เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 140 เรื่องสนุกบนเรือสำราญ
ในเช้าตรู่ของวันที่สิบสองเดือนหก รถม้ากว่าห้าสิบคันและม้าอาชาไนยฝีเท้าดีสองร้อยกว่าตัวขับออกจากตระกูลซั่งกวน ซึ่งเป็นบรรดาเจ้านายของตระกูลซั่งกวนรวมถึงเหล่าแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงานชมดอกบัวล้วนมุ่งหน้าไปที่ทะเลสาบลี่หู
จำนวนแขกที่มาเยือนยังสร้างความประหลาดใจให้กับตระกูลซั่งกวน…ไม่มากไปกว่าปีก่อนๆ แต่ก็ไม่น้อยไปกว่านี้ ส่งจดหมายเชิญไปทั้งหมดเก้าสิบสองฉบับ แขกที่มามีหนึ่งร้อยยี่สิบกว่าคนพอดี และที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าคือแขกผู้ชายมีมากกว่าแขกผู้หญิง แต่สาเหตุก็คือพวกเขาล้วนต้องการเห็นสะใภ้ใหญ่ของตระกูลซั่งกวนซึ่งได้รับการกล่าวขวัญว่ารูปโฉมสะคราญล้ำ ซั่งกวนเจวี๋ยได้แต่หัวเราะแห้งๆ ระรัวหลังจากรู้เหตุผล ไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น
ก่อนรุ่งสางซั่งกวนจิ่นก็ส่งคนขี่ม้านำทางไปตั้งจุดกรุยทางที่ทางแยกซึ่งตระกูลซั่งกวนจะผ่านไปยังทะเลสาบลี่หูนั้น ปากทางแยกจะถูกสกัดไว้ชั่วคราว เพื่อให้แน่ใจว่าถนนโล่งไม่มีสิ่งกีดขวาง ตระกูลซั่งกวนมีชื่อเสียงและบารมีมากในลี่โจว งานชมดอกบัวเป็นเทศกาลปกติประจำปี เรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี้ย่อมจะดำเนินไปอย่างราบรื่น ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม รถม้าและแขกเหรื่อที่อยู่ในรถม้าทั้งหมดก็มาถึงริมทะเลสาบลี่หูอย่างพร้อมเพรียงกันไม่ตกหล่นไปแม้แต่คนเดียว
“งานชมดอกบัวปีนี้มีการเปลี่ยนแปลงกฎ บรรดาสาวๆ ไปที่เกาะน้ำแร่เย็น พวกหนุ่มๆ ไปที่เกาะสะท้อนเงาจันทร์ ด้านข้างศาลาริมน้ำปรับปรุงใหม่ใช้จัดการละเล่นไหลสุรา น้ำพุเย็นใช้ดวลชา สะท้อนเงาจันทร์ใช้ประลองสุรา ผู้ชนะดวลชาจะได้รางวัลเป็นชาหอมดอกบัวหนึ่งกล่อง ผู้ชนะประลองสุราจะได้สุราเหลิ่งกานไหเล็ก ผู้ที่ไปให้อาศัยอยู่บนเกาะในวันนี้และวันพรุ่งนี้ ผู้บุกรุกโดยไม่ได้รับอนุญาตจะถูกแช่อยู่ในน้ำหนึ่งชั่วยามตามกฎเดิม รายการอื่นๆ ในปีก่อนหน้ายังคงเหมือนเดิม แม่งานของแต่ละเกาะจะแจ้งกฎดวลชาและประลองสุราเอง” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเพียงแค่ชี้แจงสั้นๆ ต่อหน้าทุกคนว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง จากนั้นเหล่าสาวใช้ก็รอเจ้านายของตนเดินทยอยลงเรือสำราญ ส่วนแขกผู้ชายแต่ละคนก็ขึ้นเรือสำราญอีกลำหนึ่งไป บ่าวไพร่ของตระกูลซั่งกวนจอดรถม้าและม้าอาชาไนยไว้ใกล้ๆ อย่างรวดเร็ว และท่าเรือสำราญก็ร้างไปถนัดตาอย่างว่องไว
“โอ้โห ทำไมปีนี้ต้องไปถึงเกาะน้ำแร่เย็นด้วย? สะท้อนเงาจันทร์สวยงาม น้ำแร่เย็นหยาบกระด้าง ตกลงใครเป็นผู้ตัดสินใจกันแน่ ไม่มีความรู้เอาเสียเลย” ทั่วป๋าฉินซินเปรยขึ้นทั้งที่รู้เรื่องนี้มาตั้งนานแล้ว และรู้ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นต้นคิดเรื่องนี้ การพูดเช่นนี้ต่อหน้าแขกผู้หญิงทุกคนในยามนี้เพื่อทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์เสียหน้า
เยี่ยนมี่เอ๋อร์หยัดกายขึ้น มองไปรอบๆ ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “งานชมดอกบัวปีนี้ข้าเป็นแม่งานครั้งแรก หากมีอะไรผิดพลาด คุณหนูทุกท่านโปรดอภัยให้ด้วย เรือสำราญได้เริ่มออกเดินทางแล้ว ชั้นหนึ่งมีเครื่องดนตรีขับกล่อมและสี่สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือ ที่ชั้นสองชมทิวทัศน์ได้ คุณหนูทุกท่านทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตามความสนใจ นอกจากนี้ ยังมีสาวใช้สองคนที่เชี่ยวชาญด้านศิลปะการชงชาซึ่งจัดเตรียมไว้เป็นพิเศษบนเรือสำราญ จะไม่ให้ทุกคนดื่มชาธรรมดา แต่จะให้ทุกท่านได้ลิ้มรสชาอันละเมียดละไมจากฝีมือสาวใช้ที่มากประสบการณ์ ที่เตรียมไว้หลักๆ คือชาอันเลื่องชื่อแปดชนิด หากต้องการเป็นพิเศษ คุณหนูทุกท่านโปรดบอกสาวใช้”
“พี่สะใภ้เจวี๋ย เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามของข้าเลย” ทั่วป๋าฉินซินไม่คาดคิดว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะทำทีเพิกเฉยต่อนาง เอาแต่ก้มหน้าก้มตาพูดคุย หลังจากนางฉายแววอาฆาตแค้นปรากฏขึ้นบนใบหน้าก็พลันเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่มีเสน่ห์และน่ารัก
“น้องฉินซินถามอะไรข้าหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ดูสับสนและกล่าวเชิงขอโทษว่า “ช่วงนี้ข้ายุ่งมาก รู้สึกเวียนหัวนิดหน่อย น้องฉินซินช่วยพูดอีกรอบได้หรือไม่?”
ทั่วป๋าฉินซินหยุดกึก คุณหนูข้างๆ ต่างก็พากันมองมา มีคุณหนูผู้หนึ่งยิ้มกริ่มพูดว่า “นั่นสิ คุณหนูทั่วป๋าถามอะไรกันแน่? เราดูเหมือนจะไม่ได้ยินเหมือนกันเลย”
“ฉีอวี่เจวียน” ทั่วป๋าฉินซินจ้องเขม็งไปที่หญิงสาวที่ติดนิสัยเป็นปรปักษ์กับนางอย่างดุดันแล้วพูดว่า “เจ้าไม่ได้ยินข้าถามว่าใครเป็นคนตัดสินใจจะไปที่เกาะน้ำแร่เย็นหรือ? แค่ไม่เจอกันครึ่งปี ใบหูมีปัญหาแล้วหรือไร”
“เจ้าถามหรือ?” ฉีอวี่เจวียนเสียงดังด้วยความแปลกใจและพูดว่า “เราต่างคิดว่าเจ้าบ่นไปเรื่อยเปื่อย ไม่ได้เรียกให้พี่สะใภ้ตอบก็บ่นงึมงำไปเอง คุณหนูเอ่ยถามเช่นนี้มันเสียมารยาทมากทีเดียว”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” ทั่วป๋าฉินซินอยากจะกรีดร้อง
“เจ้าว่ามาสิ?” ฉีอวี่เจวียนไม่ได้เห็นนางอยู่ในสายตาสักนิดเดียว ไม่ใช่ครั้งหรือสองครั้งที่ทั้งสองคนเผชิญหน้ากันแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน เกือบจะเป็นทุกที่เลยที่ทั้งสองคนทะเลาะกันก็จะเป็นเช่นนี้ ทุกคนที่รู้จักพวกนางจะรู้ดี คนที่ไม่รู้จักก็พอได้ยินเสียงเล่าลือกันมาบ้าง
“นังหญิงหยาบคาย!” ทั่วป๋าฉินซินถลึงตาจ้องฉีอวี่เจวียน แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “เกรงว่าการปรากฏตัวของเจ้าเยี่ยงนี้จะทำให้ผู้คนไม่อยากอาหาร ระวังเถอะจะขายไม่ออกอีกล่ะสิท่า?”
“ปัดโธ่เอ๋ย ข้ากลัวมากเลย” ฉีอวี่เจวียนลูบหน้าอกแล้วต่อปากต่อคำว่า “ถ้าข้าขายไม่ออก แล้วกับคนที่อยู่ตรงหน้าข้าผู้นี้จะทำอย่างไรดีเล่า เกรงว่าโปะเบี้ยให้ด้วยก็ยังไม่มีใครกล้ามาขอ”
“เจ้าบอกว่าข้าโปะเบี้ย” เสียงหัวใจของทั่วป๋าฉินซินเต้นระรัว
“มีคนออกเกลื่อนกลาดอยู่ตรงหน้าข้า เอ่ยถึงเจ้าหรือไร?” ฉีอวี่เจวียนเลิกคิ้วยิ้มเยาะแล้วเหน็บว่า “ไม่ได้พูดแทงใจดำเจ้าหรอกกระมัง?”
“พี่สะใภ้เจวี๋ย เราไปดูทิวทัศน์ที่ชั้นสองกันเถอะ” หวงฝู่อวี๋หลิงมองคนทั้งสองที่ทะเลาะวิวาทกันอย่างเยือกเย็น แล้วดึงเยี่ยนมี่เอ๋อร์ขึ้นไปชั้นบนด้วยความสนิทสนม
“ยังไม่ได้ตอบคำถามของข้าเลยนะ” ทั่วป๋าฉินซินยื่นมือออกไปขวางทางของเยี่ยนมี่เอ๋อร์
“น้องฉินซิน เมื่อต้องการถามคำถาม ท่านโปรดแก้ท่าทีของตัวเจ้าเองก่อน อย่าด่าว่าผู้อื่นเป็นคนรับใช้” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ใบหน้าบึ้งตึง กล่าวอย่างเยียบเย็นว่า “ผู้ที่สามารถมาถึงที่นี่ได้ล้วนเป็นสุภาพสตรีจากตระกูลสูงศักดิ์ เป็นแขกผู้มีเกียรติของตระกูลซั่งกวน หากท่านไม่เคารพผู้อื่น ก็จะไม่มีใครเคารพท่านเช่นกัน”
“พี่สะใภ้เจวี๋ย รบกวนถามเหตุใดปีนี้ให้เราไปที่เกาะน้ำแร่เย็นมีเหตุผลอันใดเป็นพิเศษหรือไม่?” ฉีอวี่เจวียนยิ้มหวาน แล้วถามคำถามของทั่วป๋าฉินซินออกมา แต่ท่าทีแตกต่างจากทั่วป๋าฉินซินมากนัก
“ในปีนี้เพิ่มรายการประลองสุราและดวลชา เกาะน้ำแร่เย็นมีน้ำแร่เย็นไว้ชงชา บนเกาะสะท้อนเงาจันทร์มีบ่อน้ำพุไว้บ่มสุราดี ถึงได้เปลี่ยนแปลงเช่นนี้ หากยังคงปฏิบัติตามปีก่อนๆ ไม่มีแนวคิดใหม่ๆ ก็จะสนุกน้อยลง” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มตอบ ฉีอวี่เจวียนพอใจมากแล้วฉีกยิ้มไปทางทั่วป๋าฉินซิน
“ดวลชาและประลองสุรามีกฎอย่างไรบ้าง?” ดวงตาของฉีอวี่เจวียนสว่างขึ้น จากนั้นก็พูดอย่างเศร้าสร้อยเล็กน้อยว่า “นอกจากชาแดงฉีเหมินแล้ว ข้าจะไม่ดื่มชาอื่นใด แพ้แน่นอน”
“กฎนั้นง่ายมาก” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คลี่ยิ้มแล้วชี้แจ้งกฎอีกครั้ง จะแตกต่างจากที่คิดไว้ในตอนแรก แต่ก็จะใช้การละเล่นไหลสุราขึ้นอยู่กับว่าถึงรอบไหนแล้วเท่านั้นเอง
“ถ้าขอความช่วยเหลือได้ก็แจ๋วเลย” ฉีอวี่เจวียนพูดอย่างยิ้มแย้มว่า “พี่สะใภ้เจวี๋ยคิดวิธีนี้หรือ ยอดเยี่ยมจริงๆ เลย ในปีก่อนๆ มักจะเป็นพวกบทกวีเพลงกลอนและปริศนาโคมไฟ ไม่สนุกอะไรแล้ว พี่ใหญ่บอกว่าพี่เจวี๋ยแต่งงานกับพี่สะใภ้ที่เป็นหญิงงามยอดพธูและเฉลียวฉลาด ไม่ได้โกหกข้าจริงด้วย”
“เอาล่ะ เราจะไปชมทัศนียภาพ เจ้าอยากไปด้วยกันหรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เพิกเฉยต่อความคิดที่น่ารำคาญของทั่วป๋าฉินซินซึ่งอยู่ข้างๆ ถ้านางยั่วยุซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ไม่จำเป็นต้องไว้หน้านาง เพราะมี่เอ๋อร์ก็สุดจะทนแล้วเช่นกัน
“ดีเลย” ฉีอวี่เจวียนร้องอย่างมีความสุข จับมืออีกข้างหนึ่งของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไว้ แล้วทั้งสามคนก็ค่อยๆ เดินขึ้นไปที่ชั้นสอง
“พี่สะใภ้เจวี๋ย ท่านดูสิ นั่นเป็นเรือสำราญที่พวกพี่ใหญ่นั่งไป ไม่รู้ว่าพวกเขาทำอะไรกันอยู่?” ฉีอวี่เจวียนมองเรือสำราญอีกลำที่อยู่ห่างกันเพียงสามถึงห้าเมตรแล้วถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“อยากรู้อย่างนั้นหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ระบายยิ้ม เมื่อเห็นหวงฝู่อวี๋หลิงและฉีอวี่เจวียนต่างพยักหน้า จึงพูดสองสามคำกับม่านเหอ นางยิ้มแล้วออกไปทันที หลังจากนั้นไม่นานก็หยิบคันธนูและลูกศรเข้ามา ลูกศรใส่อยู่ในกระบอกไม้ไผ่ขนาดเล็กที่ผูกติดกับจุกไม้โอ๊ก ทั้งยังมีสาวใช้คนหนึ่งอยู่ข้างกายนาง ถือสี่สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือมาด้วย
“นี่มันอะไรกัน?” ฉีอวี่เจวียนสงสัย
“เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าพี่ชายใหญ่ของเจ้าทำอะไรอยู่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มแล้วพูดต่อ “เจ้าเขียนคำถามลงบนกระดาษให้ชัดเจน ยัดลงในกระบอกไม้ไผ่ จากนั้นหนีบแล้วยิงส่งไป พวกเขาตอบเสร็จก็ค่อยยิงกลับมา เจ้าไม่รู้จักหรือ?”
“ดูท่าน่าสนุก” ฉีอวี่เจวียนยิ้มแป้นแล้วคว้าพู่กันเขียนว่า ‘ฉีอวี่ฮ่าวทำอะไรอยู่?’ แล้วก็เป่าหมึกให้แห้ง ยัดลงในกระบอกไม้ไผ่ ง้างคันธนูยิงลูกศรอย่างกระตือรือร้น เคลื่อนผ่านตัวไปด้วยเสียงดัง ‘ฉิว’ ลูกศรก็บินข้ามไปตกลงบนเรือสำราญฝั่งตรงข้าม มีคนหยิบขึ้นมาในไม่ช้า หลังจากอ่านเสร็จก็หัวเราะครื้นเครงแล้วเขียนตอบ หาธนูแล้วยิงลูกศรกลับมา ร่อนลงบนพื้นเรือ
ทันใดนั้นก็มีคนเก็บขึ้นมาส่งให้ฉีอวี่เจวียน นางหยิบกระดาษออกมาอ่าน แล้วหัวเราะเฮฮา ส่งกระดาษผ่านมือไปให้คนอ่านต่อ แล้วหัวเราะท้องคัดท้องแข็งจนต้องเอามือกุมท้อง
ผลคือเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็อดขำกับกระดาษนี้ไม่ได้ จากนั้นก็ส่งกระดาษให้คนอื่นๆ ในไม่ช้าก็หัวเราะร่วนกันทั้งลำเรือสำราญ ที่แท้แล้วเขาเขียนกลับมาว่า ‘เขาหัดเห่าเสียงหมาอยู่ เจ้าอยากฟังหรือไม่?’
“ข้าเอง” หวงฝู่อวี๋หลิงยิ้มพลางรับกระดาษมาแล้วเขียนว่า ‘สุนัขพันธุ์อะไร? ร้องมาให้ฟังหน่อย’ คนที่ยืนดูอยู่ต่างปิดปากไม่อยู่หัวเราะร่วนจนได้ ในที่สุดก็หยุดเสียงหัวเราะ มีแรงร่าเริงขึ้น แล้วยิงกระดาษออกไปอีกครั้ง
มีเสียงหัวเราะคึกคักจากเรือสำราญตรงข้ามพักหนึ่ง ในกลุ่มนั้นมีคนเรียกออกชื่อพันธุ์ฉีอวี่ฮ่าว ถึงขั้นมีคนเลียนเสียงสุนัขเห่าส่งข้ามมา ทำให้สาวๆ หัวเราะคิกคักกันอีกครั้งหนึ่ง
เล่นกันเช่นนี้ข้ามไปข้ามมา ถามคำถามที่แสนจะน่าเบื่อและตลกสุดๆ ก็ได้คำตอบที่ตลกไม่มีอันสิ้นสุด คนดังบางคนก็ถูกสัพยอกด้วย รวมถึงเยี่ยนมี่เอ๋อร์และซั่งกวนเจวี๋ย ทำให้การเดินทางที่เดิมทีค่อนข้างจืดชืดและยากลำบากนั้น มีชีวิตชีวามากขึ้นเป็นพิเศษ ความรื่นเริงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะถามคำถามที่น่าเบื่อเหล่านั้นเสร็จสิ้น เกาะน้ำแร่เย็นก็เห็นอยู่รำไรใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
“คำถามสุดท้าย” ฉีอวี่เจวียนอุทานอย่างตื่นเต้นว่า “คิดถึงอะไรสนุกๆ หน่อย”
“ถามว่าใครจะเป็นคนแรกที่แช่ในทะเลสาบ” มีคนโพล่งตะโกนออกมา ความเป็นกุลสตรีของตระกูลคุณหนูก็อันตรธานหายไปหมดสิ้นในขณะนี้
“ไม่เอา ถามว่าพี่ชายตระกูลอิ๋งชอบอวี๋หลิงตรงไหนดีกว่า” เด็กสาวอีกคนตะโกนบอก
“ถ้าอย่างนั้นถามว่าพี่ชายตระกูลอิ๋งใส่กางเกงตัวในสีอะไรดีกว่าเนอะ” มีใครบางคนโต้กลับอย่างไม่เห็นด้วย
“คำถามนี้ดี” ฉีอวี่เจวียนหัวเราะลั่น ตวัดพู่กันเขียนว่า ‘อิ๋งอี้หังใส่กางเกงตัวในสีอะไร’ หวงฝู่อวี๋หลิงกระวนกระวายใจเข้ามาคว้ากระดาษไป แต่ถูกหญิงสาวสองสามคนที่หัวเราะลั่นขวางทางนางอยู่ แล้วฉีอวี่เจวียนก็รีบยิงลูกศรออกไป
หลังจากความวุ่นวายครู่หนึ่งกระดาษก็ส่งกลับมา มีเพียงสองคำ ‘ไม่ใส่!’
บรรดาหญิงสาวหัวเราะกันจนแทบจะเป็นลม คนหนึ่งต้องช่วยพยุงอีกคนหนึ่งไว้ ทุกคนดูอิดโรย ล้วนไม่รู้ว่าใครตอบคำถามได้ชาญฉลาดเช่นนี้ ส่วนหวงฝู่อวี๋หลิงเองก็หัวเราะจนไปซบเยี่ยนมี่เอ๋อร์เพราะหัวเราะจนปวดท้อง…
ดังนั้น เมื่อเรือสำราญเทียบท่า มีบางอย่างที่ทำให้เหล่าคนรับใช้ของตระกูลซั่งกวนที่มารอต้อนรับแขกผู้มีเกียรติเกิดอาการตกตะลึงพรึงเพริดขึ้น…เพราะสาวๆ บนเกาะน้ำแร่เย็นต่างช่วยกันประคองลงเรือสำราญ แต่ละคนพวงแก้มแดงเป็นลูกตำลึงทั้งสองข้าง หน้าตายิ้มแย้มระรื่น เช่นเดียวกับหนุ่มๆ บนเกาะสะท้อนเงาจันทร์ แต่เสื้อผ้าอาภรณ์ของอิ๋งอี้หังกลับหลุดลุ่ยดูไม่เรียบร้อย…
——————–