เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่ / เจ้าสาวมือสองของคุณชายพิก… - บทที่174 รุกก่อนบ้าง
เสิ่นเฉียวเองก็ไม่ได้สงสัยอะไรในตัวเธอ พยักหน้า “โอเค แกไปเข้าห้องน้ำเถอะ ฉันรอแกตรงนี้”
ได้ยินแบบนั้น หานเส่โยวก็รีบโบกมือ “ไม่ต้องหรอก แกไม่ต้องรอฉันหรอก แกลงไปก่อนเลย ฉันขอแค่สองนาที”
“…..อย่างนั้นก็ได้ อย่างนั้นฉันลงไปรอแกข้างล่างนะ”
พูดเสร็จเสิ่นเฉียวก็ไปหยิบโทรศัพท์กับกระเป๋าของตัวเองแล้วลงไปข้างล่าง
รอเสิ่นเฉียวไปแล้ว หานเส่โยวก็ถอนหายใจออกมา
เธอคิดว่าตัวเองควรจะดีใจที่เสิ่นเฉียวไม่ใช่ผู้หญิงประเภทที่คิดเล็กคิดน้อย ถึงได้เป็นแบบพอเธอพูดให้ไปก็ถึงได้ไป
ปึง!
ตอนที่ประตูถูกปิดสนิทแล้ว หานเส่โยวก็เปิดประตูตู้เสื้อผ้าอีกครั้ง แล้วหยิบสูทที่เธอยัดเอาไว้ออกมากางใหม่ แล้วดึงกระดุมสองเม็ดที่เหลือออกมาเม็ดหนึ่ง เสร็จแล้วก็แขวนกลับขึ้นไปอีกครั้งหนึ่ง
เธอเก็บกระดุมที่เอาออกมาได้ไว้ในกระเป๋า ริมฝีปากก็แย้มยิ้มอย่างได้ใจ
เอากระดุมไปแบบนี้คงไม่มีเรื่องเสี่ยงอะไรหรอกใช่ไหม? ต่อให้เสิ่นเฉียวมาเปิดตู้เสื้อผ้าดู ก็ไม่เจอกระดุมนี้แล้ว อย่างนั้นเธอเองก็คงไม่สงสัย
ก็แค่ว่า….สีหน้าของหานเส่โยวกลับมาตึงเครียดอีก
ยังมีกระดุมอีกเม็ดที่อยู่กับเสิ่นเฉียว ตอนแรกสะเพร่าไปหน่อย ไม่น่าจะรีบคืนกระดุมให้เธอเลย
ดูแล้วนอกจากจะมีกระดุมสองเม็ดที่มีอยู่นี่แล้ว เธอคงต้องคิดวิธีที่จะเอากระดุมอีกเม็ดนั่นมาจากเสิ่นเฉียวให้ได้
ในตอนที่เสิ่นเฉียวลงมาถึงข้างล่างคนเดียว พบว่ามื้อเช้าบนโต๊ะอาหารนั้นกำลังสนุกสนาน ไม่ได้มีแค่คุณปู่เย่ พี่น้องตระกูลเย่ทั้งสองก็อยู่ด้วย ตอนที่เธอเดินสายตาของคุณปู่เย่กับเย่หลิ่นหานก็มองมา
คุณปู่เย่มองไปทางด้านหลังของเธอ “หนูเส่โยวไม่ใช่ว่าไปหาเธอหรือไง? ทำไมถึงไม่ลงมาพร้อมกันล่ะ?”
ฟังจบ เสิ่นเฉียวก็อธิบาย “คุณปู่เย่ อีกเดี๋ยวเส่โยวก็ลงมาแล้วค่ะ”
“อืม”
เพิ่งจะพูดจบ ด้านหลังก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น หานเส่โยวเดินมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ขอโทษนะคะคุณปู่เย่ ดูเหมือนว่าหนูมาสายไปหน่อย เมื่อกี้ตอนอยู่ชั้นบนหนูไม่ระวังก็เลยเท้าแพลง ก็เลยล่าช้าไปแป๊บหนึ่ง”
ได้ยินแบบนั้นคุณปู่เย่ก็หันมากวาดตามองเสิ่นเฉียว ดูเหมือนกำลังไม่ค่อยพอใจ
“เสิ่นโย่ว เส่โยวเท้าแพลงแล้ว เธอก็ไม่รู้จักพยุงคนอื่นเขาหน่อยหรือไง ทำไมถึงลงมาคนเดียว?”
“เอ่อ หนู…….” เสิ่นเฉียวเองก็ไม่รู้ว่าทำไมหานเส่โยวถึงเปลี่ยนข้ออ้าง เธอเองก็นิ่งไปเหมือนกัน หานเส่โยวควงแขนของเธอเอาไว้ แล้วอธิบายขึ้นแบบยิ้มๆ “คุณปู่ ไม่เป็นไรค่ะ หนูขอให้เธอลงมาก่อนเอง”
“เอาเถอะ นั่งลงแล้วกินข้าวเถอะ หนูเส่โยวที่ของหนูอยู่ตรงนี้” คุณปู่เย่ชี้นิ้วไปที่ที่นั่งข้างเย่หลิ่นหานอย่างมีเลศนัย เสิ่นเฉียวคิดออกว่าเขาคงอยากจะเป็นพ่อสื่อให้ทั้งสองคน ก็เลยไม่พูดอะไร
ตอนแรกหานเส่โยวชะงักไป แต่วินาทีต่อมาก็ยิ้มแล้วนั่งลงข้างเย่หลิ่นหาน
ตอนแรกเสิ่นเฉียวก็อยากจะไปด้วย ใครจะรู้ว่าคุณปู่จะสั่งขึ้นมาโต้งๆ “เสิ่นโย่ว ไปนั่งข้างๆเย่โม่เซิน”
“…..ทราบแล้วค่ะ”
เธอไม่กล้าไม่ทำตามคำสั่งของคุณปู่เย่ เลยเดินไปนั่งลงข้างเย่โม่เซินอย่างช้าๆ
บรรยากาศที่แผ่ออกมาจากตัวของเย่โม่เซินเย็นมากๆ เสิ่นเฉียวเพิ่งจะนั่งลงได้ไม่นานก็รู้สึกได้เลยว่าต้นคอตัวเองนั้นเย็นๆ
คุณปู่เย่ชอบหานเส่โยวมาก เลยชวนเธอคุยด้วยตลอดและหานเส่โยวเองก็สามารถต่อคำพูดของเขาได้ด้วย หลังจากนั้นคุณปู่เย่ก็เลยเอ่ยขึ้นมาตรงๆ “หนูเส่โยว หนูว่าหลิ่นหานของเราเป็นยังไงบ้าง?”
หานเส่โยว “……”
เสิ่นเฉียว “…….”
ผลลัพธ์ล่ะ? คุณปู่เย่อยากให้เย่หลิ่นหานกับหานเส่โยวคบกันจริงๆด้วย
ถ้าเกิดว่าเสิ่นเฉียวแต่งงานดี หานเส่โยวเองก็ชอบ แต่งเข้ามาทั้งสองคนเป็นญาติกันก็คงดี แต่ว่าสถานะแต่งงานของเธอกับเย่โม่เซินจะช้าจะเร็วก็ต้องจบลง แถมตระกูลเย่สถานการณ์แบบนี้ ให้หานเส่โยวแต่งเข้ามาก็ไม่ใช่เรื่องดีๆ
หานเส่โยวเขินอยู่ครู่ใหญ่ถึงได้ยิ้มแล้วพูดขึ้น “คุณชายใหญ่ทั้งเก่งและโดดเด่น แถมยังเป็นสุภาพบุรุษและก็เอาใจใส่ เป็นคนที่ดีมากค่ะ”
คุณปู่เย่ได้ยินก็พอใจมาก ลูบหนวดตรงคางของตัวเอง “แล้วหนูเส่โยวคิดว่า….”
“คุณปู่”
เย่หลิ่นหานที่นั่งเงียบมาตลอดเอ่ยขึ้นตัดบทคุณปู่เย่ เขายังคงมีสีหน้าอบอุ่น ยังคงพูดจามีสัมมาคารวะ ก็แค่นัยน์ตาไม่ได้มีแววล้อเล่นอยู่
“ที่บริษัทยังมีเรื่องให้จัดการ ผมคงต้องขอตัวไปบริษัทก่อน”
คุณปู่เย่มีสีหน้าหงุดหงิด “ยังทานอาหารกันไม่เสร็จเลย ทำไมต้องไปบริษัทตอนนี้ด้วย?”
เย่หลิ่นหานยกยิ้มเบาๆ “คุณปู่ ที่บริษัทมีเรื่องสำคัญมากจริงๆ คุณปู่ก็รู้ว่าวันนี้เป็นวันครบรอบ มีเรื่องให้ทำอีกเยอะแยะ ผมขอตัวก่อน ถ้าตอนเย็นมีเวลาผมจะกลับมากินข้าวเป็นเพื่อน”
พูดจบ เย่หลิ่นหานก็ไม่ได้สนใจว่าคุณปู่เย่จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย เขาแค่ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปด้านนอกทันที
“แกกลับมาเดี๋ยวนี้นะ!” คุณปู่เย่เรียกเขาขึ้นมาด้วยความโมโห แต่ว่าเย่หลิ่นหานเหมือนกับไม่ได้ยิน
คนที่เหลือก็นั่งอยู่ที่เดิมอย่างไม่รู้จะทำยังไง
เสิ่นเฉียวกำตะเกียบแน่น สีหน้าบ่งบอกได้ว่าทำอะไรไม่ถูก
เธอคิดไม่ถึงว่าเย่หลิ่นหานจะกล้าขัดขืนคุณปู่เย่ต่อหน้าคนอื่นๆ ทั้งๆที่พูดถึงเรื่องที่สำคัญมากแท้ๆ ใครๆก็รู้ว่าประโยคถัดไปคุณปู่เย่จะพูดว่าอะไรต่อ…..
แต่เขากลับออกไปทั้งแบบนี้
แต่เย่โม่เซินทำเหมือนกับว่ามองไม่เห็นใครตั้งแต่ต้นจนจบเสียนี่ ก็เหมือนกับเรื่องๆนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเขา
คุณปู่เย่พอโกรธก็ทำเสียงหึ แล้วพูดขึ้น “แกโยนงานที่บริษัทให้หลิ่นหานทำทั้งหมดใช่ไหม?”
ได้ฟัง เย่โม่เซินก็เหลือบมองเขา
“คุณปู่ทำอะไรไว้ล่ะครับ?”
ริมฝีปากบางของเย่โม่เซินยกยิ้มอาบยาพิษขึ้นน้อยๆ แล้วหัวเราะเสียงเย็น
“คุณปู่ คุณปู่คงไม่คิดว่าที่เขาไปเพราะที่บริษัทงานยุ่งจริงๆใช่ไหม?”
“ไม่ใช่หรือไง?” คุณปู่เย่เขม็งตาอย่างโมโห ที่จริงแล้วในใจเขารู้ดี แต่ก็แค่อยากจะระบายความโมโหนี้กับเย่โม่เซินเฉยๆ
“เหอะ” เย่โม่เซินขี้เกียจที่จะเถียงกับเขา กลับแค่วางตะเกียบในมือลง “ดูแล้วถ้าผมไม่ไปบริษัท คงมีคนทนมองไม่ได้แน่ๆ”
พูดจบ เขาก็ไถล้อรถเข็นไปเอง แล้วก็ออกไปเฉยๆ
เสิ่นเฉียว “……”
หานเส่โยวนิ่งไปพักใหญ่ แล้วก็ลุกยืน แล้วพูดขึ้น “คุณปู่เย่ อย่างนั้นพวกเราก็ไปกันเถอะค่ะ”
พูดจบก็ส่งสายตาให้เสิ่นเฉียว เสิ่นเฉียวเองก็ยืนขึ้นอย่างทำตัวไม่ถูก “คุณปู่คะ พวกเราไปบริษัทแล้วนะคะ”
เธอเดินออกมาด้านนอกกับหานเส่โยว หานเส่โยวกระแทกเสิ่นเฉียวเบาๆ “แกไม่ไปเข็นเขาเหรอ?”
เสิ่นเฉียวเม้มปาก ส่ายหน้า “เขาไม่จำเป็นต้องให้ฉันเข็น”
“แกก็จริงๆเลย….เขานั่งอยู่บนรถเข็นนะ อย่างน้อยก็ต้องช่วยหน่อยสิ”
พูดจบหานเส่โยวก็ก้าวไปด้านหน้า แล้วเข็นรถเข็นของเย่โม่เซิน
“คุณชายเย่ ให้ฉันช่วยนะคะ”
เสียงอ่อนเธอทั้งนุ่มและอ่อนโยนเหมือนกับดอกไม้ที่อ่อนช้อย
เย่โม่เซินได้กลิ่นน้ำหอมที่โชยออกมาจากตัวเธอก็ขมวดคิ้ว หางตากลับมองเห็นเสิ่นเฉียวที่ยืนอยู่ด้านหลังถัดไปอีก ริมฝีปากบางยกรอยยิ้มชั่วร้ายขึ้น แล้วก็พยักหน้า
“ได้สิ ขอบคุณ”
เสิ่นเฉียวเงียบ “……”
ในใจของเธอรู้สึกไม่สบอารมณ์เลย
เธอกัดริมฝีปากเอาไว้ ก้มลงมองมือทั้งสองข้างของตัวเอง แล้วอดที่จะกำชายเสื้อเอาไว้ไม่ได้
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหานเส่โยวเป็นอะไร ทำไมถึงชอบไปช่วยเขานัก ทั้งๆที่ก็เห็นอยู่ว่าเขาเป็นคนร้ายกาจขนาดไหน ทำไมถึงไม่อยู่ให้ห่างจากเขาอีกนิด?
ยิ่งคิด อารมณ์ของเสิ่นเฉียวก็ยิ่งขุ่นมัว
ขนาดที่ว่าตัวเธอเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ากำลังโกรธเย่โม่เซินหรือว่าหานเส่โยวกันแน่