เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 139 เรื่องบัดสีริมทะเลสาบ
ชิงหวั่นออกจากเรือนเล็กอย่างแผ่วเบา คำพูดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์วกไปเวียนมาอยู่ในใจนางตลอดเวลา นางสัมผัสได้ถึงความมีน้ำใจของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ แต่นางไม่อยากเชื่อจริงๆ เลยว่าคนของตระกูลมู่หรงจะเปลี่ยนไปโดยปล่อยให้นางเผชิญชะตากรรมราวกับเล่นหมากรุกเพื่อความสุขของนางเอง…ความรักในครอบครัวมาก่อนผลประโยชน์มหาศาล แล้วความรักผูกพันในครอบครัวคืออะไรกันเล่า?
ตามเส้นทางแคบๆ ที่ดูไม่ค่อยชัดเจน นางจำได้ว่าข้างหน้าก็คือทะเลสาบเล็กๆ ของตระกูลซั่งกวน นางเคยชอบเล่นพิณริมทะเลสาบยามที่พระจันทร์อยู่บนท้องนภาสุกสกาว ฉากอันงดงามเช่นนั้นทำให้นางรู้สึกพลิ้วลอยประหนึ่งนางฟ้านางสวรรค์ แต่นางในตอนนี้ สิ่งที่เกลียดที่สุดกลับกลายเป็นจุดสนใจของทุกคน นางไม่ใช่ความภาคภูมิใจของท้องนภาอีกต่อไป ถูกจมปลักอยู่ในกองผงธุลีแล้ว ไม่สามารถคิดถึงภาพอันรุ่งโรจน์ก่อนหน้านี้ได้อีกต่อไป
ด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น นึกถึงความประหลาดใจและการดูแคลนที่ไม่ปกปิดในดวงตาของทั่วป๋าฉินซินที่มองเห็นตนซึ่งไม่ได้เจอกันมานานโข ทั้งยังมีคำพูดระคายหูที่ทำให้อึดอัดใจมากขึ้น นางเสียใจจริงๆ …ไม่ใช่เสียใจเรื่องในอดีตที่น่าอายจนสุดจะหวนระลึกถึงได้พวกนั้น แต่เสียใจที่ไม่ควรกลับออกมาอีก บางทีอาจเป็นทางเลือกที่ดีหากจะถูกขังอยู่ในวัดประจำตระกูลไปชั่วชีวิตและไม่มีวันออกมาอีกเลย
นางอาศัยแสงดาวเท่าที่จำได้ในอดีตว่าเคยมาที่ริมทะเลสาบแห่งนี้ของตระกูลซั่งกวน จึงเดินเลียบไปตามทางริมทะเลสาบ แหงนดูท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาราที่ตกลงมาในทะเลสาบ เสียงร้องเหง่งหง่างของแมลงเหมือนเสียงระฆังดังแว่วออกมาจากพุ่มไม้เป็นพักๆ ดูเหมือนเงียบสงัดขึ้นเรื่อยๆ ปัญหาในใจของนางคล้ายจะอันตรธานหายไปเป็นปลิดทิ้งในขณะนี้
พยายามละทิ้งปัญหาที่กลัดกลุ้มใจไว้ก่อนชั่วคราว เพราะเป็นโอกาสหายากที่นางจะได้มาเดินทอดน่องอย่างช้าๆ และเงียบสงบเช่นนี้…
เมื่อมาถึงศาลากลางน้ำอย่างเชื่องช้า จู่ๆ ก็พบว่ามีคนอยู่ที่นั่นก่อนแล้ว ชิงหวั่นจึงส่ายศีรษะเล็กน้อย หันหลังกลับมาอย่างระมัดระวัง…ในเวลานี้ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่ยืนอยู่ตรงนั้นราวกับรูปปั้นแกะสลัก แสดงว่าไม่ต้องการให้ใครมารบกวนแน่นอน
“ใคร?” เสียงที่เยือกเย็นเข้ามาในหูในขณะที่นางหันหลังกลับ ชิงหวั่นอดสั่นสะท้านไม่ได้ ไม่มีความอบอุ่นในน้ำเสียงนั้นเลยแม้แต่น้อย นี่เป็นใครกัน? นางครุ่นคิดอย่างสุดชีวิตอยู่ในใจ แต่กลับเจือความเย็นชาบนใบหน้า นางจึงหมุนตัวกลับไป เพื่อให้คนผู้นั้นได้เห็นนางอย่างชัดเจน
เป็นเขา? ชิงหวั่นตกใจเล็กน้อย เจ้าของน้ำเสียงที่เย็นเยียบนั้นแท้จริงแล้วคือลูกนอกสมรสของตระกูลซั่งกวนผู้นั้นนี่เอง ซั่งกวนอวี่ฮ่าวที่แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยปริปากและระบายอารมณ์ผู้นั้นหรือ? ครั้นได้ยินเสียงเย็นยะเยือกแบบนั้น นางยังนึกว่าเป็นคนแก่เสียด้วยซ้ำ
“ที่แท้เป็นคุณหนูชิงหวั่น” อวี่ฮ่าวไม่คาดคิดว่าจะได้พบกับชิงหวั่นในเวลานี้และในสถานที่เช่นนี้ เขาจึงผ่อนคลายร่างกายที่ตึงเครียด น้ำเสียงก็เบาลงมากพลางกล่าวว่า “เมื่อครู่ไม่ทราบว่าเป็นท่าน ทำให้ท่านตกใจแล้ว”
ข้าน่ะหรือจะตกใจ? จู่ๆ ชิงหวั่นไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกโกรธและรู้สึกน้อยใจ นางเห็นใครบางคนอยู่ที่นี่ดูครุ่นคิด จึงไม่ต้องการรบกวนคนอื่น ผลกลับกลายเป็นว่านางรู้สึกเย็นชาด้วยน้ำเสียงแบบนั้นที่ไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย เมื่อคนน่ากลัวผู้นั้นหันหลังกลับมาก็แสดงท่าทีเอาใจใส่ นางข่มความไม่โกรธไว้ไม่ได้ จิตใจที่กระสับกระส่ายมาตลอดทั้งวัน ในที่สุดก็มีเวลาของตัวเองได้ออกมาผ่อนคลายอารมณ์ แล้วถูกเขาขัดจังหวะ นางจึงข่มความไม่น้อยใจไว้ไม่ได้…แน่นอนว่า ถ้าซั่งกวนอวี่ฮ่าวไม่ยอมคลายท่าทีลงอย่างกะทันหัน นางจะไม่มีอารมณ์เช่นนั้น กลับจะขอโทษที่มารบกวนเขาเสียมากกว่า
“ข้าไม่มีเจตนาจริงๆ” อวี่ฮ่าวเอ่ยพร้อมกับมองเห็นความโมโหและความคับข้องใจที่เผยให้เห็นบนใบหน้าของชิงหวั่นท่ามกลางแสงดาวที่ริบหรี่ เขาตื่นตระหนกจึงรีบกล่าวขอโทษ “โปรดยกโทษให้ข้าด้วยคุณหนู”
“ชิงหวั่นมิกล้า” ชิงหวั่นมองอวี่ฮ่าวที่พลันเปลี่ยนท่าทีอย่างเย็นชา พูดจาราวกับมีดเคลือบน้ำแข็ง แต่ละคำเหมือนบาดแก้วหูว่า “นี่คือตระกูลซั่งกวน ท่านเป็นนายน้อยของตระกูลซั่งกวน ข้าเป็นเพียงแขกไร้เกียรติที่ไม่น่าต้อนรับ อีกอย่างท่านมาที่นี่ก่อน เป็นข้าที่มารบกวนความเงียบสงบของนายน้อยต่างหาก ถ้าจะต้องพูดขอโทษควรเป็นข้ามากกว่า”
“ขอโทษด้วย ขอโทษจริงๆ” อวี่ฮ่าวโค้งคำนับไปทางชิงหวั่นอย่างลุกลี้ลุกลนแล้วพูดว่า “ล้วนเป็นความผิดของข้า ดึกดื่นค่อนคืนยังไม่หลับไม่นอน มารบกวนคุณหนูที่นี่ เพราะข้าไม่ดี คุณหนูโปรดคลายโทสะ”
“ข้ามีโทสะหรือ?” ชิงหวั่นไม่รู้ว่าทำไมตัวนางเองถึงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟมาก น้ำเสียงเย็นลง แต่ร่างกายกลับไม่ขยับเขยื้อน ไม่ต้องการจะออกไปแม้สักก้าวเดียว
“ไม่มี ไม่มีแน่นอน” อวี่ฮ่าวเสียอาการตามปกติโดยสิ้นเชิง แล้วโค้งคำนับกล่าวขอโทษปลกๆ อยู่ครู่หนึ่ง ทำให้ชิงหวั่นรู้สึกเสียใจและเศร้าสร้อยมากขึ้น
“แล้วท่านต้องกลัวด้วยหรือ? ถ้าคนที่ไม่รู้จะคิดว่าข้ารังแกท่านเอาได้” ชิงหวั่นมองเห็นท่าทางที่ไร้ศักดิ์ศรีของเขาแบบนี้ แต่ก็ยังมีคำพูดร้ายกาจเหน็บแนมเขาอยู่บ้าง เขาถึงขั้นหวาดกลัวขนาดนี้ จะทำเป็นเหมือนศัตรูกันหรือ? นางจะกินคนได้อย่างนั้นเชียวหรือ?
“ข้า…ข้า…” อวี่ฮ่าวไม่รู้จะพูดอะไร สถานการณ์ในตอนนี้เห็นได้ชัดว่าพล่ามมากก็ผิดมาก จึงพูดตรงๆ เพียงว่า “มิบัง อาจรบกวนความเงียบสงบของคุณหนู ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
เมื่อเห็นคนผู้นั้นหมุนตัวจะวิ่งหนี ชิงหวั่นก็ยิ่งเดือดดาลมากขึ้นแล้วพูดอย่างดุดันว่า “ที่แท้ข้ากินคนได้นี่เอง ควรไปให้เร็วหน่อย หาไม่เช่นนั้นจะถูกข้าจับกิน”
อวี่ฮ่าวยืนนิ่งด้วยรอยยิ้มเหยเก คำพูดนี้พรั่งพรูออกมา ไหนเลยเขาจะกล้าเผ่นวิ่งหนี จึงพยักหน้าไปตามระเบียบ มองปลายเท้าของตัวเขาเอง รอให้ชิงหวั่นพูดโดยไม่เอ่ยอะไรสักคำ
“ข้าบอกให้ท่านรับโทษยืนหรือ?” ไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลใด ชิงหวั่นปะทุเพลิงโทสะในใจอย่างสุดแรงเกิด ไม่ว่าจะมองอย่างไรเขาก็ไม่เข้าหูเข้าตา กระนั้นก็ไม่เต็มใจจะปล่อยเขาไป
อวี่ฮ่าวคร่ำครวญอยู่ในใจ ทำได้เพียงเงยหน้าขึ้น ฉีกยิ้มแฉ่ง มุ่งเปลี่ยนความคิดของชิงหวั่นแล้วพูดว่า “ทัศนียภาพยามค่ำคืนที่ริมทะเลสาบมีเสน่ห์ที่สุด คุณหนูชิงหวั่นมาชมทิวทัศน์กระมัง”
“มีเสน่ห์หรือ? ข้าไม่เห็นอะไรเลย กลับถูกใครบางคนทำให้ตกใจจนสะดุ้งโหยง” คำพูดเหน็บแนมของชิงหวั่นทำให้อวี่ฮ่าวขมขื่นยิ่งนัก เขารู้ว่าคิดผิด เขาไม่ควรมาคิดเรื่องไร้สาระที่นี่ในตอนกลางดึก ไม่สิ การแก้แค้นมาถึงแล้ว
“ข้าอารมณ์ไม่ดี ท่านได้โปรดเดินเล่นเป็นเพื่อนข้าเถิด” ชิงหวั่นมองเขาอย่างประหม่า ทันใดนั้นก็นึกได้ว่าเขาเป็นแค่เด็กหนุ่มอายุสิบหกปี จิตใจจึงอ่อนยวบลง ไม่อยากจงใจก่อกวนคนอย่างไม่มีเหตุผลอีกต่อไป
“เอ่อ…” อวี่ฮ่าวค่อนข้างลังเล ถ้าถูกคนที่ชอบนอนดึกพบเห็นเข้า ไหนเลยจะไม่ทำให้ชิงหวั่นเสื่อมเสียชื่อเสียง
“ช่างมันเถอะ ถ้ามีคนมาเห็น จะทำลายชื่อเสียงของท่าน” ชิงหวั่นเห็นเขากระอักกระอ่วนใจ เจ็บปวดรวดร้าวอยู่ในใจ ใช่แล้ว หากมีคนเห็น ยังไม่รู้จะพูดอะไรด้วยซ้ำ? ตนก็ถือว่าชื่อเสียงเหม็นฉ่าวโฉ่อยู่แล้ว ดังนั้นอย่าทำร้ายผู้อื่นเลย
“ข้าจะเดินเป็นเพื่อนท่านแล้วกัน” อวี่ฮ่าวกระซิบว่า “แสงไฟไม่ค่อยดีนัก ท่านต้องระวังตัวด้วย”
“ท่านไม่กลัวจะถูกคนอื่นเห็นแล้วไปพูดครหาหรือ?” ชิงหวั่นส่ายศีรษะ ยกเลิกความคิดที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันพลางกล่าวว่า “เดิมทีข้าก็ไม่มีชื่อเสียงกระไรให้เอ่ยถึงเลย ไม่สามารถทำร้ายคนอื่นได้ ท่านเป็นเพียงแค่เด็ก อยู่ห่างจากข้าไกลอีกนิดจะดีกว่า” ครั้นพูดจบก็เดินต่อไปตามทางเล็กๆ ริมทะเลสาบ นางเอาแต่ใจตัวเอง หงุดหงิดใส่เด็กที่ก้ำกึ่งผู้ใหญ่โดยไม่คำนึงถึงอารมณ์ ไม่ยอมปล่อยวางจนทำให้เขากลืนไม่เข้าคายไม่ออก จบกันที่คิดจะให้ผู้อื่นมาเดินเล่นเพื่อคลายความกลัดกลุ้มของตัวเอง ตัวเองยังเอาตัวไม่รอด จำสถานะของตนไม่ได้
“ข้ายินดีนะ…” อวี่ฮ่าวพูดด้วยน้ำเสียงที่มีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้ยิน เมื่อเห็นเงาร่างนั้นมีชีวิตล้มลุกคลุกคลานและเปล่าเปลี่ยวจนมิอาจบรรยายได้ เขามีแต่ความสงสารและเสียดายเป็นอย่างยิ่งอยู่ในใจ นางเป็นผู้ที่น่าภาคภูมิใจของสวรรค์ ตั้งแต่เกิดมาก็ควรได้รับการโอบอุ้มจากฝ่ามืออันอบอุ่น โดยธรรมชาติก็ควรได้รับความสนใจจากทุกคน ไม่ใช่มาเศร้าระทมอยู่ตามลำพังในคืนที่สับสนนี้…
แสงไฟระยิบระยับหลายดวงไล่กวดกันบนพื้นหญ้าริมทะเลสาบ มันคือหิ่งห้อย ชิงหวั่นเผยรอยยิ้มอันไร้เดียงสาที่หาได้ยาก จำได้ว่าตนก็เคยสนุกสนานแบบเด็กๆ ที่วิ่งไล่จับหิ่งห้อยใต้แสงจันทร์ ตอนนั้นตนมีความสุขมากจริงๆ ชีวิตในวัยเด็กที่ไม่มีสิทธิ์…หายไปตลอดกาล น้ำตาไหลพรากลงอาบแก้มอย่างปราศจากสุ้มเสียง นางยังมีสิทธิ์จะไล่ตามหาความสุขอีกหรือ?
แล้วใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาที่เล็ดออกมาจากหางตาอย่างเสียกิริยาเล็กน้อย ชิงหวั่นไล่ตามหิ่งห้อย แม้กระทั่งจะเป็นความสุขครั้งสุดท้ายก็เถอะ
จับหลายตัวติดๆ กันไว้ แล้วเก็บพวกมันไว้ในผ้าเช็ดหน้าอย่างระมัดระวัง เมื่อมองไปที่แสงจางๆ ที่ส่องแสงในผ้าเช็ดหน้า ตอนนี้นางก็ราวกับแสงไฟ การดำรงอยู่ของนางเป็นเพียงการขับดุนเสริมให้คนอื่นเท่านั้นเอง ความสนใจมาไวไปเร็ว นางจึงเปิดผ้าเช็ดหน้าออกด้วยความตื่นเต้น ดูหิ่งห้อยวิ่งไปสู่อิสรภาพอย่างอดรนทนไม่ไหว แล้วอิสรภาพของนางอยู่ที่ใดเล่า?
สายลมอ่อนพัดโชยวูบหนึ่งพาความเย็นมาเล็กน้อย ซับน้ำตาบนใบหน้าจนแห้ง ผ้าเช็ดหน้าก็ลอยขึ้น ชิงหวั่นประหลาดใจ เอื้อมมือไปคว้าผ้าเช็ดหน้าที่ต้องการไปสู่อิสรภาพ แต่นางลืมไปว่าวรยุทธ์ของตนเสียหายทั้งหมด คนทั้งร่างทรงตัวไม่อยู่ก็พุ่งลงไปในทะเลสาบ…
“เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือ” โชคดีที่อวี่ฮ่าวแอบตามมาเองตลอดทาง เมื่อเห็นสถานการณ์ไม่ดีก็เหินไปกอดนางไว้ในอ้อมแขน มิฉะนั้นนางจะตกน้ำ ต่อให้จะว่ายน้ำเป็น หากถูกแช่อยู่ในน้ำก็ต้องป่วยหนัก จึงตวาดเสียงค่อยอย่างช่วยไม่ได้ ตกลงนางรู้ตัวหรือไม่ว่าตัวเองอยู่ริมทะเลสาบ? แล้วรู้หรือไม่ว่ามันอันตรายเพียงใด
“ข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่มาตั้งนานแล้ว” ชิงหวั่นตกตะลึงกับเสียงตะโกนของเขา หลังจากรู้สึกตัวก็ตะโกนกลับทันที เขาเป็นคนแบบไหนกัน เป็นเพียงกึ่งเด็กกึ่งผู้ใหญ่ที่ยังไม่มีหนวดเครา ไม่นึกเลยว่าจะกล้าแผดคำรามเช่นนี้ โดยลืมไปเสียสนิทว่าตนเองอยู่ในอ้อมกอดของเด็กชายกึ่งหนุ่มผู้นี้
“ไม่อยากอยู่ก็อย่ามาตายที่นี่” อวี่ฮ่าวมีน้ำโหมากจนไม่ลังเลจะพูดว่า “ที่นี่คือตระกูลซั่งกวน ถ้าเจ้าตายแล้วจะให้ตระกูลซั่งกวนอธิบายกับตระกูลมู่หรงได้อย่างไร? เจ้าไม่มีสมองเอาเสียเลยหรือ?”
ไอ้เด็กรนหาที่ตาย! ชิงหวั่นรู้สึกว่าตนเกรี้ยวกราดจนควันออกหู ตะโกนสบถว่า “ข้าแค่อยากตายที่ตระกูลซั่งกวนของพวกเจ้า แล้วก็คิดจะลากเจ้าไปตายด้วยกันอีกด้วย ไหนๆ ชื่อเสียงของข้าก็ป่นปี้ยี่ยำอยู่แล้ว ดึงเจ้าไปด้วย ตระกูลซั่งกวนจะเหม็นหึ่งมันก็ไม่เลว”
“ไฉนผู้หญิงอย่างเจ้าถึงร้ายกาจขนาดนี้” อวี่ฮ่าวจ้องเขม็งมองนางอย่างดุดัน สติสัมปชัญญะที่ภูมิใจอยู่เรื่อยมาก็ไม่รู้ว่ามลายหายไปอย่างไร้ร่องรอยตั้งแต่เมื่อใด
“ทำไมเจ้าไม่ด่าว่าปากเจ้าเหม็นมากกว่า” ร้ายกาจนักหรือ? ต่อให้จะน่าอับอายที่สุดก็ไม่มีใครกล้าดุว่านางแบบนี้ ชิงหวั่นที่ตอนแรกก็ไม่มีเหตุผลอะไรอยู่แล้วยิ่งทวีความบ้าคลั่งมากขึ้น
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าปากของข้าเหม็นเคยลองจูบแล้วหรือ” อวี่ฮ่าวถลึงตาจ้องนาง นางไม่รู้ว่าเขากังวลแค่ไหนเมื่อเห็นนางจะตกลงไปในน้ำ? นางไม่ได้อ่อนแอวรยุทธ์ แต่ไม่อาจตอบโต้คนผู้นี้ได้ จะว่าไปผู้หญิงนี่ก็งี่เง่า
ไอ้เด็กนี่สมควรตาย! ชิงหวั่นมองไปที่ปากต่อปาก ได้ยินเสียงที่ระคายหูนั้น จึงยื่นมือออกไปดึงใบหน้าที่อ่อนเยาว์ของเขาเข้ามาใกล้ แล้วจดจ้องมองดวงตาที่ค่อนข้างน่าหวาดกลัวของเขาในทันใดนั้นอย่างดุเดือด
“เจ้า…เจ้า…เจ้าจะทำอะไร?” อวี่ฮ่าวพูดตะกุกตะกักด้วยความอกสั่นขวัญผวา ดวงหน้าที่ทำให้เขากล้าจะซ่อนตัวในความมืดแล้วแอบดูอยู่ใกล้แค่เอื้อมเท่านั้น เขาก็ไม่สามารถพูดอะไรได้อีกแล้ว
“เจ้าว่าอะไรนะ?” ทันใดนั้นชิงหวั่นก็รู้สึกว่าความหดหู่สลายหายไปจนหมดสิ้น สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงความลำพองใจ เจ้าเด็กใกล้ตายคนนี้รู้จักกลัวแล้วสินะ
“เจ้า เจ้าอย่าทำอะไรส่งเดช…” คำพูดที่ยังไม่จบของอวี่ฮ่าวเลือนหายไประหว่างริมฝีปากของทั้งคู่ แต่ชิงหวั่นบังคับจูบอย่างดูดดื่มจนเขาไม่มีทางเผยอปากออกได้เลย
นางรุกจูบข้าเอง อวี่ฮ่าวกอดหญิงสาวไว้ในอ้อมแขนแน่นอย่างมึนงง เขาไม่กล้าคิดฝันว่าจะมีความหวังลมๆ แล้งๆ เช่นนี้ เขาหวังแค่ว่านางจะมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มให้เขาก็พอใจแล้ว…แต่ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุหรือไม่ก็ตาม ล้วนไม่มีผลกับเขาที่จะทำให้จูบนี้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น มือข้างหนึ่งประคองอยู่หลังท้ายทอยของชิงหวั่น เพื่อป้องกันไม่ให้นางหนี ส่วนอีกข้างโอบเอวนางไว้ เพื่อไม่ให้นางล้มลงไป…
ชิงหวั่นดิ้นรนอย่างสุดความสามารถ นางไม่เข้าใจว่าทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ เห็นได้ชัดว่านางต้องการแกล้งยั่วล้อเขา แล้วทำไมถึงโดนเขา…
อวี่ฮ่าวจับศีรษะที่เคลื่อนไหวไปมาให้อยู่นิ่งสุดแรงเกิด ตวัดลิ้นอย่างคล่องแคล่วเข้านัวเนียลิ้นหอมกรุ่นที่หลบบ่ายเบี่ยงครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งนางหายใจไม่ออก ดวงหน้าแดงระเรื่อ ถึงค่อยคลายริมฝีปากที่มีกลิ่นหอมของนางออกอย่าง
มิใคร่หายอยาก ระดมหอมติ่งหูของนางไว้ ใช้ฟันบดขยี้อย่างแผ่วเบา จูบซอกซอนสอดลิ้นเล่นอย่างเบาปาก ทำให้ชิงหวั่นที่มิเคยสัมผัสกับการต่อสู้แบบนี้มาก่อนรู้สึกอ่อนระทวยไปทั่วสรรพางค์กาย…
ในที่สุดอวี่ฮ่าวก็ยุติการจุมพิตอันน่าอับอายขายหน้านั้น แล้วนั่งลงกับพื้น กอดชิงหวั่นไว้ในอ้อมอกอย่างแนบแน่น ไม่ปล่อยให้นางจากไป
“ปล่อยข้า!” ชิงหวั่นหน้าแดงฉานด้วยความขุ่นเคือง นางไม่สามารถแยกออกจากพันธนาการของอวี่ฮ่าวได้เลย
“เจ้าเป็นของข้าแล้ว” อวี่ฮ่าวประกาศ อิสตรีผู้นี้ที่เขายกย่องว่าเป็นเทพธิดาตั้งแต่เริ่มจำความได้ก็อยู่ในอ้อมแขนของเขาในท้ายที่สุด นี่คือความเพ้อฝันที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน แต่เขาจะไม่มีวันปล่อยนางไปเด็ดขาด
“ไม่มีทางหรอก” ชิงหวั่นกล่าวอย่างเฉียบขาด ก่อนอื่นไม่ต้องพูดถึงสถานะระหว่างทั้งสอง กระนั้นอายุก็เป็นไปไม่ได้ นางอายุสิบเก้าต้นๆ จะถือว่าเป็นคนวัยยี่สิบปีก็ย่อมได้ ส่วนเขาเพิ่งอายุครบสิบหกเท่านั้นเอง ถ้านางมีข้อพิพาทอะไรกับเขา จะทำให้คนอื่นชี้หน้าด่าสาดเสียเทเสียตายแน่นอน
“ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้” อวี่ฮ่าวไม่เคยโต้เถียงอะไรมาก่อน แต่ครั้งนี้เขาจะไม่ยอมแพ้ ต่อให้จะมอดม้วย ก็จะไม่ยอมละทิ้งหญิงสาวผู้นี้ในอ้อมอกของเขาเป็นแน่
“ข้าไม่ชอบเจ้า” ชิงหวั่นมองใบหน้าที่ยังไม่แตกเนื้อหนุ่มมากนัก หัวใจก็แปลกไปเล็กน้อย นี่คือชายฉกรรจ์ที่แข็งแกร่งมากที่สุดเท่าที่นางเคยเห็นมา แต่ระหว่างพวกเขาไม่มีทางเป็นไปได้
“ข้าชอบเจ้าก็พอแล้ว” อวี่ฮ่าวไม่สนใจ เขาเป็นแค่ดอกหญ้าริมทาง ส่วนนางกลับเป็นศศิธรบนท้องนภากาศอันสุกสกาว ถ้านางบอกว่าชอบ เขาก็ไม่อยากจะเชื่อ แต่เขาจะรักเพียงนางผู้เดียวไปจนตราบชั่วชีวิตเท่านั้น จะให้นางสัมผัสรักแท้ที่ก้นบึ้งของหัวใจไปชั่วกัลปาวสานเช่นกัน
“ข้าแก่กว่าเจ้าสี่ปีเชียวนะ” ชิงหวั่นอยากจะร้องไห้ ตกลงนางบ้าไปแล้วหรือ นึกไม่ถึงเลยว่านางจะเป็นฝ่ายเริ่มจูบเขาก่อน คราวนี้จบกันแล้ว เล่นกับไฟจนทำร้ายตัวเองจนได้
“สามปีกับสองเดือนเท่านั้นเอง” อวี่ฮ่าวรู้ดีถึงความต่างของอายุระหว่างคนทั้งสอง นี่ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรในสายตาของเขา สิ่งเดียวที่วิตกกังวลคือปัญหาสถานะ ก็เพราะรู้ว่าตระกูลมู่หรงมองว่านางเป็นคนสติวิปลาสจนต้องหายตัวไป…หากคนของตระกูลมู่หรงรู้ว่าเขาไม่ติดใจว่านางจะปกติดีหรือไม่ แล้วยินยอมให้แต่งนางเป็นภรรยา เขาก็ยินดีจะแต่งงานกับนางแน่นอน
“ข้าเคยบ้าไปแล้วครั้งหนึ่ง ไม่ง่ายเลยกว่าจะฟื้นฟูกลับมาได้อย่างในตอนนี้” ชิงหวั่นพูดเหวี่ยงเข้าประเด็นหลัก
“ข้ารู้ ข้าจะไม่มีวันปล่อยให้เจ้าน้อยเนื้อต่ำใจใดๆ ในภายภาคหน้าเป็นอันขาด เจ้าจะร่าเริงแจ่มใสตลอดไป จะไม่มีอาการกำเริบอีก” อวี่ฮ่าวให้สัญญา
“ข้าจะไม่มีทางเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าอีกต่อไป” ชิงหวั่นรู้สึกหวาดหวั่นกับการดึงดันของเขา แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกวาบหวามใจจนพรรณนาเป็นคำพูดไม่ถูก ยามนี้นางเชื่อว่ามีหลายคนที่เพิกเฉยต่ออดีตของนางได้ ทว่ากลับไม่มีใครมองข้ามเรื่องที่นางเคยสติฟั่นเฟือนไปได้
“ถ้าเจ้ายืนกรานจะกำจัดข้าล่ะก็ ข้าก็ไม่ถือสาว่าจะร่วมห้องกับเจ้าก่อน” อวี่ฮ่าววางมือของนางบน…แล้วแนบชิดบั้นท้ายของนางให้แนบแน่นขึ้น ชิงหวั่นรีบหดมือด้วยความตกใจ เขาๆ เขาเอาจริง
“ข้าต้องการเวลาขบคิด” ในที่สุดชิงหวั่นก็ถอยออกมาก้าวหนึ่ง สายตาของบุรุษร่างเล็กผู้นี้ทำให้นางเข้าใจว่าถ้านางขัดขืน เขาจะต้องได้ตัวนางก่อนโดยไม่คำนึงถึงอะไรทั้งนั้นจริงๆ
“ข้าจะรอ แต่อย่าให้ข้ารอนานนักล่ะ” อวี่ฮ่าวก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง จูบริมฝีปากขาวซีดของนางแล้วพูดว่า “ข้ารักเจ้ามานมนานแล้ว ถ้าไม่มีรอยจูบนั้น ข้าก็เฝ้ามองเจ้าอยู่ห่างๆ ได้ แต่ตอนนี้ข้าทำไม่ได้แล้ว ดังนั้น ถ้าเจ้าตระบัดสัตย์ ข้าจะมาเอาตัวเจ้าโดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆ แน่”
ชิงหวั่นตกตะลึง นางไม่ได้ยั่วโมโหเขาเลย…
————————