เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่ / เจ้าสาวมือสองของคุณชายพิก… - บทที่20 เย่โม่เซินไม่ได้เป็นคนไร้ความรู้สึกขนาดนั้น
- Home
- เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่ / เจ้าสาวมือสองของคุณชายพิก…
- บทที่20 เย่โม่เซินไม่ได้เป็นคนไร้ความรู้สึกขนาดนั้น
เธอโค้งไปตามมุม ฝีเท้าเสิ่นเฉียวกลับอยู่ๆก็หยุดลงกะทันหัน เพราะว่าอยู่ๆก็มีคนสองคนปรากฏขึ้นตรงหน้า
เซียวซู่เข็งเย่โม่เซินไปถึงตรงนั้น นัยน์ตาเย่โม่เซินจับจ้องเธออย่างเย็นชา
ถ้าหากว่าด้วยทัศนคติก่อนหน้านี้ เสิ่นเฉียวคงจะหมุนตัวเดินหนีไป แต่ว่าพอหลังจากได้รับรู้ว่าเขาถูกปู่และพี่ชายตัวเองหักหลังแล้ว เสิ่นเฉียวก็มองเย่โม่เซินด้วยสายตาที่ต่างไปจากแต่ก่อนอย่างสิ้นเชิง
แต่ว่า เธอก็ยังคงไม่ลืมเรื่องที่เขาทำให้เธอต้องเสียลูกไป จึงได้แต่หมุนตัวและเดินหนีไป
“หยุดอยู่ตรงนั้น!” เย่โม่เซินตะโกนหยุดเธอ
เสิ่นเฉียวนิ่งอยู่กับที่ และหันหน้ากับไปมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์นัก “มีเรื่องอะไร”
“มีหน้าที่เป็นผู้ช่วย แต่อยู่ดีๆก็ขาดงานเอาดื้อๆสองวันอย่างนั้นรึ ไม่คิดจะลาหรือไง”
พอได้ยิน เสิ่นเฉียวก็คิดขึ้นมาได้เรื่องก่อนหน้านี้ในห้องหนังสือ เรื่องที่นายท่านเย่พูดกับเธอ เมื่อคิดว่าตัวเองไม่ได้ไปเป็นผู้ช่วย แต่ว่าให้ไปสอดแนมเขาต่างหาก เธอจึงได้พูดขึ้นว่า “ก็คุณไม่ได้ต้องการผู้ช่วยไม่ใช่หรอ ถ้าอย่างนั้นฉันก็ไม่ไปขัดหูขัดตาคุณดีกว่า”
“คุณคิดว่าบริษัทตระกูลเย่คิดอยากจะมาก็มา คิดอยากจะไปก็ไปอย่างนั้นรึ”
เสิ่นเฉียวขมวดคิ้วหน้าย่น “ถ้าอย่างนั้นคุณจะเอายังไง”
เมื่อเซียวซู่ที่ด้านข้างเห็นถึงทัศนคติของเธอ เขาก็เบิกตาโตอยู่ครู่หนึ่ง “ผมว่าคุณนี่ทำไมไม่รู้อะไรควรอะไรไม่ควรเสียบ้างเลยนะ คุณชายเย่ของพวกเราอุตส่าห์คิดแทนคุณ ละเว้นชีวิตในท้องคุณเอาไว้ แล้วคุณยังจะ…”
“หุบปาก!” เย่โม่เซินขัดขึ้นทันควัน จนเซียวซู่ต้องลดเสียงลง
“คุณว่าไงนะ” เสิ่นเฉียวเบิกตาโตด้วยความที่ไม่อยากจะเชื่อ ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เซียวซู่พูด “เป็นไปได้ยังไง ก็เห็นๆอยู่ว่าคุณ…”
เสิ่นเฉียวจ้องเย่โม่เซิน วันนั้นก่อนที่เธอจะหมดสติไป ไม่ว่าจะยังไงเขาก็เอาตัวเธอไปผ่าตัดทำแท้งไม่ใช่เรอะ แล้วยังให้เซียวซู่พาหมอมาด้วยตัวเอง จากนั้นเธอโมโหจนหมดสติไป ตอนที่ฟื้นขึ้นมาเธอก็อยู่ที่ตระกูลเย่แล้ว
“อย่าคิดมากไป สำหรับผู้หญิงอย่างคุณ ผู้ขี้เกียจจะลงมือด้วยเท่านั้น” เย่โม่เซินพูดด้วยเสียงแข็ง และให้เซียวซู่เข็นเขาออกไป
เธอมองตามเงาหลังของทั้งคู่ไป เสิ่นเฉียวรู้สึกสับสนขึ้นในใจ
เป็นไปได้ยังไง เธอยังคิดว่า…ลูกไม่อยู่แล้ว ตอนนี้เซียวซู่พูดขึ้นมา เธอถึงได้หวนคิดไปถึงตัวเองวันนั้นเมื่อตอนที่ฟื้นขึ้นมา ที่ท้องก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลง
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นเฉียวก็ยื่นมือออกมาหยิบโทรศัพท์โทรหาหานเส่โยว
หลังจากที่หานเส่โยวมาแล้ว หล่อนก็พาเธอไปตรวจที่โรงพยาบาล เมื่อหมอแสดงความยินดีกับการตั้งครรภ์ของเธอ เสิ่นเฉียวถึงกับนิ่งอึ้งไป
มันเป็นไปได้ยังไง เธอนึกว่าเย่โม่เซินไม่สามารถยอมรับเด็กคนนี้ได้เสียอีก คาดไม่ถึงเลย…
“ดูเหมือนว่าเย่โม่เซินที่เธอเล่ามาก็จะไม่ใช่คนเลือดเย็นไม่มีความรู้สึกอะไรแล้วนะ”
เสิ่นเฉียวไม่เถียง เธอหลับตาลงคิดถึงอะไรบางอย่างอยู่
“แล้วเธอจะเอายังไงต่อล่ะทีนี้”
“ไม่รู้สิ ค่อยๆไปทีละขั้นละตอนก็แล้วกัน” เสิ่นเฉียวไม่มีแผนชีวิตตัวเองเลยสักนิด ชีวิตของเธอตั้งแต่ที่เริ่มแต่งงานกับหลินเจียงตอนนั้นทุกอย่างก็เพื่อเขาทั้งนั้น ภายหลังจากหย่าแล้วก็ถูกพ่อแม่บังคับให้แต่งเข้าตระกูลเย่ ตอนนี้วัตถุประสงค์เดียวที่มี ก็คืออยู่ในบ้านตระกูลเย่ต่อไปเท่านั้น
“แต่ว่า…ชายแปลกหน้าคนนั้น ที่แท้เป็นใครกันนะ” หานเส่โยวพูดขึ้นมาอย่างรู้อยากเห็น “เธอบอกว่าเขานอนกับเธอ แล้วไม่กลัวว่าเธอจะท้องหรือยังไง ทำไมถึงได้ไม่ตามหาตัวเธอ เฉียวเฉียว เธออยากจะตามหาคนคนนั้นรึเปล่า”
ตามหาชายแปลกหน้าหรอ สายตาเสิ่นเฉียวมีความมึนงงเล็กน้อย “หาเขาทำไมอะ ฉันไม่ได้ประทับใจอะไรในตัวเขาสักหน่อย ที่จริงไม่รู้ด้วยว่าเขาเป็นคนยังไง วันนี้ฝนตกหนักมาก ท้องฟ้าก็มืดมาก เห็นอะไรไม่ชัดเลย อีกอย่าง ตอนนี้ฉันก็เป็นภรรยาของเย่โม่เซินแล้วด้วย ถ้าหากว่าไปตามหาผู้ชายอีกคน ถึงตอนนั้นตระกูลเย่ไม่ปล่อยฉันเอาไว้แน่”
“อย่างนี้เอง ฉันให้คนให้ไปสอบถามแทนเธอ ดูสิว่าจะได้ความอะไรบ้างไหม”
“เส่โยว ขอบคุณนะ”
“เธอจะขอบคุณทำไมกัน ฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณเธอ ตอนอยู่โรงเรียนฉันโดนทุกคนรังแก แต่ว่าเธอกลับออกหน้าเพื่อที่จะช่วยฉัน แถมยังยอมโดนตีแทนฉันอีก” พอพูดถึงเรื่องนี้ หานเส่โยวก็นึกถึงช่วงเวลาที่อยู่ในโรงเรียนขึ้นมา ตอนนั้นเธอยังไม่ได้มาที่ตระกูลหาน เธอยังเป็นแค่เด็กจนๆผู้น่าสงสารคนหนึ่งเท่านั้น ถูกรังแกที่โรงเรียน มีเสิ่นเฉียวเท่านั้นที่ค่อยช่วยเหลือเธอ
หลังจากนั้นมาทั้งคู่ก็กลายมาเป็นพี่สาวน้องสาวที่ดีต่อกัน
พอกลับถึงตระกูลเย่ เสิ่นเฉียวก็กลับไปที่ห้อง
พอเข้าประตูไป เธอก็พบว่าจริงๆแล้วเย่โม่เซินไม่ได้ไปที่บริษัท เธอรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่หลังจากปิดประตูลง ก็คิดอยู่ครู่หนึ่ง และเดินเข้าไปหาเขา
เย่โม่เซินนั่งอยู่บนรถเข็น มือหนึ่งถือนิตยสารการเงินเอาไว้ ที่ด้านข้างเป็นโต๊ะเคลื่อนที่ระดับสูง วางโน้ตบุ๊กเครื่องหนึ่งเอาไว้
หลังจากเสิ่นเฉียวเดินเข้าใกล้ เธอถึงได้เห็นว่าที่หูเขาใส่หูฟังบลูทูธอยู่ วิดีโอปรากฏขึ้นบนหน้าจอโน้ตบุ๊ก
ราวกับว่า…กำลังประชุมงานทางวิดีโอคอลอยู่
เห็นดังนั้น เสิ่นเฉียวก็หยุดริมฝีปากลง เธอยื่นอยู่ข้างๆเงียบๆฟังที่เขาพูด
“อือ ข้อเสนอนี้ไม่เลวนะ ว่าต่อไปสิ”
“ได้ เริ่มให้เร็วที่สุด”
“อื้อ”
คำพูดของเย่โม่เซินนั้นไม่มาก ส่วนมากแล้วเป็นประโยคสั้นๆ ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองเลยสักนิด สายตาจับจ้องอยู่ที่นิตยสารตรงหน้า คราวนี้ยังพูดอีก “ส่งแผนงานมาอีเมล์นะ”
ประมาณครึ่งชั่วโมง การประชุมก็สิ้นสุดลง
ตั้งแต่เสิ่นเฉียวเข้ามาเธอก็ยื่นอยู่ตรงนั้นจนการประชุมเสร็จสิ้น
เมื่อเห็นคนในหน้าจอหายไป เสิ่นเฉียวถึงได้เดินไปข้างหน้าอีกก้าว ไม่คิดเลยว่าเย่โม่เซินจะพูดขึ้นอย่างเย็นชา “อย่าเข้าใกล้ผม”
“…” ฝีเท้าของเสิ่นเฉียวหยุดลงอยู่กับที่
เย่โม่เซินตั้งใจเปิดกล่องข้อความของเขาดูอย่างขมักเขม้น ทำการตรวจสอบอีเมล์
เอาล่ะ ที่แท้เขาก็ต้องการจัดการกับงานนั่นเอง
เสิ่นเฉียวไม่ต้องการที่จะรบกวนเขาอีก เธอจึงหันกายเตรียมที่จะออกไป
“หยุดอยู่ตรงนั้น”
เสิ่นเฉียวหันกลับไป เธอจ้องเขาอย่างไม่เข้าใจ
“รออยู่ที่นี่ก่อน”
เย่โม่เซินพูดต่อ
สายตาอันงดงามของเสิ่นเฉียวเบิกกว้างขึ้น ไม่ให้เธอเข้าใกล้ แต่ก็ไม่ให้เธอออกไป แล้วให้เธอรอทำอะไรอยู่ตรงนี้
โรคจิตรึเปล่า
แต่เพราะว่าเสิ่นเฉียวรู้ตัวเองทำผิดต่อเขาไปแล้ว คืนนั้นยังไปคว้าคอเสื้อแล้วด่าเขาว่าเป็นสัตว์ร้ายอีก โหดเหี้ยม สัตว์ป่ายังมีอารมณ์ความรู้สึกมากกว่าคุณอีก ใจรู้สึกผิดเข้าแล้วเต็มๆ
ดังนั้นเสิ่นเฉียวจึงไม่ได้ขยับ ได้แต่ยืนต่อไปอย่างนั้น
เวลาผ่านไปแล้วแต่ละนาทีแต่ละวินาที เสิ่นเฉียวได้แต่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นนานแค่ไหน เธอรู้แต่ว่าเย่โม่เซินรับมือกับงานอย่างขยันขันแข็งอย่างมาก
ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกได้ว่า ผู้ชายที่เอาการเอางานนั้นช่างหล่อเหลาเสียจริง
เสิ่นเฉียวค่อยเริ่มรู้สึกว่าขาชา แต่เย่โม่เซินก็ยังคงไม่มีทีท่าว่าจะเสร็จเมื่อไหร่
เขาแก้แค้นเธออย่างนั้นรึ เพราะว่าก่อนหน้านี้ที่เธอพูดว่าเขาไปอย่างนั้น ดังนั้นเขาก็เลยตั้งใจทำกับเธออย่างนี้หรอ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นเฉียวก็อดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ เธอก้มตัวลงนวดน่องตัวเองที่เป็นเหน็บชา
ในที่สุด สายตาเย่โม่เซินก็เงยขึ้น มองไปทางเธอ
เสิ่นเฉียวรีบยืดตัวขึ้น ราวกับว่าเป็นเด็กที่เพิ่งทำความผิดอะไรมา
“ยังไม่ถึงชั่วโมงเลย ก็ยืนไม่ไหวแล้วรึไง” เย่โม่เซินยกมือขึ้น มองไปที่นาฬิกา ริมฝีปากบางยิ้มเยาะอย่างเย็นชา
เสิ่นเฉียวริมฝีปากสั่นไหว แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรสักนิด
“มาหาผมเรื่องอะไร”
เสิ่นเฉียวยังไม่ทันได้พูดอะไร เย่โม่เซินคำรามเสียง ปิดโน้ตบุ๊กลง เตรียมตัวที่จะออกไป เสิ่นเฉียวร้อนใจและพูดอย่างตื่นเต้น “ขอโทษ!”
ดวงตาแหลมคมหรี่ลง เย่โม่เซินมองไปยังเธอ
“เรื่องสองวันก่อน ฉันขอโทษคุณ!” เสิ่นเฉียวพูดให้ครบถ้วน และตั้งใจโค้งลงให้เขาอย่างจริงใจ เธอโค้งคำนับให้กับเย่โม่เซิน
หลังจากที่ยืดตัวขึ้น เสิ่นเฉียวเห็นเสิ่นเฉียวจ้องเธอด้วยสายตาเย็นชา
“ฉันคิดว่า…”
“คิดว่าอะไร” น้ำเสียงเย่โม่เซินเย็นเยือกเต็มไปด้วยความประชดประชัน “คุณคงจะไม่ได้คิดว่าที่ผมให้คุณเก็บเด็กเวรนี่ไว้เป็นเพราะว่าผมคิดอะไรกับคุณหรอกนะ ผู้หญิง ชอบคิดเองเออเอง”
“ฉัน…” ที่จริงเสิ่นเฉียวแค่อยากจะขอโทษเขาเท่านั้น ไม่ได้คิดว่าเขาจะพูดจาแย่ๆใส่ สีหน้าเธอจึงขาวซีดลงหลายส่วน
“นี่คือข้อสัญญา”
ทันใดนั้น เย่โม่เซินก็โยนซองเอกสารสีน้ำตาลให้เธอ เสิ่นเฉียวกำลังจะยื่นมือออกไปรับ ซองนั้นก็ตกลงตรงเท้าของเธอ เสิ่นเฉียวอึ้งก่อนที่จะโน้มตัวลงไปหยิบมันขึ้นมา
หลังจากที่เธอเปิดซองเอกสารนั้นออก ก็พบว่ามันคือหนังสือชี้แจงหลังการแต่งงาน
“เซ็นซะ!” เสียงเย่โม่เซินเยือกเย็นไร้อารมณ์ใดๆ เธอเงยหน้าขึ้นมองเขา เห็นเพียงดวงตาสีเข้มเท่านั้น เธอจึงอ่านสัญญาผ่านๆรอบหนึ่งอย่างรวดเร็ว
“ไม่ว่าจะเป็นคุณหรือว่าน้องสาวคุณ ก็เป็นปัญหาทั้งนั้น ดังนั้นผมจะให้เวลาคุณครึ่งปี หลังจากครึ่งปี คุณก็เอาสัญญาฉบับนี้และเช็คใบนี้ไปจากตระกูลเย่ และอย่าได้กลับมาอีก”
พอพูดจบ เย่โม่เซินก็วางเช็คใบหนึ่งลงบนโต๊ะตรงหน้า
พอเห็นเช็ค เสิ่นเฉียวก็รู้สึกเหมือนว่ามีน้ำเย็นๆราดลงบนหัว
ตอนมาเธอยังคิดถึงคำขอโทษที่มีต่อเขา ไม่คิดเลยว่าเขาได้เตรียมสัญญาและเช็คเอาไว้หมดแล้ว
“เงินจำนวนนี้ น่าจะเพียงพอให้คุณไม่ต้องลำบากในภายหลังแล้วล่ะ”