เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 130 มาถึงทะเลสาบลี่หู
งานชมดอกบัวไม่ได้ง่ายเหมือนดั่งที่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อพูดถึงขนาดนั้น…นางแทบไม่เคยมีประสบการณ์ในการทำอะไรเกี่ยวกับงานชมดอกบัวอย่างจริงจัง เพียงแต่ในยามสำคัญต้องออกมาดูแลหน้างานหน่อยเท่านั้น และครั้งนี้สิ่งที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ต้องทำก็คือเข้าไปมีส่วนร่วมกับงานทั้งหมด
อันดับแรกจำเป็นต้องเข้าไปสำรวจสามทะเลสาบใหญ่ของลี่โจว โดยงานชมดอกบัวนั้นแบ่งเป็นสามรูปแบบหลักๆ คือ ล่องเรือที่ทะเลสาบลี่หู ชมดอกบัวที่ทะเลสาบโม่โฉว และชมทัศนียภาพที่สระบัว ทะเลสาบลี่หูอยู่ในเมืองลี่โจว เป็นทะเลสาบขนาดใหญ่มีบริเวณโดยรอบประมาณหกสิบจั้ง[1] กลางทะเลสาบมีเกาะเล็กๆ อยู่สองแห่ง ซึ่งก็คือเกาะน้ำแร่เย็น และเกาะสะท้อนเงาจันทร์ มีระยะห่างกันเพียงไม่กี่ลี้เท่านั้น งานชมดอกบัวของทุกปีล้วนจะล่องเรือที่ทะเลสาบลี่หู เมื่อถึงเวลานั้นตระกูลซั่งกวนจะจัดเรือสำราญสิบลำ แบ่งแขกหญิงชายนั่งเรือล่องไปในทะเลสาบ แยกไปส่งยังทั้งสองเกาะ
งานที่ทะเลสาบลี่หูก็จะดำเนินควบคู่กันไปในเวลาเดียวกัน สองเกาะนั้นล้วนมีศาลาริมน้ำทอดยาวอยู่ใกล้กัน โดยตรงกลางร้อยเรียงเชือกยาวเชื่อมติดกัน ฝั่งหนึ่งคิดคำถาม อีกฝั่งหนึ่งตอบคำถาม ผู้ที่คิดคำถามหลังจากเขียนหัวข้อเสร็จแล้วก็จะใส่คำถามไว้ในกล่องไม้ที่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษ ใช้เชือกเป็นตัวส่งผ่านไปยังอีกเกาะของฝั่งตรงข้าม และหลังจากที่อีกฝั่งตอบออกมา ก็จะใช้วิธีเดียวกันส่งกลับไป ผู้ชายมักจะประทับชื่อและสกุลลงไป ส่วนผู้หญิงจะใช้เพียงสกุลในการเรียงลำดับ เมื่อเป็นเช่นนี้อีกฝ่ายก็ล้วนจะทราบถึงฐานะของกันและกัน ต่อไปหากได้มีโอกาสเจอกันก็จะมองกันให้นานอีกหน่อย หากมีใจที่ตรงกัน ก็แต่งงานเกี่ยวดองให้เป็นเรื่องเป็นราว และหากทั้งสองฝ่ายไม่ถูกใจกัน ก็จะไม่มีชื่อเสียงเสียหายใดๆ เช่นกัน
โดยปกติทั้งสองเกาะนี้ก็มีคนของตระกูลซั่งกวนคอยดูแลอยู่ ด้านบนเกาะนั้นมีที่พักของตระกูลซั่งกวนอยู่เช่นกัน แต่ตระกูลซั่งกวนแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยคิดเอาสองเกาะแห่งนี้มาเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของตน นอกจากเก้าวันในงานชมดอกบัว ก็ไม่อนุญาตให้คนอื่นๆ ขึ้นเกาะไปเที่ยวเล่น การจัดการหลายร้อยปีมานี้ทำให้เกาะน้ำแร่เย็นและเกาะสะท้อนเงาจันทร์ต่างก็กลาย เป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในลี่โจว
หลังจากเยี่ยนมี่เอ๋อร์รับช่วงต่องานชมดอกบัวก็จำต้องไปถึงทะเลสาบลี่หูให้เร็วที่สุด ประจวบกับเป็นช่วงต้นเดือนพอดี ซั่งกวนเจวี๋ยมีเรื่องให้ต้องจัดการไม่มาก จึงอาสาที่จะไปเป็นเพื่อนนาง ทำให้สับเปลี่ยนกับคนของซั่งกวนที่ต้องไปพร้อมกันโดยปริยาย พาสาวใช้คนสนิทสองคนและบ่าวทั่วไปไปด้วย เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถูกขอให้ต้องขี่ม้าเช่นกัน…บางทีอาจจะเป็นตอนที่บังเอิญพูดคุยกัน ซั่งกวนเจวี๋ยพูดขึ้นมาว่าจะสอนมี่เอ๋อร์ขี่ม้า และในตอนนั้นเขาจึงได้รู้ว่า ในยามที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์อายุไม่ถึงเจ็ดแปดปีดี แม่ภรรยาผู้กล้าหาญของเขา ก็สอนให้นางขี่ม้าเป็นแล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องลำบากเขา
ซั่งกวนเจวี๋ยฟังจบ ก็ตั้งใจเลือกม้าสีแดงเข้มนิสัยอ่อนโยนตัวหนึ่งให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างทันที ม้าตัวนั้นทั่วทั้งตัวนอก จากกีบเท้าที่เป็นสีขาวแล้ว ก็ไม่มีสีอื่นเจือปนเลย มีท่าทีองอาจไม่ธรรมดา สิ่งที่ทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ชอบมากขึ้นไปอีกก็คือ หลัง จากม้าตัวนั้นได้พบกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ติดพันนางเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่ม้าตัวนี้เป็นม้าเด็กที่มีอายุเพียงสองปีเท่านั้น ทั้งยังดื้อซนตามประสาอยู่บ้าง ในยามที่พบเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ชอบเอาหัวมาซุกในอ้อมอกนาง หากไม่ใช่ซั่งกวนเจวี๋ยรู้มาว่ามันเป็นม้าตัวเมีย ก็คงคิดไปแล้วว่าม้าตัวนี้ลามกสิ้นดี!
หลังจากค่อยๆ ได้ใกล้ชิดกันหลายวันในตระกูล ทุกวันตอนเช้าสองสามีภรรยาก็จะเจียดเวลาว่างเล็กน้อย นำม้าออกไปวิ่งเล่นในสนามม้าของตระกูลซั่งกวนสักรอบสองรอบ ให้ม้าได้ออกกำลังบ้าง และก็เป็นการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างคนกับม้าด้วยเช่นกัน
ลูกม้ามีชื่อที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก นั่นก็คือเยาเอ๋อร์ เพราะมันเป็นม้าที่มีอายุน้อยที่สุดของตระกูลซั่งกวน จึงถูกคนเลี้ยงม้าเรียกเล่นๆ ติดปาก นานวันเข้าจึงกลายมาเป็นชื่อ และมันก็ชื่นชอบชื่อนี้เป็นอย่างมาก ขอแค่ได้ยินคนเรียกชื่อ มันก็จะรีบวิ่งเข้ามาออดอ้อนทันที น่าเอ็นดูเป็นอย่างมาก!
ขี่ม้าทะลุผ่านตรอกซอกซอยน้อยใหญ่ของลี่โจวไม่นานก็มาถึงริมทะเลสาบลี่หู ตระกูลซั่งกวนได้ส่งคนเตรียมเรือสำราญไว้ที่นั่นแล้ว เรือสำราญมีสองชั้น ชั้นหนึ่งมีรูปแบบคล้ายห้องนั่งเล่น ในนั้นมีเครื่องดนตรีชนิดต่างๆ สี่สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือ[2]และเครื่องอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน เพื่อให้คนที่นั่งเรือสามารถใช้เพลิดเพลินได้ตามใจ ซึ่งชั้นสองนั้นมีไว้เพื่อชมบรรยากาศ เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองสังเกตอย่างคร่าวๆ ก็ยังคงมองอะไรไม่ออก
“มี่เอ๋อร์คิดว่าเรือสำราญเป็นอย่างไรบ้าง?” ซั่งกวนเจวี๋ยไม่อาจมองข้ามผ่านแววตาที่เผยความสงสัยของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไปได้
“ดีอย่างยิ่ง!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้ม “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าขึ้นเรือสำราญ ไม่อาจจะเปรียบเทียบอะไรได้ แต่ถ้าหากเป็นข้า คงจะจัดเตรียมสาวใช้คอยชงชารินสุราไว้บนเรือคนหนึ่ง นั่งรับลมเย็นๆ ร้องรำทำเพลงเคล้าเสียงวิหค หากมีชาหอมกรุ่นหนึ่งถ้วยคอยต้อนรับด้วยย่อมเป็นเรื่องที่วิเศษยิ่ง”
“นับเป็นความคิดที่ดี!” ซั่งกวนเจวี๋ยตาเป็นประกาย ทุกทีนั้นบนเรือสำราญก็มีสาวใช้คอยรับใช้อยู่ตลอด แต่ผู้ที่ชำนาญด้านชงชารินสุราโดยเฉพาะกลับไม่มี หากจะเพิ่มสาวใช้ที่เชี่ยวชาญเรื่องชงชาขึ้นมาอีกคน ก็นับว่าเป็นเรื่องที่มีระดับไม่น้อยเช่นกัน แต่ว่า…
“สาวใช้ของตระกูลซั่งกวนแม้จะมีมากมาย แต่กลับไม่มีใครที่เคยเรียนชงชารินสุราโดยเฉพาะมาก่อน หรือเราจะฝึกสาวใช้พวกหนึ่งออกมา เพื่อเรื่องนี้โดยเฉพาะดี?”
“นั่นแล้วจะเป็นอย่างไรเล่า? รับสาวใช้ที่มีอายุเหมาะสมจากนอกจวนมาสักห้าสิบคน ให้จื่ออวิ๋นค่อยๆ ฝึกสอน อีกอย่าง ยังมีเวลาอีกตั้งเดือนกว่า แม้ว่าจะไม่ได้ทักษะที่สูงขั้นถึงขนาดนั้น แต่เพื่อดูแลหน้างานก็นับว่าเพียงพอแล้ว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะลำบากแต่อย่างใด ก็แค่เสียแรงกายแรงใจไปสักหน่อยเท่านั้นเอง
“ข้ากังวลว่าไม่มีจื่ออวิ๋นคอยรับใช้ มี่เอ๋อร์จะไม่คุ้นชิน” ซั่งกวนเจวี๋ยดึงมือเยี่ยนมี่เอ๋ออร์ขึ้นไปชั้นสอง ชั้นนี้มีเพียงสองสามีภรรยาเท่านั้น เขาไม่สนว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะผลักออกอย่างเขินอาย ก็โอบนางเข้ามาในอ้อมกอด จูบลงบนเส้นผมที่พลิ้วไหวอย่างเย็นสบาย กล่าวอย่างเอื่อยเฉื่อย
“ไม่มีอะไรที่ไม่คุ้นชินเสียหน่อย” หลังจากเยี่ยนมี่เอ๋อร์มั่นใจว่าพวกคนข้างล่างคงไม่อาจขึ้นมารบกวนอย่างไม่เหมาะสม ก็ปล่อยตัวตามไปกับซั่งกวนเจวี๋ย อิงแอบในอ้อมอกเขาอย่างอ่อนโยน “ไม่มีจื่ออวิ๋นก็ยังมีจื่อหลัว อีกอย่าง หากจำเป็นจริงๆ ข้าเองก็ชงชาดื่มเองได้”
“เช่นนั้นรินสุราล่ะ?” ซั่งกวนเจวี๋ยถามเล่นไปทั้งอย่างนั้น
เยี่ยนมี่เอ๋อร์คลี่ยิ้มบาง ย้อนถาม “ดูจากความสามารถในการดื่มสุราของสามีจะต้องหาสุราอีกอย่างนั้นหรือ?”
ถูกเล่นเข้าเสียแล้ว! ซั่งกวนเจวี๋ยเพิ่มแรง รัดเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไว้ในอ้อมกอดเขาแน่นขึ้นไปอีก ฉวยโอกาสขบไปที่ใบหน้าของนางแผ่วเบา ทำให้คิ้วที่ขมวดแน่นนั้นของนางคลายออก กล่าวอย่างไม่พอใจ “มี่เอ๋อร์รู้ได้อย่างไรว่าข้าคออ่อน ย่อมไม่หาสุราดื่ม?”
“สามีอย่าลืมสิว่า ข้างกายของข้ายังมีม่านเหอที่คอยรับใช้สามีมาหลายปี” ส่งสายตามาให้เขาอย่างฉอเลาะ ก่อนจะเผยยิ้ม “ถึงแม้ว่าจะไม่มีม่านเหอ ท่านแม่ก็ชอบมาพูดคุยเรื่องสามีกับข้าอยู่แล้ว กระทั่งเรื่องน่าอายในวัยเด็กของสามีก็ไม่ตกหล่นแม้แต่เรื่องเดียว สามีอยากจะทดสอบว่าข้าความจำดีหรือไม่เล่า?”
ยัยตัวแสบ! ซั่งกวนเจวี๋ยชอบที่จะเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์น่ารักเจ้าเล่ห์เช่นนี้ จุมพิตบนใบหน้าของนางอย่างแผ่วเบา “เช่นนั้นก็ช่างมันเถิด เรื่องเหล่านั้นล้วนถูกท่านแม่ขุดออกมาหมดแล้ว ข้าไม่มีใจจะฟังเจ้าพูดเรื่องน่าอายของข้าอีกแล้ว เพียงแต่ข้ายังอยากจะฟังเรื่องน่าสนใจในวัยเด็กของมี่เอ๋อร์เองมากกว่า”
“วัยเด็กของข้าอย่างนั้นหรือ…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผินหน้า กลับนึกไม่ออกว่าตัวเองในวัยเด็กมีเรื่องอะไรที่น่าสนใจบ้าง ในยามที่มีท่านแม่อยู่ข้างกายก็เอาแต่ร่ำเรียนไม่หยุดหย่อน ในยามที่ท่านป้าอยู่ข้างกายก็ยังร่ำเรียนอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเช่นกัน คล้ายกับว่าไม่มีเวลาเป็นของตัวเองเลย
“เป็นอะไรหรือเปล่า?” ซั่งกวนเจวี๋ยรอจนครึ่งค่อนวันก็ไม่เห็นนางปริปากพูด รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก กลับพบว่าในแววตาของนางขมุกขมัวอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ไม่คุ้นเคยเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกปวดใจ
“ไม่มีอะไร เพียงแค่จำไม่ได้ว่าตอนเด็กมีเรื่องอะไรที่น่าสนุกบ้างก็เท่านั้น” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่ายศีรษะเบาๆ “คล้ายกับว่าตั้งแต่ที่ข้าจำความได้ก็เอาแต่ร่ำเรียนไม่หยุดหย่อน ไม่มีความทรงจำที่สนุกสนาน ข้าคิดมาตลอดว่าตัวเองได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ ยามนี้ท่านถามขึ้นมา จึงค่อยได้พบว่าไม่มีเรื่องอะไรที่ฝังลึกในความทรงจำของข้าเลย”
ถึงแม้ว่าจะมี นั่นก็คือความทรงจำที่แบ่งปันกับเขา จู่ๆ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็เข้าใจว่าเพราะเหตุใดตัวเองถึงได้ชอบซั่งกวนเจวี๋ยเข้า ที่แท้ก็เพราะว่าเขาเป็นคนแรกที่เติมสีสันให้กับชีวิตของนาง
“ไม่มีจึงจะดีกว่า” จู่ๆ ซั่งกวนก็นึกไปถึงคำพูดพวกนั้นที่เขาเคยได้แอบฟังมา ตั้งแต่เด็กนางก็พยายามเพื่อที่จะเป็นภรรยาที่เหมาะสมที่สุดกับซั่งกวนเจวี๋ย สิ่งที่นางถนัดล้วนเป็นสิ่งที่เขาชอบและเป็นสิ่งที่ตระกูลซั่งกวนต้องการ แต่กลับไม่ใช่ความชอบหรือความต้องการของนางเลย นางที่เป็นเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกละอายใจและเจ็บปวด ดังนั้นเขาจึงกอดทั้งกล่าวกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ “หลังจากนี้ความยินดีและความสุขของเจ้า ข้าจะคอยแบ่งปันมันด้วย ข้าย่อมจะเติมเต็มความสุข ความรื่นเริงในชีวิตของเจ้า”
“ข้าเชื่อท่าน!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผงกศีรษะ หากไม่ใช่เพราะว่าจิตใต้สำนึกได้ยืนยันแล้วว่าเขาเป็นคนที่สามารถมอบความสุขให้แก่นางได้ นางก็คงไม่อาจชอบเขาได้หรอก ยิ่งไม่อาจเต็มใจที่จะรั้งอยู่ในตระกูลซั่งกวน บางทีสำหรับคนอื่น ตระกูลซั่งกวนอาจจะมีความเป็นอยู่ที่สบายอย่างครบครัน บ่าวและสาวใช้ก็มากมายดุจมวลเมฆ ย่อมใช้ชีวิตเสวยสุขดั่งเป็นเทพเซียนได้ แต่สำหรับนางแล้วก็เพราะเรื่องแค่นี้เท่านั้น
ซั่งกวนเจวี๋ยโอบกอดมี่เอ๋อร์อย่างอ่อนโยน ทั้งสองคนจมเงียบดื่มด่ำกับความรู้สึกที่นานทีจะได้สัมผัส…
“สามี นี่ก็คือเกาะเล็กๆ ทั้งสองแห่งนั้นอย่างนั้นหรือ?” เรือสำราญค่อยๆ ล่องเข้าไปใกล้กับเกาะเล็กๆ รูปร่างโค้งมน เยี่ยนมี่เอ๋อร์ประเมินดูคร่าวๆ มีพื้นที่ครอบคลุมประมาณสิบกว่าไร่ ภายใต้ต้นไม้สีเขียวที่ซ้อนกันอย่างหนาทึบปรากฏห้องพักมากมาย คงจะเป็นที่พักที่สร้างขึ้นของตระกูลซั่งกวน
“นั่นคือเกาะน้ำแร่เย็น หลายปีมานี้ก็ต้อนรับแขกผู้ชายมาโดยตลอด ที่ไกลออกไปอีกคือเกาะสะท้อนเงาจันทร์ ใช้ต้อนรับแขกผู้หญิง พวกเราไปเกาะน้ำแร่เย็นก่อนเถิด!” ซั่งกวนเจวี๋ยผงกศีรษะ “เกาะทั้งสองแห่งมีรูปร่างคล้ายคลึงกันมาก เพียงแต่เกาะน้ำแร่เย็นจะมีบ่อน้ำพุอยู่แห่งหนึ่ง บ่อน้ำพุนั้นมีชื่อเสียงก็เพราะน้ำแร่ที่หอมหวาน ส่วนเกาะสะท้อนเงาจันทร์ก็มีบ่อน้ำแห่งหนึ่ง ชื่อว่าบ่อสะท้อนเงาจันทร์ นานมาแล้ว ในยามที่ผู้อาวุโสท่านหนึ่งของตระกูลซั่งกวนได้มาพำนักที่เกาะก็ได้ขุดสร้างมันขึ้นมา”
“บ่อน้ำนั้นเป็นอย่างไร?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หัวแล่นวาบ ในใจมีความคิดอะไรบางอย่าง
“บ่อน้ำมีรสชาติหวานละมุนเป็นอย่างมาก ใช้ชงชารสชาติจะด้อยกว่าเล็กน้อย แต่หากใช้ผสมกับสุรานับว่ายอดเยี่ยม” ซั่งกวนเจวี๋ยกล่าวแนะนำ “ตระกูลซั่งกวนก็มีสุราบ่มชั้นดีที่เป็นของตัวเองเช่นกัน มีชื่อว่า ‘เหลิ่งกาน’ แม้ชื่อจะโบราณไปบ้าง แต่ล้วนเป็นสุราดีที่รู้ทั่วกันในลูกหลานของตระกูล!”
เหลิ่งกาน? เป็นชื่อที่แปลกจริงเชียว! เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกเปรี้ยวปากอยากสุราขึ้นมาเล็กน้อย ‘จุ้ยเสวี่ย’ ของตระกูลมู่หรง นางเคยลิ้มรสมาก่อน นับว่ารสชาติไม่เลวเลยทีเดียว แต่ที่ชอบที่สุดก็ยังคงเป็นสุราที่ไม่รู้จักชื่อของตระกูลหวงฝู่ แล้วรสชาติของ ‘เหลิ่งกาน’ จะเป็นอย่างไรนะ?
“สามี ทั้งสองเกาะแบ่งแยกต้อนรับหญิงชายเพราะมีกฎธรรมเนียมอะไรอย่างนั้นหรือ?” กดความกระหายสุราที่พรั่งพรูออกมากลับไป เยี่ยนมี่เอ๋อร์ค่อยกล่าวถามอย่างราบเรียบ
“ไม่มีหรอก เพียงแค่คุ้นชินไปแล้วเท่านั้น” ซั่งกวนเจวี๋ยส่ายศีรษะ
“เช่นนั้นธรรมเนียมนี้สามารถปรับเปลี่ยนได้หรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เลิกคิ้ว คิดชั่งน้ำหนักในใจต่างออกไป
“ปรับเปลี่ยนอย่างไร?” ซั่งกวนเจวี๋ยรู้ว่านางได้อ่านข้อมูลของงานชมดอกบัวที่ผ่านมาหลายสิบปีนี้อย่างคร่าวๆ แล้ว ฟังจากม่านเหอบอกว่า งานชมดอกบัวไม่ได้น่าสนใจอะไรสำหรับนาง รู้สึกว่าไม่ค่อยมีอะไรแปลกใหม่ น่าเบื่อหน่ายอยู่บ้าง
“เปลี่ยนเกาะน้ำแร่เย็นให้ต้อนรับแขกผู้หญิง แล้วเพิ่มการ ‘ประลองชา’ ส่วนเกาะสะท้อนเงาจันทร์ก็ให้ต้อนรับแขกผู้ชาย เพิ่มการ ‘ประลองสุรา’ ลงไป” ไม่ว่าจะเป็นชาหรือสุรา ก็ล้วนเป็นความชอบของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ทั้งนั้น แทบไม่ต้องคิดก็ผุดความคิดที่แตกต่างออกมาทันที
“จะประลองกันอย่างไร?” ซั่งกวนเจวี๋ยรู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก งานชมดอกบัวไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงมานับสิบปี หากสามารถเพิ่มกิจกรรมที่แปลกใหม่ได้เล็กน้อย ก็จะทำให้คนได้เปิดหูเปิดตากับสิ่งใหม่ๆ นั่นจะดียิ่งขึ้นไปอีก
“ในเกาะน้ำแร่เย็นเตรียมศาลาสำหรับประลองชาไว้แห่งหนึ่ง ให้สาวใช้ที่มีฝีมือในเรื่องชาชงชาอยู่หลังม่าน หลังจากผู้ที่ดื่มชาลิ้มรสเข้าไปก็ต้องพูดชื่อชา ต้นกำเนิด ความเป็นมา หรือเก็บในฤดูกาลใด ถ้าหากมีความสามารถ ก็แต่งกลอนเกี่ยวกับชาขึ้นมาบทหนึ่ง ผู้แพ้ตกรอบ ผู้ชนะได้รางวัลเป็นชาหอมดอกบัวหนึ่งกล่อง ส่วนเกาะสะท้อนจันทร์ก็จัดการละเล่นไหลสุรา ใช้กาสุราที่เหมือนกันใส่สุราที่แตกต่างกันไป สุราไหลไปหยุดอยู่ตรงหน้าใคร คนผู้นั้นต้องพูดประเภทของสุรา ชื่อ ความเป็นมาและแต่งกลอนเกี่ยวกับสุราหนึ่งบท ผู้แพ้ตกรอบ ผู้ชนะได้รางวัลเป็น ‘เหลิ่งกาน’ หนึ่งกา” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กระตุกยิ้มขึ้น “สามีคิดว่าเป็นอย่างไร?”
“เป็นความคิดที่ดี!” ซั่งกวนเจวี๋ยผงกศีรษะ ไม่ว่าจะเป็นงานชมบุปผาใดก็ล้วนไม่มีกิจกรรมเช่นนี้ ไม่เลวเลยจริงๆ
“หากตนเองไม่อาจตอบได้จริงๆ ก็สามารถใช้ชาหรือสุราเทลงไปในถ้วยสูงหรือขวดเล็กๆ ที่มีฝาปิด ใส่ในกล่องไม้ ไปขอความช่วยเหลือจากฝั่งตรงข้าม หากตอบถูก ก็ให้ผู้ที่ขอความช่วยเหลือมอบของรางวัลให้กับผู้ที่ตอบถูกด้วยตัวเอง เป็นเช่นนี้จะได้ทำให้ทุกคนมีส่วนร่วมด้วยกัน” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เสนอความคิดออกมามากขึ้นไปอีก
“ดี ว่ากันตามนี้ก่อนเถิด!” ซั่งกวนเจวี๋ยพยักหน้า แต่ว่า…จู่ๆ เขาก็ถามขึ้น “อะไรคือชาหอมดอกบัว เหตุใดข้าจึงไม่เคยได้ยินมาก่อน?”
“ใช้ชาเขียวชั้นดีมาผสมเข้าด้วยกันกับดอกบัว โดยใช้ดอกบัวที่ส่งกลิ่นหอม และใบชาที่มีกลิ่นโดดเด่นจำเพาะ หลัง จากผ่านไปหลายวัน ใบชาย่อมแฝงกลิ่นหอมของดอกบัวอย่างแผ่วบาง นั่นก็คือชาหอมดอกบัว! งานชมดอกบัวมีชาหอมดอกบัวจึงจะเสริมกันให้เด่นชัดขึ้นมิใช่หรอกหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์แย้มยิ้ม ใบหน้าเต็มไปด้วยความเบิกบาน
———————————–
[1] หกสิบจั้ง ประมาณหนึ่งร้อยเมตร
[2] สี่สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือ ได้แก่ กระดาษ หมึก พู่กัน และที่ฝนหมึก