศรสให้ไหม”
เย่โม่เซิน “……”
ส่งสายตามองไปยังเธอด้วยความเย็นชา ปากของเย่โม่เซินกระตุก “ไม่เลย นี่เป็นสิ่งที่เยี่ยมที่สุด”