เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่ / เจ้าสาวมือสองของคุณชายพิก… - บทที่138 ตกกระป๋องแล้ว
เสิ่นเฉียวชักมือตัวเองกลับเขินๆ เธอจ้องไปที่เขม็ง
“ใครขอให้คุณช่วยห้ามเลือดให้ฉันกัน? ให้ตายสิ!”
เย่โม่เซินส่งเสียงหึ “ทำไม? หรือว่าเธออยากให้คนอื่นช่วยห้ามเลือดให้?”
เสิ่นเฉียวขี้เกียจจะมานั่งเถียงกับเขา ถ้ายังพูดต่อไปเรื่อยๆคงทำให้บรรยากาศแย่กว่านี้แน่ เธอเลยตั้งใจจะย่อตัวลงไปเก็บของให้เรียบร้อย เย่โม่เซินกลับว่าเธอ “สมองของเธอนี่มีไว้เพื่อประดับหัวอย่างเดียวหรือไง? เศษแก้วเยอะขนาดนี้ใช้เป็นแค่มือ?”
“……..” เสิ่นเฉียวเงยหน้าอย่างแรง “คุณอนุญาตให้ฉันใช้ไม้กวาด?”
ตอนที่เธอย่อตัวลงมาเก็บเศษแก้ว ในใจก็คิดแต่ว่าเย่โม่เซินตั้งใจจะแกล้งเธอ เขาน่าจะอยากให้เธอใช้มือเก็บเศษแก้ว ดังนั้นต่อให้เธอเดินไปเอาไม้กวาดมาก็ไม่มีประโยชน์
คิดไม่ถึงว่าเขาจะให้เธอใช้ไม้กวาด
เย่โม่เซินหรี่ตามองเธอ อากาศอันตรายรอบตัวเขาพวกพุ่งออกมาอย่างรุนแรง “เธอว่ายังไงนะ?”
“เปล่า” เสิ่นเฉียวลุกขึ้นยืน แล้วก็เดินไปหยิบไม้กวาดมา ถ้าเกิดว่าเขาอนุญาต เธอก็คงไม่โง่ขนาดใช้มือ
ตอนที่กลับมา เสิ่นเฉียวเห็นแค่แผ่นหลังของเขา
พอเขาไป บรรยากาศกดดันรอบพื้นที่ตรงนั้นก็ไปพร้อมกับเขาด้วย อุณหภูมิรอบๆก็กลับมาเป็นปกติ เสิ่นเฉียวรีบกวาดเศษแก้วบนพื้นให้สะอาด พอดีกับที่คุณป้าพนักงานทำความสะอาดถูพื้นมาถึงตรงนี้พอดี เห็นสภาพแบบนี้ก็อดที่จะบ่นขึ้นมาไม่ได้ “โอ้โห พวกคนหนุ่มหญิงสาวสมัยนี้เนี่ย ทำงานกันยังไงนะ ทำแก้วแตกเยอะขนาดนี้ เห้อ ดูว่าคนหนุ่มสมัยนี้แรงเยอะ ที่จริงแล้วทำงานก็ยังสู้คนแก่แบบพวกเราไม่ได้เลย”
เสิ่นเฉียววางไม้กวาดลงอย่างอายๆแล้วก็รีบไป
รอจนถึงตอนที่เลิกงาน เสี่ยวเหยียนมาหาเธอ แล้วก็แอบกระซิบถาม
“ได้ยินมาว่าตอนเช้าที่ประชุม คุณชายเย่แกล้งเธอ ทำไมเธอถึงได้น่าสงสารขนาดนี้เนี่ย? ไม่เท่าไหร่เองก็ตกกระป๋องเสียแล้ว”
“……”
“ฉันจะบอกอะไรเธอให้นะ นิสัยของผู้ชายก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น พอได้มาไว้ครอบครองแล้วก็ไม่ดูแล เสร็จแล้วก็จะเร่ไปหาผู้หญิงคนใหม่ จำเป็นไหมล่ะ? อีกอย่างคุณชายเย่ของเรายังเป็นถึงคนพิการ ฉันคิดว่าเขาไม่น่าจะเลือกเยอะขนาดนี้ มีเธอก็ดีเท่าไหร่แล้ว”
ฟังถึงตรงนี้ เสิ่นเฉียวเองก็เหนื่อยหน่าย “ตกลงเธอกำลังว่าฉันหรือว่าปลอบใจฉันกันแน่?”
“ทั้งหมดเลย!” เสี่ยวเหยียนมาควงแขนเธอเอาไว้ “ตอนที่ฉันกำลังว่าเธอก็ปลอบเธอไปด้วยไง แต่ว่าเธอน่ะไม่ค่อยพยายามเลยนะ ฉันคิดว่าเธอต้องพยายามอีกหน่อย ต้องชิงเอาใจตั้งแต่เนิ่นๆ”
“…….เธอคิดมากไปแล้วจริงๆนะ!”
เสี่ยวเหยียนกำลังจะพูดอะไรต่อ แต่ว่าข้างหน้าก็เหมือนมีคนเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง ดังนั้นเธอกับเสิ่นเฉียวก็เลยหยุดเดิน
เสี่ยวเหยียนมองคนตรงหน้าอย่างประหลาดใจ
“ระ รองประธานเย่!”
เย่หลิ่นหานยิ้มให้กับเสี่ยวเหยียนเล็กน้อย รอยยิ้มนั้นทำให้ภายในใจของเสี่ยวเหยียนอบอุ่นขึ้นมา เธอหลุบตาทำท่าทางเขินอาย
เย่หลิ่นหานมองไปทางเสิ่นเฉียว “มีเวลาไหม?”
เสิ่นเฉียวชะงักไป ครู่ใครถึงจะตอบกลับไป
“มีอะไรหรือเปล่าคะ?” เธอถาม
เย่หลิ่นหานยิ้มให้เธอแต่ไม่พูดอะไร เสิ่นเฉียวเองก็ไม่ใช่คนโง่ เธอแค่หันไปบอกกับเสี่ยวเหยียน “วันนี้เธอกลับไปก่อนนะ พรุ่งนี้ไว้ค่อยคุยกันใหม่”
“อื้อ” เสี่ยวเหยียนพยักหน้า แล้วค่อยยักคิ้วหลิ่วตาให้เสิ่นเฉียวถึงค่อยไป
รอจนเสี่ยวเหยียนออกไป เย่หลิ่นหานก็เอากุญแจรถออกมา “ไปกันเถอะ ฉันจะเลี้ยงข้าวเธอ”
อะไร? เสิ่นเฉียวไม่ทันจะได้ตั้งตัว เย่หลิ่นหานก็หมุนตัวเดินออกไปแล้ว เธอยืนงงอยู่ตรงที่เดิมอยู่ชั่วครู่ ถึงได้เดินตามเขาไป ในบริษัทมีสายตาของคนจำนวนไม่น้อยมองมาทางเธอ เสิ่นเฉียวก้มมองนิ้วของตัวเอง แล้วเดินตามหลังเขาไป เธอพูดขึ้นจากด้านหลังของเขา “คือ…พี่ใหญ่ค่ะ ฉันยังไม่หิว”
ฟังจบ เย่หลิ่นหานก็ยิ้มอ่อน “สบายใจเถอะ ไม่ใช่ที่ๆจะพาเธอไปกินจนอิ่ม”
“……แต่ว่า……”
“ก็แค่ข้าวมื้อเดียวเท่านั้น ยังไม่ยอมให้พี่ทำตามใจหน่อยเหรอ?”
เอาเถอะ โดนเขาว่าอย่างนี้เสิ่นเฉียวก็รู้สึกว่าตัวเองชักจะทำเกินไปหน่อยแล้ว เขาเองก็ไม่ได้ทำอะไร ก็แค่อย่างเลี้ยงข้าวเธออย่างบริสุทธิ์ใจ แต่เธอกลับปฏิเสธเขานับครั้งไม่ถ้วน
ตามเขาไปจนถึงลาดจอดรถชั้นใต้ดิน เย่หลิ่นหานเปิดประตูรถให้เธออย่างสุภาพบุรุษ ตอนที่เธอย่อตัวจะเข้าไปนั่งในรถยังยืดมือออกมากันเอาไว้ตรงประตูด้านบน กันไม่ให้หัวเธอชน
พอเสิ่นเฉียวเข้าไปนั่งแล้ว เย่หลิ่นหานยังก้มลงมาคาดเข็มขัดนิรภัยให้ด้วย
เขาเข้ามาใกล้มาก กลิ่นหอมสะอาดเย็นๆแบบผู้ชายโชยเข้ามาในจมูกเธอ เสิ่นเฉียวก็เลยตกใจจนกลั้นลมหายใจของตัวเองเอาไว้ จนถึงตอนที่เขาคาดเข็มขัดนิรภัยแทนเธอเสร็จถึงจะกลับมาเป็นปกติ จริงๆเธอควรจะทำเอง!
แต่ว่าเย่หลิ่นหานกลับเดินอ้อมรถ แล้วเปิดประตูขึ้นมานั่งที่นั่งคนขับเรียบร้อยแล้ว เสิ่นเฉียวได้แต่กรีดร้องในใจว่าผู้ชายคนนี้ช่างเป็นสุภาพบุรุษแถมยังอ่อนโยนเสียจริง
“เธอบอกว่าไม่ชอบกินของหวาน ชอบกินเผ็ด อย่างนั้นพี่จะพาเธอไปกินปลาต้มหมาล่า?”
ปลาต้มหมาล่า?
ได้ยินคำๆนี้ ดวงตาของเสิ่นเฉียวก็เป็นประกาย เธอลอบกลืนน้ำลาย แต่ว่าเธอยังคงพูดขึ้นอย่างอายๆ “พี่ใหญ่ พี่รู้ได้ยังไงคะว่าฉันชอบกิน?”
“พี่สั่งให้ผู้ช่วยหาสิ่งที่เธอชอบ ก็เลยรู้” เย่หลิ่นหานพูดไป แล้วก็ยืดมือไปลูบผมเธอเบาๆ
แต่ว่าระยะห่างของทั้งสองคนไม่ได้ใกล้กันขนาดนั้น บวกกับตอนที่เขายื่นมาจะลูบหัว เสิ่นเฉียวเองก็หลบไปข้างๆ ดังนั้นเย่หลิ่นหานก็เลยลูบไม่โดนหัวเธอ
มือของเขาค้างอยู่กลางอากาศแป๊บหนึ่ง แล้วก็ถูกเก็บกลับไป
“เป็นเพราะว่าพี่ทำอะไรไม่เหมาะสมหรือเปล่า เพราะฉะนั้นเธอก็เลยกลัวพี่?”
“เปล่า เปล่าค่ะ” เสิ่นเฉียวส่ายหน้า “ฉันก็แค่กังวล ว่าโม่เซินจะไปหาเรื่องพี่ ฉันไม่อยากจะสร้างปัญหาให้พี่ใหญ่ ก็เลย……”
“นี่มันก็ไม่มีอะไรสักหน่อย” เย่หลิ่นหานยิ้มอ่อน “จำไว้ ว่าฉันเคยบอกเธอว่า โม่เซินก็แค่ใบหน้าเย็นชาแต่จริงๆใจดี วันนี้ในห้องเลขาเธอลำบากแย่ ฉันคิดว่าตั้งแต่ที่เธอมาอยู่ที่บ้านตระกูลเย่ เธอแทบจะไม่ยิ้มเลย เธอคงจะอยู่อย่างไม่มีความสุขใช่ไหม?”
มีความสุข?
เสิ่นเฉียวราวกับลืมไปนานแล้วว่านี่เป็นอารมณ์แบบไหนกัน
ตั้งแต่ที่เธอแต่งงานกับหลินเจียง เธอก็ไม่รู้อีกเลยว่าความสุขเป็นยังไง ไม่ต้องพูดถึงหลังจากที่หย่าแล้วแต่งงานเข้าตระกูลเย่ ในหลายๆครั้งสำหรับเธอที่นั่นไม่ต่างอะไรจากนรก
น่ากลัวจะตาย
คิดถึงตรงนี้ เสิ่นเฉียวก็หลับตาลง เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “ช่างเรื่องที่ทำให้อารมณ์ไม่ดีเถอะค่ะ ฉันชินแล้ว”
ฟังจบเย่หลิ่นหานยิ้มขึ้นมาบางๆ น้ำเสียงของเขาเจือไปด้วยความกังวล “เคยชินกับการเสียใจ นี่ไม่ใช่ความเคยชินที่ดีนะ น้องสะใภ้…..เป็นผู้หญิงยิ้มเยอะๆถึงจะดี โดยเฉพาะเธอที่ยังอายุน้องขนาดนี้ ทำหน้าเครียดตลอด สำหรับเธอไม่ใช่เรื่องที่ดีหรอกนะ สำหรับร่างกายก็อาจจะส่งผลกระทบได้เหมือนกัน”
ยิ้มเยอะๆ……
เสิ่นเฉียวยิ้มขม
“ที่พี่บอก ไม่ใช่รอยยิ้มแบบนี้ แต่ต้องเป็นยิ้มที่มาจากภายใน”
เสิ่นเฉียวยิ้มไม่ออก เธอพูดขึ้นอย่างเหนื่อยใจ “พี่ใหญ่ อย่าบังคับฉันเลยค่ะ”
“อือ” เย่หลิ่นไม่ได้บังคับเธออีกต่อไป รถวิ่งไปเงียบๆตลอดทาง ไม่นานก็ถึงจุดหมายปลายทาง ตอนที่เย่หลิ่นหานพาเธอเข้าไป เสิ่นเฉียวเดินตามอยู่ด้านหลังเขาตลอด พยายามที่จะรักษาระยะห่างกับเขาเอาไว้
เธอมักจะมองไปรอบๆตัว แล้วทำท่าทีเหมือนคนกินปูนร้อนท้อง จนถึงห้องรับรอง
ปั๊ก!
เสิ่นเฉียวก็ชนเข้ากับหลังของเย่หลิ่นหาน