เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่ / เจ้าสาวมือสองของคุณชายพิก… - บทที่1650 ยกโทษให้พี่
จางหนิงอู่ เป็นคนเห็นทั้งสองจับมือกันเดินออกไป โดยฝ่ายชายเป็นคนจูงฝ่ายหญิงออกไป
ฝ่ายหญิงหน้าเสีย หันมองกลับไปหาแม่ แล้วหัวเราะด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น
“หนูบอกแม่แล้วไง ผู้ชายเพอร์เฟคก็มีคู่กันอยู่แล้ว เว้นเสียแต่ เขาจะมีอะไรที่วิเศษวิโสกว่านั้น”
คุณแม่จาง ตบไหล่ลูกสาวตัวเองเบาๆ แล้วพูดว่า “แม่ก็นึกไม่ถึงเหมือนกัน ก็เห็นพูดกันมาแต่ไหนแต่ไรว่าลูกสาวตระกูลถางนั้นรูปร่างอ้วนท้วม แม่ก็คิดว่าเขาคงไม่ชอบคนอ้วนหรอกมั้ง ใครจะรู้ล่ะว่าหญิงคนนี้จะผอมลง แล้วสวยขึ้นขนาดนี้”
พอพูดจบคุณแม่จาง ถอนหายใจแล้วพูดต่อ “เด็กผู้หญิงพวกนี้โตกันไวเหลือเกิน”
จางหนิงอู่ ถอนหายใจ แล้วพูดว่า “ต่อให้เขาอ้วน แล้วผู้ชายเขาไม่สน แต่ไงเขาก็ไม่มาสนลูกสาวของแม่หรอกค่ะ ผู้ชายดีๆ มีให้ล่าน้อยมากค่ะแม่ ผู้ชายแบบนี้ใครก็จ้องจะอยากได้กันทุกคน ลูกสาวของแม่ไม่กล้าแม้แต่จะจินตนาการ เกรงว่าจะสู้ชาวบ้านเขาไม่ได้ค่ะ”
“เธอไม่เอา คนอื่นเขาก็เอาไปหมด ยัยโง่” พูดจบ แม่ก็มองไปที่ลูกสาวแล้วพูดต่อ “ช่างมันเถอะ เธอสวยยังไม่เท่าครึ่งหนึ่งของคนอื่นเขาด้วยซ้ำ เออ เอาเถอะ เปลี่ยนเป้าหมายใหม่ก็แล้วกัน ผู้ชายดีๆ มีให้เลือกอีกเยอะแยะ”
…
ยู่ฉือยี่ซู พา ถางหยวนหยวน ออกจากงานเลี้ยง
หลังจากตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนในงานเลี้ยง พอออกมาข้างนอกแล้ว ถางหยวนหยวน ก็รู้สึกโล่งขึ้นมาทันที เพราะไม่ต้องยืนรักษาภาพลักษณ์อยู่ในท่าเดิมแล้ว ยู่ฉือยี่ซู จับมือเธอพากันออกมา ถางหยวนหยวนเขินจนหน้าแดง สักพักเธอก็พิงไปที่แขนของเขา แล้วพูดว่า “ฉันเหนื่อยจังเลย พี่”
เมื่อ ยู่ฉือยี่ซู ได้ยินแบบนั้น ก็เลยคุกเข่า แล้วพูดด้วยเสียงทุ้มว่า “ยกเท้าขึ้นสิ”
ถางหยวนหยวน งงว่าอะไร แต่ก็ยกเท้าขึ้น ยู่ฉือยี่ซูจับข้อเธอไว้ แล้วก็บอกให้เธอ “จับไหล่พี่ไว้”
“อะไรนะ?”
พอ ถางหยวนหยวนจับไหล่เขาไว้ สักพักก็เห็นยู่ฉือยี่ซูกำลังถอดรองเท้าให้เขา
ขณะที่กำลังถอดรองเท้าให้อยู่นั้น ทั้งๆ ที่ ยู่ฉือยี่ซู ถอดแบบระมัดระวังอยู่แล้ว แต่ถางหยวนหยวนเจ็บเท้าจนขมวดคิ้ว
รองเท้าคู่ใหม่คู่นี้ ถึงแม้จะปรับใหม่ให้เข้ากับสภาพเท้าของถางหยวนหยวนแล้ว แต่ว่าหนังเท้าของ ถางหยวนหยวน เปราะบางมาก จึงทำให้ส้นเท้าและฝ่าเท้าของเขามีแผลถลอก พอเห็นอย่างงั้น ก็ต่างพากันตกใจทั้งคู่
“ต่อไปถ้าไม่ใช่งานสำคัญอะไร ไม่ต้องใส่รองเท้าใส่รองเท้าแบบนี้อีกนะ”
“ค่ะ” ถางหยวนหยวนพูดเสริม “แต่วันนี้เป็นงานสำคัญ ฉันไม่เป็นอะไรมากหรอกค่ะพี่ ไม่ได้เจ็บขนาดนั้น”
พอพูดจบเธอก็จะใส่รองเท้าอีกครั้ง
ยู่ฉือยี่ซูขัดขืน จับข้อเท้าเธอไว้ ไม่ให้ใส่รองเท้า ถางหยวนหยวนมองด้วยความมึนงง : “อะไรเนี่ยพี่?”
“เท้าแผลใหญ่ขนาดนี้ ไม่ต้องใส่แล้ว ใส่ให้มันเจ็บกว่าเดิมไง?”
“แต่ถ้าไม่ใส่ล่ะก็…” ถางหยวนหยวนลังเลสักพัก แล้วพูดต่อ “โอเค งั้นก็ได้ งั้นพี่ถือรองเท้าให้ฉัน เดี๋ยวฉันเดินเท้าเปล่าเอง ที่นี่ทำความสะอาดดี คงไม่มีเศษแก้วบนพื้น”
ยู่ฉือยี่ซูสบตาแล้วพูดกับอย่างจริงจัง : “เมื่อก่อน ก่อนที่เธอจะบรรลุนิติภาวะ พี่ก็แบกเธอทุกวัน ตอนนี้บรรลุนิติภาวะแล้ว ก็อายแล้วหรอ?”
พอพูดจบ ถางหยวนหยวนก็หน้าแดง ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
จริงๆ ที่เธอไม่ให้พี่เขาแบก ก็มีเหตุผลอยู่เหมือนกัน
เพราะว่าวันนี้เธอใส่ชุดเดรส แถมยังเป็นแบบเดรสแบบมีสายเอี๊ยมด้วย สายเอี๊ยมก็บ๊างบาง พอถางหยวนหยวนได้ลองใส่ชุดเดรสตัวนี้ดู ก็กังวลตลอดว่าสายจะขาด ทั้งๆที่คนออกแบบบอกไม่รู้กี่รอบแล้วว่าไม่ต้องกลัว มันไม่ขาดง่ายๆหรอก ต้องเชื่อมั่นในตัวคนออกแบบด้วย
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่สวมชุดเดรสที่สายเอี๊ยมบางขนาดนี้ แถมกระโปรงยังยาวอีก เธอยิ่งกังวลไปมากกว่าเดิม
“ขึ้นหลังพี่สิ จะได้ไปที่ลานจอดรถด้วยกัน”
“มะๆ .. ไม่เป็นไรค่ะ” ถางหยวนหยวนรีบส่ายหัวปฏิเสธ แล้วเดินถอยหลังสองก้าว : “เดี๋ยวฉันอยู่นี่รอพี่ก็ได้ค่ะ”
ยู่ฉือยี่ซูหยุดนิ่ง จ้องมองไปที่เธอ
“เธอจะกลัวอะไรเนี่ย?”
ถางหยวนหยวน: “ฉันไม่ได้กลัวค่ะ”
เธอเองก็แค่รู้สึกว่าชุดเดรสตัวนี้จะทำให้แบกลำบาก แล้วถ้าสายเอี๊ยมขาดมาแล้วจะทำยังไงล่ะเนี่ย?
ทั้งสองจ้องหน้ากันสักพัก ยู่ฉือยี่ซูกลัวเธอหนาว ก็เลยถอดเสื้อกันหนาวคลุมไหล่อันขาวใสของ ถางหยวนหยวน แล้วพูดว่า “รอพี่อยู่นี่นะ”
“ค่ะ”
เมื่อถางหยวนหยวนเห็นยู่ฉือยี่ซูเดินไปไกลแล้ว รอยยิ้มในตาของเธอก็ค่อยจางหายไป ถึงแม้จะพยายามหนีออกมาแค่ไหนก็ตาม แต่เรื่องของเมิ่งเข่อเฟยยังคงวนเวียนอยู่ในใจ หรือพูดอีกอย่างคือหยุดนึกถึงเรื่องนี้ไม่ได้
เธอไม่รู้จริงๆว่าปัญหามันติดอยู่ตรงไหน ทำไมจู่ๆ เฟยเฟยอยากตัดความสัมพันธ์กับเธอ ก่อนหน้านี้ยังนึกว่าอยากเป็นเพื่อนที่แสนดีต่อกัน สักพักเธอก็รู้สึกว่าตัวเธอเองคิดในแง่ร้ายกับเขามากเกินไป
แต่ก็ไม่เคยนึกว่ามันจะเป็นแบบนี้
ทั้งที่วันนี้เป็นวันบรรลุนิติภาวะของเธอแท้ๆ ปัดโถ่เอ้ย ช่างเป็นของขวัญชิ้นงามเหลือเกินในวันที่ยินดีแบบนี้
คิดไปคิดมาสารพัดเรื่อง ถางหยวนหยวนก็น้ำตาคลออีกแล้ว เธอรีบเช็ดน้ำตา พร้อมหายใจเข้าลึกๆ
ไม่ใช่อะไรหรอกนะ ตอนนี้จะร้องไห้ไม่ได้ ไม่งั้นพี่จะเป็นห่วงเธอยิ่งกว่าเดิม แล้วเมื่อกี้ก็พึ่งจะปรับอารมณ์ไปได้แล้วด้วย
ถางหยวนหยวนรีบเงยหน้าขึ้น กระพริบตาถี่ๆ เพื่อไม่ให้น้ำตาไหลออกมา
ไม่นานนัก ยู่ฉือยี่ซูก็ขับรถมา
รถหยุดตรงหน้าถางหยวนหยวน เขาก็ยังทำตัวเป็นสุภาพบุรุษเหมือนเดิม ลงรถมาเปิดประตูให้เธอ แล้วคอยประคองให้เธอเข้าไปในรถ
พอมองเข้าไปในที่นั่งในรถ ถางหยวนหยวนก็หยุดชะงักชั่วครู่
“ทำไมหรอ?”
ถางหยวนหยวนเม้มปาก แล้วพูดว่า : “เปล่า กำลังนึกถึงเรื่องรอบที่แล้ว ที่พี่ให้คนอื่นนั่งตรงนี้เฉยๆ”
พอพูดจบ เธอก็เข้าไปนั่งในรถ
แต่เมื่อยู่ฉือยี่ซูได้ยินแบบนั้น เขาก็หรี่ตา แล้วก็หัวเราะ พร้อมพูดว่า : “เรื่องก็ผ่านมานานแล้ว ยังจำได้อยู่หรอ?”
ถางหยวนหยวนย้อนกลับ : “ฉันไม่ใช่คนแก่ขี้หลงขี้ลืมนะ ก็ต้องจำได้สิ”
ยู่ฉือยี่ซูจ้องเธอสักพัก แล้วก็ปิดประตู แล้วไปขึ้นรถอีกฝั่ง ตอนที่ก้มตัวมาคาดเข็มขัดให้เธอ ก็พูดว่า : “อะไรที่ไม่น่าจำก็ไม่ต้องไปจำมัน ไม่งั้นมันก็วนเวียนอยู่ในหัวไม่ไปไหน สมองเธอเป็นที่เก็บขยะหรือไง?”
ที่เขาพูดแบบนี้ก็เพื่อให้ถางหยวนหยวนลืมเรื่องราวอันเลวร้ายไป แต่ดูท่าแล้วเหมือนเธอจะไม่พอใจเสียเท่าไหร่
เธอเลยหันกลับไปมองยู่ฉือยี่ซู
“นี่พี่จะบอกว่าในสมองฉันมีแต่ขยะงี้หรอ?”
ยู่ฉือยี่ซูหยุดชะงักไปสักพัก เขาไม่ได้ตั้งใจจะสื่อความหมายแบบนั้น พอถางหยวนหยวนพูดมาแบบนี้ เขาก็ไม่รู้จะทำตัวยังไง
ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ ถางหยวนหยวนก็กำมือจะทุบเขา ดูแล้วเหมือนจะใช้แรงเยอะมาก แต่ว่าถ้าจะทุบจริงก็แทบจะไม่มีเรี่ยวแรงเลย ไม่เจ็บไม่ปวดอะไรทั้งนั้น แถมวันนี้ยังใส่เครื่องประดับหนักเต็มข้อมือไปหมด
ยู่ฉือยี่ซูจับข้อมือเธอไว้
“พี่ไม่ได้หมายความแบบนั้น อย่าคิดเองเออเองสิ เรื่องครั้งก่อนพี่ผิดเอง ก็เลยอยากให้ลืมๆมันไป ยกโทษให้พี่หน่อยนะ ได้ไหมครับ?