เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่ / เจ้าสาวมือสองของคุณชายพิก… - บทที่335 ความอบอุ่น
ภายในห้องพักที่โรงแรม
หลังจากที่เสี่ยวเฉินอาบน้ำแล้วนั้นเธอนุ่งผ้าเช็ดตัวเพียงผืนเดียว
เธอไม่ได้เอาเสื้อผ้ามาด้วย ตอนที่อาบน้ำเสร็จแล้วถึงได้มารู้ตัวทีหลัง
เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นวันนี้ทำให้เธอรับมือไม่ทัน ดังนั้นจนถึงตอนนี้เรื่องราวหลายๆเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเธอถึงเพิ่งจะดึงสติกลับมาได้
อย่างเช่นหลังจากที่เธออาบน้ำเสร็จแล้วเธอถึงได้พบว่าตัวเองไม่ได้เอาเสื้อผ้ามาด้วย ท้องของเธอร้องขึ้นมาเธอถึงได้พบว่าตัวเองยังไม่ได้กินข้าว ตอนที่อยากจะโทรศัพท์นั้นถึงได้พบว่าโทรศัพท์มือถือของเธอนั้นแบตหมดไปเสียแล้ว
ที่ชาร์ตแบตเธอก็ไม่ได้เอามาด้วยเช่นกัน
ช่างเถอะ ถึงอย่างไรเธอก็อยากอยู่เงียบๆอยู่แล้ว
เสิ่นเฉียวกำลังคิด แล้วเอาศีรษะของตัวเองนั้นฝังลงตรงหัวเข่า
ติ๊งต่อง—
จู่ๆออดประตูหน้าห้องของเธอก็ดังขึ้น เสิ่นเฉียวนั่งอยู่เช่นนั้นไม่ได้ขยับไปไหน
ดึกดื่นขนาดนี้แล้ว ใครกัน?
ติ๊งต่อง—
ออดประตูห้องของเธอนั้นดังขึ้นตลอด ราวกับว่าถ้าเธอไม่เปิดประตูก็จะไม่หยุดอย่างไรอย่างนั้น
เสิ่นเฉียวยังคงไม่ขยับเคลื่อนไหวใดๆเช่นเดิมอยู่นาน แล้วจู่ๆก็ลุกลงจากเตียงเดินลงมาด้วยเท้าเปล่า หลังจากที่เปิดประตูแล้ว ก็เห็นว่าด้านนอกมีผู้ชายยืนอยู่หลายคน
ตอนที่เธอกำลังเหม่อลอยอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงอันแสนเย็นชานั้นดังขึ้น
“หันหลังไปให้หมด”
ทุกคนต่างก็ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาอะไรนั้น และยังไม่ทันได้เห็นว่าร่างของเสิ่นเฉียวใส่อะไรอยู่นั้นก็ถูกตำหนิขึ้นมา หลังจากนั้นก็พากันหลับตาแล้วหันหลังไป
ตอนที่เสิ่นเฉียวกำลังยืนอึ้งอยู่นั้น หานชิงได้ละสายตาออกไปเรียบร้อยแล้ว ร่างสูงใหญ่นั้นเดินเข้ามายังด้านใน แล้วปิดประตูลง โดยที่ไม่ได้มองเธอ เพียงแต่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา : “เธอกลับเข้าไปในห้องน้ำก่อน”
เมื่อเห็นหานชิงแล้ว เสิ่นเฉียวรู้สึกประหลาดใจขึ้นมา “คุณมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรคะ?”
เมื่อเห็นว่าเธอยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม หานชิงเองก็ไม่ได้หันหน้ามา เพียงแต่เขายื่นมือออกไปตามสัญชาตญาณจับข้อมือของเธอเอาไว้ แล้วดึงเธอเข้าไปในห้องน้ำ หลังจากนั้นก็ขังเธอเอาไว้ด้านใน แล้วจึงค่อยปิดประตูลง
เสิ่นเฉียวยืนงงอยู่ในห้องน้ำอยู่ซักพักหนึ่ง ยังคงดูไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่แบบนั้น
ดึกดื่นขนาดนี้ ไม่คิดว่าหานชิงจะมาปรากฏตัวอยู่ในห้องพักของโรงแรมที่เธออยู่
และก็ไม่รู้ว่าผ่านไปนานขนาดไหน เสิ่นเฉียวก็ได้ยินเสียงของหานชิงดังขึ้นมาอยู่ตรงด้านนอก : “เปิดประตู”
เสิ่นเฉียวรู้สึกอึ้งไปพักหนึ่ง หลังจากนั้นจึงยื่นมือออกมาเปิดประตู แล้วยื่นหน้าออกไปมองด้านนอก หานชิงกลับยัดเอาถุงถุงหนึ่งเข้ามาให้ หลังจากนั้นก็ปิดประตูลงดังปังอีกครั้ง
หลังจากที่เสิ่นเฉียวเปิดถุงออกดูแล้วนั้นพบว่าด้านในมีเสื้อผ้าที่ซักแล้วอยู่ชุดหนึ่ง
นึกไม่ถึงเลยว่าแม้แต่สิ่งนี้เขาก็นึกถึงมันขึ้นมาได้
หลังจากที่เสิ่นเฉียวลังเลอยู่พักหนึ่งนั้น ก็เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดนั้น เดิมทีเธอยังสับสนอยู่ว่าพรุ่งนี้จะต้องใส่ชุดเดิมออกไปข้างนอกหรือเปล่า แต่ตอนนี้กลับมีชุดใหม่ให้เธอได้เปลี่ยนแล้ว
รอจนเสิ่นเฉียวเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วเดินออกมาแล้วนั้น หานชิงนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ภายในห้อง แล้วจ้องมองลงบนโต๊ะด้วยสีหน้าท่าทางที่จริงจัง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมาแล้ว หานชิงจึงได้เงยหน้าขึ้น ในที่สุดสายตาก็จ้องมองไปยังใบหน้าของเสิ่นเฉียว
เวลานี้เองเสิ่นเฉียวถึงได้พบว่า ภายในห้องนั้นมีข้าวของเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม ล้วนแต่เป็นสิ่งของที่หานชิงเตรียมเอาไว้เพื่อเธอทั้งสิ้น
หานชิงลุกขึ้นแล้วเดินมาหยุดลงตรงหน้าเธอ ส่วนสูงของเขานั้นประมาณ185 มายืนอยู่ตรงหน้าเสิ่นเฉียวแล้วราวกับเป็นเหมือนภูเขาลูกใหญ่ ออร่าบนร่างกายของเขานั้นบีบเธอเสียจนแทบจะหายใจไม่ทัน
โดยเฉพาะ….หลังจากที่ซูจิ่วบอกเสิ่นเฉียวเรื่องนั้นแล้ว ตอนนี้ที่เสิ่นเฉียวเผชิญหน้ากับหานชิงจึงรู้สึกเกร็งๆไม่เป็นธรรมชาติเป็นอย่างมาก
คนๆนี้…..คือครอบครัวของเธออย่างนั้นหรือ?
พี่ชาย?
เสิ่นเฉียวชินกับการเป็นพี่สาวแล้ว ไม่เคยคิดมาก่อนว่าวันหนึ่งจะมีพี่ชายเพิ่มมาแบบนี้
ความรู้สึกนี้ ช่างเป็นความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย
เธอไม่ชิน
“ไม่อยากกลับบ้านก็ไม่เป็นไร เธอคิดจะอยู่ที่นี่ยาวก็ได้ ฉันจ่ายค่าที่พักต่ออาทิตย์นึงที่เคาน์เตอร์ให้เธอแล้ว เสื้อผ้าก็เตรียมมาให้เธอหมดแล้ว ทุกวันจะมีคนมาส่งอาหารทั้งสามมื้อให้เธอ บนโต๊ะมีที่ชาร์ตแบตกับโทรศัพท์มือถืออยู่ ฉันเอาคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คมาให้เธอด้วย ถ้าเบื่อไม่มีอะไรทำก็จะได้เล่นอินเตอร์เน็ตได้”
เสิ่นเฉียว : “……คุณหาน คุณ…..”
เธอนึกไม่ถึง ว่าเขาจะละเอียดรอบคอบขนาดนี้
ตั้งแต่เกิดมานี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้รับการดูแลจากพี่ชาย การกระทำที่อบอุ่นหัวใจขนาดนี้
“ไม่ต้องเรียกฉันว่าคุณหานแล้ว” หานชิงตัดบทเธอ เขาเม้มปาก : “ซูจิ่วยังไม่ได้บอกกับเธอให้เข้าใจอีกหรือ?”
เสิ่นเฉียวกัดริมฝีปากล่างโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา บอกให้เข้าใจแล้วอย่างไรกัน
“ฉันรู้ว่าเธอคงยอมรับกับความจริงนี้ไม่ได้ชั่วคราว เธอยังไม่ยอมเรียกฉันว่าพี่ก็ไม่เป็นไร แต่ก็อย่าเรียกฉันว่าคุณหานอีก มันดูแปลกหน้ากันเกินไป”
ถ้าอย่างนั้นจะเรียกว่าอะไร? เสิ่นเฉียวเหลือบมองเขา ยังคงรักษาความเงียบเอาไว้เช่นเดิม
“เอาล่ะ ไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้ว เธอนั่งลงกินอะไรก่อนสิ”
เสิ่นเฉียวเดินตามเขาออกมาด้านนอก บนโต๊ะมีอาหารวางอยู่ ล้วนแต่เป็นของที่ย่อยง่ายๆทั้งนั้น
หานชิงดึงเก้าอี้ออก น้ำเสียงอ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ยากยิ่งนัก
“มานั่งสิ”
เสิ่นเฉียวมองเขาอย่างลังเล แต่ก็ยังเดินไปนั่ง หลังจากนั้นหานชิงก็ตักข้าวต้มให้เธอ และหยิบช้อนส่งให้เธอด้วย เล่นเอาสุดท้ายเสิ่นเฉียวรู้สึกเกรงใจ แล้วหลบตาลงไม่ได้เอ่ยพูดกับเขา
ปรากฏว่าหานชิงนั่งลงตรงเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้ามเธอ หลังจากนั้นเสิ่นเฉียวก็ได้ยินเสียงเขากำลังกินอะไรอยู่
เธออดที่จะเงยหน้าขึ้นมามองไม่ได้ และเป็นอย่างที่คิดเธอเห็นหานชิงนั่งลงกำลังกินอยู่ตรงข้ามเธอ
เธอรู้สึกแปลกๆ…..กัดริมฝีปากตัวเอง : “คุณ….ไม่รู้สึกว่ามันแปลกๆไปหน่อยหรือคะ?”
“อะไรหรือ?” หานชิงเงยหน้าขึ้นมา “เธอหมายถึง…..ระหว่างพวกเรา? หรือว่าสถานะของเธอ?”
“ข่าวนี้มาอย่างกะทันหันมาก ทำไมคุณ….ถึงได้ยอมรับและดูคุ้นเคยได้เร็วขนาดนี้ล่ะคะ?”
ได้ยินแล้วนั้น ริมฝีปากของหานชิงก็ยกยิ้มขึ้นมา พลางเอ่ยพูดต่อ : “ใครว่าข่าวนี้เกิดขึ้นกะทันหันกัน? มันกะทันหันสำหรับเธอ แต่สำหรับฉัน…..เรื่องนี้ผูกมัดฉันเอาไว้ยี่สิบกว่าปีแล้ว แล้วอีกอย่าง สถานะของเธอฉันก็สืบหามานานแล้วด้วย”
เสิ่นเฉียวนึกไปถึงคำพูดเหล่านั้นที่ซูจิ่วบอกเธอ อดที่จะขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้ : “ตั้งแต่วันที่เจอกันที่สนามบินอย่างนั้นหรือคะ?”
หานชิงพยักหน้า : “ประมาณนั้น สงสัยตั้งแต่ทีแรกอยู่แล้ว”
“คุณไม่กังวลว่าแม่ของฉันจะโกหกคุณเลยหรือคะ? ถึงอย่างไรอนาคตข้างหน้าของคุณหนูตระกูลหาน ใครๆก็คงต้องการ……”
“ซูจิ่วบอกว่า พาเธอไปห้องนั้นแล้ว เธอคงจะรู้ว่าเรื่องบางเรื่องโกหกกันไม่ได้หรอก”
พูดออกมาเช่นนี้ ก็มีดูมีเหตุมีผลอยู่จริงๆ เสิ่นเฉียวเม้มปาก “ถ้าอย่างนั้นคุณวางแผน…..จะทำอย่างไรกับหานเส่โยวคะ”
“เธอไม่ได้แซ่หาน” หานชิงสูดหายใจเข้า แล้วเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา : “เธอขโมยสถานะของเธอไป แล้วมาแฝงตัวเองอยู่ข้างๆเธอตั้งแต่แรก รู้เรื่องทุกอย่าง เด็กบ้า ทำไมเขารู้เรื่อง แต่เธอถึงไม่รู้กัน?”
เสิ่นเฉียว : “ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ เมื่อก่อนฉันไม่เคย……ไม่เคยสงสัยในประวัติชีวิตของตัวเองเลย”
ดังนั้นเธอจึงไม่รู้ว่าหานเส่โยวรู้เรื่องได้อย่างไรกันแน่ อีกทั้งยังปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดได้อีกด้วย
“มิน่าล่ะ ในสถานการณ์เช่นนั้นเธอยังสามารถปลอบใจตัวเองได้ แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรที่จะมาสงสัยถึงประวัติชีวิตของตัวเอง” เอ่ยขึ้นมาถึงตรงนี้แล้ว แววตาที่หานชิงมองเธอนั้นเต็มไปด้วยความเป็นห่วง : “รีบกินสิ ได้ยินซูจิ่วบอกว่าวันนี้ทั้งวันเธออารมณ์ไม่ดี กินเสร็จแล้วก็รีบพักผ่อน พรุ่งนี้ฉันค่อยมาดูเธออีกที”
เขาเอ่ยพูดออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ราวกับว่าทั้งสองคนคุ้นเคยกันไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น
แต่เสิ่นเฉียวกลับยังคงไม่ชิน อยากจะปฏิเสธเขา แต่ตอนที่เงยหน้าขึ้นมามองดวงตาคู่นั้นของหานชิงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง ก็รู้สึกนิ่งเฉยไม่ได้
ถึงอย่างไร…..เขาก็หาน้องสาวของตัวเองมายี่สิบกว่าปีแล้ว