เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่ / เจ้าสาวมือสองของคุณชายพิก… - บทที่1668 เขาไม่ได้ชอบหนูค่ะ
บทที่1668 เขาไม่ได้ชอบหนูค่ะ
“ฉันไม่หุบปาก ฉันจะพูด”จงฉู่เฟิงยังคงดึงดัน เอาแต่มองไปที่ยู่ฉือยี่ซูและจุ๊กจิ๊กไม่หยุด
“วิธีที่ฉันพูดนั้นดีที่สุดแล้ว ความรู้ระหว่างชายหญิงมันก็พิสูจน์แบบนี้แหละ ถ้าเกิดว่าแกเห็นเธอเป็นแค่น้องสาวล่ะก็ แกก็จะไม่อยากจูบเธอใช่ไหมล่ะ? แต่ว่าถ้าเกิดว่าแกชอบเธอล่ะก็ ต้องแทบจะรอไม่ไหวที่จะกอดเธอไว้ในอ้อมแขนตลอดเวลา ไม่ใช่แค่อยากจูบเธอ แถมยังอยากจะ……”
เอี๊ยด——
ทันใดนั้นที่รถก็มีเสียงเบรกอย่างกะทันหัน ยู่ฉือยี่ซูสีหน้ามืดมน จ้องมองเขาด้วยแววตาที่ลุกเป็นไฟ “พอแล้ว! ”
จงฉู่เฟิงเห็นว่าเขาโกรธแล้วจริงๆ ก็ไม่กล้าพูดอะไรแล้ว ได้แต่กลืนคำพูดที่เหลือลงไป ตอนนี้ในใจของยู่ฉือยี่ซูนั้นสับสนอย่างมาก พอเห็นว่าเขาเงียบแล้วถึงจะขับรถออกไปอีกครั้ง แต่ว่าถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดอะไร แต่ว่าใจของเขากลับสมควรตาย แต่เขาคิดว่าสิ่งที่จงฉู่เฟิงพูดนั้นถูกแล้ว เพราะว่ามันเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการพิสูจน์ความรู้สึกแล้ว
แต่ว่า ถ้าจะให้เขาคิดตอนนี้ เขาก็รู้สึกว่าเขาจูบไม่ได้จริงๆ ถ้าทำแบบนี้มันจะไม่ค่อยยุติธรรมกับหยวนหยวนเกินไปรึเปล่า?
เธอไม่ใช่เครื่องพิสูจน์ความรู้สึกของเขานะ
แต่ว่าถ้าเกิดว่าไม่พิสูจน์ก็……
สรุปก็คือ ยู่ฉือยี่ซูขับรถเคลื่อนไปด้านหน้าด้วยอารมณ์แบบนี้ จนทั้งสองคนมาถึงซูเปอร์มาร์เก็ต แล้วก็เข้าไปซื้อของด้วยกัน
ที่จริงแล้วไม่ได้ต้องซื้ออะไรมาก ยังไงก็แค่จะห่อเกี๊ยวเท่านั้น
“ที่บ้านยังเหลือแผ่นเกี๊ยวที่เหลือจากคราวที่แล้ว ดังนั้นซื้อแค่ผักกับเนื้อไปก็พอแล้ว”
จงฉู่เฟิงยัดของต่างๆ ลงในรถเข็นอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็ซื้อของครบแล้ว ก็ไปจ่ายเงิน
“คุณป้าชอบกินเกี๊ยวมากเลยเหรอ? ” เพราะว่าอยากจะคลายบรรยากาศก่อนหน้านี้ลง ดังนั้นยู่ฉือยี่ซูก็เลยถามออกมา
“ชอบที่ไหนกันล่ะ ก็เพราะว่าอยากจะให้แกกับฉันออกมาไม่ใช่เหรอ? ”
ดังนั้นหัวข้อนี้ก็เลยกลับมาอีกครั้ง “เธอชอบหยวนหยวนมาก อยากจะให้หยวนหยวนเป็นลูกสะใภ้ เรื่องนี้แกก็น่าจะมองออกนิ”
“เป็นไปไม่ค่อยได้เท่าไหร่นะ” ยู่ฉือยี่ซูพูดอย่างกำปั้นทุบดิน
พอได้ยินดังนั้น สีหน้าของจงฉู่เฟิงก็เปลี่ยนไปทันที “แกพูดอะไรให้มันรื่นหูกว่านี้หน่อยได้ไหม ฉันรู้ว่าหยวนหยวนชอบแก แต่ว่ามันก็ไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้แกมาอวดเก่งได้นะ? ”
“จงฉู่เฟิง”
ยู่ฉือยี่ซูหยุดเดิน นี่เป็นครั้งแรกที่เขามองเขาด้วยสายตาที่จริงจังขนาดนี้
“ทำไม? จู่ๆ ก็มองฉันด้วยสายตาแบบนั้น อย่าบอกว่าชอบฉันนะ ฉันไม่ได้คิดกับแกแบบนั้น”
“ที่จริงแล้วแกไม่จำเป็นต้องพูดกับฉันด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริงแบบนี้ก็ได้”
จงฉู่เฟิงอึ้งไป
“ฉันรู้ว่าแกชอบหยวนหยวนขนาดไหน ฉันเองก็ไม่อยากไปแตะต้องบาดแผลของแก ถ้าเกิดว่าแกทนดูไม่ได้จริงๆ ก็อยู่ห่างเธอหน่อยเถอะ”
อยู่ห่างงั้นเหรอ?
ถ้าเกิดว่าอยู่ห่างๆแล้ว ก็ไม่ต้องเห็นเธอ วันๆ ไม่ต้องเอาแต่คิดถึงเรื่องที่เธอชอบคนอื่น ไม่ชอบตัวเอง นี่ก็ถือว่าเป็นวิธีที่ดีนะ
แต่ว่า ถ้าเกิดว่าไม่มองเธอแล้ว เขาก็จะเจ็บปวดและทุกข์ใจ
เมื่อแทบกับการที่ต้องทุกข์ใจที่ได้เห็นเธอชอบคนอื่น จงฉู่เฟิงรู้สึกว่าการที่ไม่ได้เห็นเธอนั้นมันทุกข์ใจยิ่งกว่าอีก
“ไม่ต้องหรอก”
เขาส่ายหน้า ปฏิเสธคำแนะนำจากยู่ฉือยี่ซู
“ฉันรู้จักปล่อยวาง ไม่ได้อ่อนแอแบบที่แกคิดหรอก ไปเถอะ รีบกลับบ้านไปห่อเกี๊ยวได้แล้ว”
จงฉู่เฟิงเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว มองดูแผ่นหลังของเขา สายตาของยู่ฉือยี่ซูก็จมดิ่งลงเยอะ สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรแล้วก็เดินตามไป
ในโรงพยาบาล
หลังจากที่ทำให้ทั้งสองคนนั้นออกไปได้แล้ว คุณแม่จงก็ดึงมือของถางหยวนหยวน น้ำเสียงดูอบอุ่นอย่างมาก
“หยวนหยวน ปีนี้หนูพึ่งจะบรรลุนิติภาวะใช่ไหมจ๊ะ? ”
“ค่ะ”
“เฮ้อ นึกถึงตอนเมื่อกี้นั้นหนูยังเป็นแค่สาวน้อยอยู่เลย ไม่คิดเลยว่าจะผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว เด็กน้อยคนนั้นได้โตมาเป็นสาวแล้ว”
พอพูดถึงเหตุการณ์เมื่อปีนั้นขึ้นมา คุณแม่จงก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ย้อนกลับไปตอนนั้นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนนี้อ้วนและมีดวงตาที่กลมโต สว่างเหมือนดวงดาว เธอรู้สึกถูกใจถางหยวนหยวนตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
ตอนนั้นเธอยังกังวลอยู่เลยว่าสายตาของจงฉู่เฟิงนั้นจะเหมือนกับของตัวเองหรือไม่ เธอชอบถางหยวนหยวน แต่ว่าถ้าเกิดว่าฉู่เฟิงไม่ชอบล่ะจะทำยังไง?
ไม่คิดเลยว่าสายตากับความชอบของฉู่เฟิงนั้นจะเหมือนกับเธอทุกประการ ไม่ใช่ใครรู้จักลูกเท่าแม่ของตัวเองอีกแล้ว หลังจากที่เธอได้เห็นสายตาที่ลูกชายของเธอมองไปที่หยวนหยวนหลายครั้งนั้น คุณแม่จงก็เข้าใจแล้ว
“ใช่สิสาวน้อย ตอนนี้ที่โรงเรียนหนูมีแฟนไหมจ๊ะ? ”
ถางหยวนหยวนนึกไม่ถึงว่าจู่ๆ คุณแม่จงจะถามแบบนี้ แก้มเธอก็แดงขึ้นมา พร้อมกับส่ายหน้า
“ทำไมถามแค่นี้ก็เขินแล้วล่ะ? หนูโตแล้วนะ บรรลุนิติภาวะแล้ว เป็นเวลาที่จะมีแฟนได้แล้วนะ”
ตอนที่พูดคำว่าแฟนออกมานั้น สายตาของถางหยวนหยวนก็ปรากฏภาพเงาของยู่ฉือยี่ซู แต่แน่นอนว่าเธอจะพูดอะไรพวกนี้ต่อหน้าคุณแม่จงไม่ได้ ได้แต่พูดว่า “คุณป้าคะ หนูรู้สึกว่าอายุหนูยังน้อยอยู่ ไม่รีบร้อนหรอกค่ะ”
“ตายแล้ว จะไม่รีบร้อนได้ยังไงกัน บรรลุนิติภาวะแล้ว มีแฟนได้แล้ว ต้องคบกันก่อนหนูถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นเหมาะสมกันไหม ใช่ไหมล่ะ? ”
ถางหยวนหยวนไม่ได้พูดอะไร
คุณแม่จงจงใจจับคู่เธอกับเสี่ยวเฟิง กระซิบว่า “หยวนหยวน ป้าขอถามอะไรหน่อยได้ไหมจ๊ะ? ”
“ค่ะ คุณป้าพูดมาได้เลยค่ะ”
“หนูรู้สึกว่าเสี่ยวเฟิงของพวกเราเป็นยังไงบ้าง? ”
“หา? ” ถางหยวนหยวนอึ้งไป ไม่ค่อยเข้าใจความหมายที่คุณแม่จงถามออกมา
“หาอะไรกัน? ป้าชอบหนูมากเลยนะ รู้สึกว่าสาวน้อยอย่างหนูเนี่ยช่างหาได้ยากจริงๆ แถมยังรู้จักกันตั้งแต่เด็กๆ อีก รู้รากเหง้าของกันและกัน เสี่ยวเฟิงของพวกเราหนูเองก็รู้ดีนี่ ถึงแม้ว่าเขาจะพูดมากไปหน่อย แต่ก็ถือว่าเป็นเด็กดีและเรียบง่าย ไม่เคยพาผู้หญิงคนไหนมาที่บ้านมาก่อนเลย มีแค่หนูแค่คนเดียวเท่านั้น”
พอได้ยินแบบนี้ ต่อให้ถางหยวนหยวนเป็นคนโง่ก็ฟังออกว่าคุณแม่จงจะหมายความว่ายังไง ทันใดนั้นเธอก็เข้าใจทันทีว่าทำไมก่อนหน้านี้คุณแม่จงให้พี่กับพี่ฉู่เฟิงกลับบ้านไปทำเกี๊ยวด้วยกัน ที่แท้ก็เพราะแบบนี้นี่เอง
เธอรู้สึกตื่นเต้น น้ำเสียงก็อ่อนลงนิดหน่อย
“คุณป้าคะ หนูกับพี่ฉู่เฟิงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมากๆ เลยค่ะ”
“ป้ารู้จ้ะ” คุณแม่จงยิ้มอ่อนๆ “ดังนั้นก็เลยถามหนูไง หากหนูพัฒนาจากเพื่อนที่ดีไปจนกลายเป็นความรัก ข้ามฟากมา หนูคิดว่าเป็นไงบ้าง? ”
ถางหยวนหยวน:“หนู……”
“ไม่ต้องกลัวหรอกเด็กน้อย ป้าก็แค่ชอบหนูมาก ดังนั้นก็เลยอยากให้หนูมาเป็นลูกสะใภ้ ลูกชายของป้าเองก็น่าจะดูออกเหมือนกัน เขาเองก็ชอบหนูมาก”
พอได้ยินดังนั้น สมองของถางหยวนหยวนก็แข็งทื่อไปทันที เธอรู้สึกไม่ค่อยตอบสนองเท่าไหร่
“พี่ พี่ฉู่เฟิงชอบหนูเหรอคะ? ”
เป็นไปไม่ได้มั้ง? ยังไงก่อนหน้านี้ตอนที่เพื่อนร่วมห้องถามเธอนั้น เธอก็ไปถามพี่ฉู่เฟิงแล้ว ตอนนั้นเขาปฏิเสธ บอกว่าไม่ได้ชอบ
แต่ว่าทำไม คุณป้าถึงได้พูดแบบนี้กัน?
“หนูดูไม่ออกเหรอจ๊ะ? ” สีหน้าของคุณแม่จงดูประหลาดใจ “เขาชอบหนูมากเลยนะ แล้วก็ชอบมาหลายปีแล้วด้วย ป้าเห็นเขาโตมา ยังไงไม่เคยเห็นเขาดีกับผู้หญิงคนไหนขนาดนี้มาก่อนเลย”
ถางหยวนหยวนพูดอะไรไม่ออก
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ถึงได้อธิบายด้วยเสียงเล็กว่า “คุณป้าคะ คุณป้าเข้าใจผิดรึเปล่าคะ หนูกับพี่ฉู่เฟิงเป็นแค่เพื่อนที่ดีต่อกันเท่านั้น แล้วเขาก็เคยบอกหนูแล้วด้วยว่า เขาไม่ได้ชอบหนู”
“อะไรนะ?”
นี่คือสิ่งที่คุณแม่จงคิดไม่ถึง “เขาบอกว่าไม่ได้ชอบหนูเหรอ? ”
ถางหยวนหยวนพยักหน้า “ใช่ค่ะคุณป้า”