เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่ / เจ้าสาวมือสองของคุณชายพิก… - บทที่ 68 ยักคิ้วหลิ่วตา
เธอกดน้ำเสียงของตัวเองให้ต่ำมาก เพื่อไม่ให้หานเส่โยวที่อยู่ข้างหน้าได้ยิน
เย่โม่เซินยิ้มมุมปาก ก็จะเอ่ยขึ้นมาว่า
“กลัวเหรอ?”
เสิ่นเฉียวมองไปทางหานเส่โยวที่อยู่ข้างหน้า
วันนี้เธอใส่กระโปรงสีแดง รูปทรงของกระโปรงทำให้เรือนร่างของเธอดูสวยมีทรวดทรงองเอว หุ่นของเส่โยวนั้นดูดีมาตลอด มีนมมีก้น อย่าบอกนะว่า เย่โม่เซินชอบเธอเข้าแล้ว?
คิดได้แบบนั้น เสิ่นเฉียวก็กำหมัดแน่น แล้วกัดริมฝีปากพูดว่า:“คุณก็รู้ว่าเธอเป็นเพื่อนของฉัน แล้วทำไมยังตอบรับคำเชิญไปกินข้าวเช้ากับพวกเราอีก?คุณมีเจตนาอะไรกันแน่?”
“หญิงแม่หม้าย ดูเหมือนเธอจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้นะ”เย่โม่เซินหัวเราะเยาะออกมา น้ำเสียงมีความเย้ย หยั่นเธอ :“แต่เพื่อนเธอชวนฉันเองนะ ถ้าฉันคิดไม่ซื่อ เพื่อนเธอก็คิดกับฉันไม่ซื่อเหมือนกันนั่นล่ะ”
เสิ่นเฉียว:“……”
พูดมีเหตุผล เธอไร้ซึ่งหนทางตอบโต้!
ไม่!เส่โยวไม่ใช่คนแบบนั้น!
“คุณเลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว เส่โยวก็แค่ถามคุณตามารยาทเพราะเห็นคุณกำลังออกจากห้องมาก็เท่านั้น ใครจะไปรู้ว่าอยู่ๆคุณก็ตบปากรับคำมาด้วยกัน?”ไม่ว่ายังไง เสิ่นเฉียวก็เชื่อหัวชนฝาว่าหานเส่โยวไม่มีทางคิดไม่ซื่อกับเย่โม่เซิน
แต่ในความเป็นจริง ถ้าตัดเรื่องที่เขาเป็นคนพิการออกไป เย่โม่เซินก็เป็นผู้ชายที่โด่ดเด่นคนหนึ่งเลย แต่เขากับเธอก็เป็นสามีภรรยากัน เส่โยวไม่มีทางคิดอะไรแบบนั้นกับเขาแน่
เธอรู้นิสัยเส่โยวดี!
“เหอะ ไร้เดียงสาจริงๆ”เย่โม่เซินรู้ว่าเธอเป็นพวกที่ตามไม่ทันคน เขาจึงขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับเธออีก
ถึงเสิ่นเฉียวจะโมโห แต่เธอก็จำเป็นต้องเข็นเย่โม่เซินเข้าไปในลิฟต์ แล้วกดปุ่มปิดลิฟต์อย่างไม่เต็มใจ
แต่ในขณะที่ลิฟต์กำลังจะปิดไปนั้น ก็มีมือข้างหนึ่งสอดเข้ามาตรงกลางของประตู ทำให้ประตูลิฟต์เปิดขึ้นอีกครั้ง
เสิ่นเฉียวเงยหน้าขึ้นมา ก็ประหลาดใจที่เห็นรูปร่างที่คุ้นเคยนั้น
เย่หลิ่นหานยิ้มออกมาอย่างนอบน้อมและเรียบร้อย สายตาที่อบอุ่นนั้นมองมาทางเธอและเย่โม่เซินแล้วก็หานเส่โยว:“บังเอิญจริงๆ ได้มาเจอพวกคุณแต่เช้าแบบนี้”
“พี่เย่?”หานเส่โยวเห็นเย่หลิ่นหาน ก็รีบหันตัวหลบ:“เข้ามาเลยค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
เย่หลิ่นหานยิ้มให้เธอเล็กน้อย ก่อนจะก้าวขาอันเรียวยาวเดินเข้ามา แล้วหยุดยืนข้างๆเย่โม่เซิน:“น้องสะใภ้ โม่เซิน ทำไมวันนี้ตื่นแต่เช้า?”
เสิ่นเฉียวกำลังขยับปาก กำลังจะอธิบาย หานเส่โยวก็เอ่ยปากเชิญซะก่อน:“พวกเรากำลังจะไปทานอาหารเช้ากันค่ะ พี่เย่ไปด้วยกันมั้ยคะ?”
“ไปทานข้าวเช้าด้วยกัน?เป็นความคิดที่ไม่เลวเลยนะครับ”เย่หลิ่นหานยิ้มออกมา แล้วพยักหน้าอย่างสุภาพบุรุษ:“ในเมื่อคุณหานเป็นคนเชิญ ผมก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้แล้วล่ะครับ”
เสิ่นเฉียวเหงื่อเริ่มไหล แต่ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกโล่งใจออกไป
ถ้าเย่หลิ่นหานไปด้วยกัน เย่โม่เซิน……ก็ไม่น่าจะกล้าทำอะไร?
“น้องสะใภ้สีหน้าดูไม่ค่อยดีเลยนะ หมั่นดูแลสุขภาพตัวเองด้วยล่ะ”เย่หลิ่นหานมองเสิ่นเฉียวแล้วอยู่ๆก็พูดขึ้นมา
สีหน้าของเสิ่นเฉียวค่อยๆเปลี่ยนไปทีละน้อย และพยักหน้าตอบสายตาอันอบอุ่นของเย่หลิ่นหานไปอย่างงงๆ จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตา
ดูเหมือนว่าพี่ชายของเย่โม่เซินจะเป็นห่วงเป็นใยเธอเกินไป ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่คำถามสารทุกข์สุกดิบทั่วไป แต่การที่เขาทำแบบนี้กับเสิ่นเฉียวมันเป็นการทำให้เธอลำบากใจ
เพราะเย่โม่เซินจะเข้าใจผิดเอาได้
“โม่เซิน ช่วงนี้แผลของนายเป็นไงบ้าง?แผลเก่ามีอาการกำเริบอีกมั้ย?”เย่หลิ่นหานถามไถ่เสิ่นเฉียวเสร็จ ก็หันไปถามอาการบาดเจ็บของเย่โม่เซินต่อ
เย่โม่เซินเม้มปาก บรรยากาศบนตัวเขาเย็นเฉียบ
“ไม่มี”
เทียบกันแล้ว เย่หลิ่นหานแสนจะอบอุ่น แต่เย่โม่เซินก็แสนจะเย็นชา เสิ่นเฉียวคิดอยู่ในใจ
แต่หานเส่โยวที่ยืนอยู่ข้างๆกลับไม่คิดอย่างนั้น เธอคิดว่าเย่หลิ่นหานเป็นคนที่อ่อนโยนเหมือนกับสายน้ำ ถ้าได้คบกับผู้ชายแบบนี้คงจะมีความสุขน่าดู เพราะเขาจะต้องใส่ใจแฟนของเขาดี และดูแลจนยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม
แต่หานเส่โยวก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองทางเย่โม่เซิน
เธอคิดเสมอว่า ผู้ชายแบบเขานี่ล่ะที่ทำให้คนมีความปรารถนาที่อยากจะเอาชนะ ถึงบรรยากาศรอบตัวเขาจะเย็นเป็นน้ำแข็ง ใบหน้าอันหล่อเหลาแต่มีท่าทีที่ไม่รับแขก ทว่าเพราะแบบนี้……มันทำให้หานเส่โยวรู้สึก
ผู้ชายประเภทนี้ ถ้าเขาไม่รักเขาก็จะทำตัวเย็นชาใส่
แต่ถ้าเขาตกหลุมรักคุณขึ้นมาแล้วล่ะก็ เขาก็จะร้อนแรงดุจเปลวไฟ มันไม่เหมือนกับความอ่อนโยนของเย่หลิ่นหาน
คิดถึงตรงนี้ สายตาของหานเส่โยวก็จ้องเขม็งยิ่งกว่าเดิม
สี่คนต่างความคิด แค่ชั่วครู่ก็ออกมาจากในลิฟต์ หลังจากออกมาจากบ้านตระกูลเย่ หานเส่โยวจะไปขับรถ ตอนแรกเธอตั้งใจจะให้เย่โม่เซินนั่งรถของเธอ แต่เธอกลับมองข้ามเรื่องรถวีลแชร์ของ เย่โม่เซินไป
การเอารถวีลแชร์ของเย่โม่เซินขึ้นมาบนรถของเธอนั้นจะลำบากเอาแน่ๆ โชคดีที่ตอนนั้นเซียวซู่เดินมาพอดี ด้วยเหตุนี้เย่โม่เซินก็เลยกลับไปขึ้นรถของตัวเองแทน แล้วให้เสิ่นเฉียวเข็นรถเขาไป
หลังจากที่ทั้งสองไปแล้ว หานเส่โยวก็มองดูแผ่นหลังของเย่โม่เซิน แล้วก็ผิดหวังนิดๆ
“คุณหาน ถ้าไม่รังเกียจมานั่งรถผมได้นะครับ?”
หานเส่โยวหันหน้ากลับมา ก็เห็นเย่หลิ่นหานยืนหันข้างแล้วส่งรอยยิ้มที่อ่อนโยนนั้นมาให้ เธอยิ้มที่มุมปาก แล้วส่ายหัว:“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันขับรถตัวเองมา พวกเราขับรถของตัวเองไปดีกว่านะคะ พอถึงตอนเลิกงานจะได้สะดวก”
เย่หลิ่นหาน พยักหน้าตอบ:“ครับ”
ทางเสิ่นเฉียวหลังจากที่เข็นรถวีลแชร์ของเย่โม่เซินขึ้นไปแล้ว ก็เดินไปนั่งที่ของตัวเอง ต่อมาก็เห็นว่าหานเส่โยวและเย่หลิ่นหานต่างขับรถของตัวเองออกมากัน เธอดูแล้วดูอีก
“อยากนั่งรถของเย่หลิ่นหาน?”อยู่ๆเย่โม่เซินก็ถามขึ้นมา
ได้ยินแบบนั้น เสิ่นเฉียวก็หันกลับมา แล้วมองไปที่เขาอย่างสงสัย
เย่โม่เซินเงยหน้าขึ้นมอง จ้องไปที่เธอด้วยรอยยิ้มที่มีเลศนัย
“ฉันเดาผิด?แล้วคนที่ยักคิ้วหลิ่วตาให้เขาในลิฟต์ ไม่ใช่เธองั้นสิ?”
ยักคิ้วหลิ่วตา?เธอไปยักคิ้วหลิ่วตาใส่เย่หลิ่นหานตอนไหน?เสิ่นเฉียวตอบกลับด้วยความโมโหทันทีทันใด:“คุณอย่ามาใส่ร้ายคนอื่นแบบนี้นะ!”
“หึ ทำให้พี่ใหญ่ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบได้ขนาดนั้น ร้ายกาจไม่เบาเลยหนิ”
เสิ่นเฉียว:“……”
เธอกัดฟันแน่น แขนทั้งสองข้างที่วางไว้ข้างลำตัวกำแน่น เล็บมือเริ่มซีดเผือด
“มันก็แค่ประโยคคำถามประโยคเดียว คุณจะต้องเข้าใจผิดคนอื่นแบบนี้ถึงจะมีความสุขใช่มั้ย?”เสิ่นเฉียวกัดริมฝีปากแน่น และจ้องตาที่เย็นชาของเย่โม่เซินอย่างไม่เกรงกลัว
สายตาที่ชั่วร้ายของเย่โม่เซินมองไปที่ใบหน้าของเธอ เหมือนต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เสิ่นเฉียวกลับคลายมือออก แล้วหันหลังกลับไป
“คุณอยากจะพูดอะไรก็พูด คุณคิดแบบนั้น ก็ปล่อยให้มันเป็นแบบนั้นไป”
เธอไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงด้วยอีกแล้ว เพราะไม่ว่าจะพูดยังไงมุมมองที่เย่โม่เซินมีต่อเธอมันก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงไป
พอกันที
คิดได้แบบนั้น เสิ่นเฉียวก็มองวิวทิวทัศน์ที่เปลี่ยนผ่านไปไม่หยุดนอกหน้าต่าง เศร้าสลดอยู่ภายในใจ
แต่งงานมาอยู่บ้านตระกูลเย่ มันอาจจะเป็นเรื่องที่น่าเศร้าตั้งแต่แรก
พอนึกถึงท่าทีที่คุณแม่เสิ่นทำกับเธอในคืนนั้น บรรยากาศรอบๆตัวของเสิ่นเฉียวก็มืดมนลงไปในทันที และปกคลุมไปทั่วทั้งคันรถ
อารมณ์ที่หม่นหมองนี้เด่นชัดมากเป็นพิเศษ ไม่ทันไรเย่โม่เซินก็สามารถรับรู้ได้ นิ้วที่เรียวยาวนั้นหยุด สายตาของเขามองไปที่เสิ่นเฉียวที่กำลังมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างสับสน แค่ว่าเธอสองสามประโยคก็เปลี่ยนไปเศร้าได้ขนาดนี้เลยเหรอ หรือว่า เขาจะเข้าใจผิดไปเองจริงๆ?
แต่ทำไม ทำไมเย่หลิ่นหานถึงได้ถามเธออย่างเป็นห่วงเป็นใยกันขนาดนั้น?
ถ้าเธอไม่ได้ทำอะไร หรือแอบส่งซิกอะไรให้กัน เย่หลิ่นหานจะเป็นแบบนี้เหรอ?
ตอนนี้แกล้งทำเป็นเศร้าแบบนี้ ทำให้ใครดู?
ผู้หญิงที่ผลักไสน้องสาวตัวเองให้พ้นทางเพื่อให้ได้แต่งงานเข้ามาอยู่ในบ้านของตระกูลเย่ จะเป็นคนดีซักแค่ไหนกันเชียว