เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 144 เตรียมแผนจัดการ
“สะใภ้ใหญ่ นอกจากคุณหนูตระกูลทั่วป๋าทั้งสี่แล้ว พวกคุณหนูทั้งหมดต่างก็เลือกรายการอาหารใหม่ในปีนี้เจ้าค่ะ!” ม่านเหอรวบรวมกระดาษส่งให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ด้วยรอยยิ้ม เยี่ยนมี่เอ๋อร์กระตุกยิ้มขึ้น นี่แสดงให้เห็นว่าความพยายามสองวันก่อนนั้นของตนเองไม่ได้เสียเปล่า เชื่อว่ายังคงมีคุณหนูไม่น้อยที่ยังลังเลใจ แต่ก็เลือกอาหารประเภทที่ทำให้ตัวเองดูดีไว้ก่อน
“ทางด้านครัวนั้นให้เซียงชุ่ยจับตาดูไว้ โดยเฉพาะสอดส่องคนของพ่อบ้านอู๋พวกนั้น ลุงลู่ส่งคนมาหรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ว่ายิ่งถึงเวลานี้ก็ยิ่งต้องระมัดระวังมากขึ้น ใครล้วนไม่กล้ารับประกันว่า จะมีคนบางคนที่วางแผนเพราะเสี่ยงเข้าตาจนเพื่อประโยชน์ที่อยู่ตรงหน้าหรือไม่ โดยเฉพาะคนของพ่อบ้านอู๋ที่ไม่มีหูมีตาพวกนั้น
“ได้ให้คนจำนวนมากจับตามองแล้วเจ้าค่ะ แม้แต่แมลงวันตัวหนึ่งก็ไม่ปล่อยให้ลอดสายตาไปได้แน่นอนเจ้าค่ะ!” ม่านเหอรู้เรื่องเบื้องลึกเบื้องหลังอยู่คร่าวๆ สบายใจจนแทบไม่จำเป็นต้องพูดอะไร ชิงเอ๋อร์ ลูกพี่ลูกน้องของนางถูกอนุภรรยาอู๋ทำลายทั้งชีวิต หากไม่ใช่เพราะอนุภรรยาอู๋ ชิงเอ๋อร์ย่อมได้แต่งงานกับลูกชายน้องสาวภรรยาของลุงลู่ ไม่ใช่ถูกบังคับให้แต่งกับฉางเกิงที่ไม่เป็นโล้เป็นพายและเอาแต่ตีเมียผู้นั้น แม้จะไม่เคยพบนางถูกคนเอาคืนเช่นนี้มาก่อน แต่ครั้งนี้ก็อาจจะได้รับผลกรรมแล้วกระมัง หากไม่ใช่เพราะชิงเอ๋อร์ ลุงลู่ก็คงไม่เสี่ยงอันตรายเปิดเผยเบื้องลึกเบื้องหลังเหล่านั้นหรอก
“อื้ม ดีมาก!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผงกศีรษะ กล่าวอย่างจริงจัง “อย่าปล่อยโอกาสให้พวกเขาได้เล่นลูกไม้อันใด หากส่อพิรุธอันใด ก็จับคนทั้งหมดไว้ให้ข้าก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิด!”
“ได้กำชับพวกเขาแล้วเจ้าค่ะ แต่ว่า สะใภ้ใหญ่ พวกเขาจะใจกล้าถึงขนาดเอาอะไรใส่ไปในอาหารเลยหรือเจ้าคะ?” ม่านเหอคิดว่านั่นไม่น่าจะเป็นไปได้ ต้องรู้ว่าคนที่มาล้วนเป็นลูกคุณหนูคุณชายของตระกูลต่างๆ แม้ว่าลูกภรรยาเอกจะน้อยอยู่บ้าง แต่ก็ล้วนเป็นคนที่มีฐานะไม่ธรรมดา หากได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย ให้พ่อบ้านอู๋ตายสักหมื่นครั้งก็ย่อมชดใช้ความแค้นไม่หมด
“จะมีอันใดไม่กล้า!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างเย็นเยียบ “ปีนี้เป็นครั้งแรกที่ข้ารับผิดชอบงานชมดอกบัวก็มีเรื่องเปลี่ยนแปลงมากมาย ตัดทางที่อาจทำมาหาเงินได้ของพวกเขาไปบ้าง หากไม่ฉวยโอกาสยามที่ข้าอ่อนประสบการณ์ ไม่มั่นคงเช่นนี้ดำเนินการแล้วจะรอถึงยามใดอีกเล่า? อีกอย่างหากงานชมดอกบัวปีนี้เกิดปัญหา ปีหน้าก็ย่อมไม่ต้องเปลี่ยนแปลง ยึดตามแบบเดิม จุดประสงค์ของพวกเขาก็ย่อมบรรลุเป้าหมายเช่นกัน”
ม่านเหอพยักหน้า ไม่ถามอะไรให้มากความอีก
“ยังมีทางคลังสินค้า ให้พวกเขาจับตาดูให้ดีเช่นกัน ข้าต้องการรู้ว่าส่วนประกอบอาหารของทุกอย่างไปอยู่ที่ใดบ้าง โดยเฉพาะรังนก หอยเป๋าฮื้อและพวกหยูกยาสมุนไพร ทุกปีล้วนมียาบำรุงที่ดีอยู่บ้าง ของพวกนั้นเอาไปเมื่อไร ใช้เมื่อไร และใช้เท่าใด เหลือหรือไม่ อีกอย่างหากเหลือก็เก็บคืนคลังสินค้าหรือไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องให้ข้าตรวจดูชัดเจนเสียก่อน เพียงแต่จำให้ดีว่า อย่าให้พวกเขาแหวกหญ้าให้งูตื่น แม้ว่าจะพบอะไร ก็อย่าได้เคลื่อนไหวอันใด”
“เจ้าค่ะ สะใภ้ใหญ่!” ม่านเหอยิ้มทั้งพยักหน้า ไปรายงานเรื่องนี้ทันที
“มี่เอ๋อร์ กำลังคุยอะไรอยู่? จริงจังขนาดนั้นเชียว?” ซั่งกวนเจวี๋ยอมยิ้มเดินเข้ามาในห้องของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ เรือนโม่โฉวได้จัดเตรียมเรือนแยกให้นางอยู่ลำพังโดยเฉพาะ ไม่ต้องให้พวกคุณหนูมาเบียดเสียดด้วย ซั่งกวนเจวี๋ยจะเข้ามาหานางก็สะดวกเช่นกัน
“จะอะไรได้อีก ถ้าไม่ใช่เรื่องทางครัวที่ยุ่งวุ่นวายพวกนั้น” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้หยัดกายขึ้นไปต้อนรับ แต่หันข้างมองดูเขา ในมือของเขามีกระดาษปึกหนึ่งอยู่ ดูเหมือนว่าจะเป็นรายการอาหาร นางก็กล่าวแย้มยิ้ม “พวกแขกผู้ชายที่อยากจะลิ้มลองรายการอาหารใหม่ในปีนี้มีเท่าใดกัน?”
“ทั้งหมด” ซั่งกวนเจวี๋ยคลี่ยิ้ม “แม้กระทั่งลูกอนุภรรยาของตระกูลทั่วป๋าเหล่านั้นยังคิดหน้าคิดหลังตัดสินใจละทิ้งคำสั่งของฉินซิน ทุกคนล้วนคาดหวังกับอาหารหายากในวันพรุ่งนี้เป็นอย่างมาก อย่าได้ผิดพลาดอะไรเชียวล่ะ!”
“เรื่องนี้ข้ารู้ดี ทางครัวนั้นอาหารทุกอย่างทุกขั้นตอนล้วนมีคนจับตาดูอย่างเข้มงวด หากเกิดความผิดพลาดอันใดข้าไม่ปล่อยพวกเขาไปง่ายๆ แน่” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้ม ยกปึกกระดาษในมือ “ข้าให้พวกเขาเขียนสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร ประทับรอยนิ้วมือ หากปล่อยให้มีเรื่องผิดพลาด ไม่เพียงแต่ตัวพวกเขาเองต้องถูกตีตาย แต่ทั้งครอบครัวจะถูกขาย พ่อค้านายหน้าล้วนแต่มายืนรอด้านนอกเรือนแล้ว ทางที่ดีที่สุดพวกเขาอย่าได้ตั้งเป็นฝ่ายปฏิปักษ์กับข้าจะดีกว่า”
ซั่งกวนเจวี๋ยส่ายศีรษะทั้งยิ้มขมขื่น นึกถึงคำกล่าวนั้นของซั่งกวนจิ่น ‘มองภาพรวมคิดถึงส่วนใหญ่ ในยามที่ต้องโหดเหี้ยมก็ไม่ยอมออมมือแม้แต่น้อย เป็นคนที่ควบคุมเรื่องภายในให้สงบราบเรียบได้ แข็งแกร่งกว่าฮูหยินเป็นอย่างมาก’
“สามีไม่เห็นด้วยกับวิธีของข้าหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เห็นเขาสั่นศีรษะ ก็เลิกคิ้วถาม เรื่องนี้นางได้ปรึกษากับซั่งกวนจิ่นสองคนก่อนตัดสินใจแล้ว หากกล่าวว่าซั่งกวนเจวี๋ยไม่รู้นางย่อมไม่เชื่อ
“เปล่า ข้าสนับสนุนความคิดของเจ้า เพียงแต่เรื่องนี้เจ้าไม่ควรออกหน้าด้วยตนเอง ให้ข้าหรือลุงจิ่นจัดการจะดีกว่า ข้าไม่อยากให้เจ้าแบกรับชื่อเสียงที่ใจจืดใจดำ เห็นชีวิตคนเป็นผักปลาและมีจิตใจโหดเหี้ยม” ซั่งกวนเจวี๋ยแค่เพียงสงสาร
“นิสัยของท่านและลุงจิ่น เกรงว่าจะถูกพวกคนใช้มองจนทะลุปรุโปร่งแล้ว อย่างไรก็ให้ข้าออกหน้าจะดีกว่า” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่ายหน้าเบาๆ “ส่วนเรื่องชื่อเสียงพวกนั้น ทำดีย่อมมีรางวัล ทำผิดย่อมต้องถูกลงโทษ เรื่องนี้มีทั้งการลงโทษและรางวัลเช่นกัน เพียงแต่ต้องดูทางเลือกของพวกเขาเท่านั้น หากเกิดปัญหาก็ต้องเชือดไก่ให้ลิงดู การลงโทษเพื่อเป็นเยี่ยงอย่างไม่ให้ทำอีกก็เป็นวิธีหนึ่ง เมื่อทำดี ก็ใช้วิธีชื่นชมยกให้เป็นตัวอย่าง ข้าย่อมทำให้พวกเขาจดจำฝังใจ”
“เจ้านี่นะ…” ซั่งกวนเจวี๋ยเดินมาข้างๆ นาง ดึงนางขึ้นมา หลังจากตัวเองนั่งแล้วก็ให้นางนั่งบนตักตัวเอง กระซิบข้างหูนาง “ข้าโชคดีจริงๆ ที่ได้แต่งภรรยาที่ดีอย่างเจ้าเช่นนี้!”
“ข้าก็ดีใจเหมือนกันที่ได้แต่งกับท่านที่เป็นคนที่ข้าชอบ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ใช้ใบหน้าถูไถไปกับแผ่นอกเขาอย่างเคยชิน กล่าวถามด้วยยิ้มบาง “ข้าล้วนไม่ทันได้ถามว่า เที่ยวที่ทะเลสาบลี่หูเป็นอย่างไรบ้าง ทุกอย่างบนเกาะสะท้อนเงาจันทร์ ยังเหมือนที่คาดการณ์ไว้หรือไม่?”
“ดีมาก แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยดีถึงขนาดนี้!” ซั่งกวนเจวี๋ยคิดขึ้นมาก็พอใจเป็นอย่างมาก กล่าวยิ้มๆ “แม้อิ๋งอี้หังที่เริ่มแรกจะโกรธแค้นพวกเจ้าเสียเต็มประดาก็ตาม แต่พอถึงสุดท้ายก็ชมอย่างไม่ขาดปาก มี่เอ๋อร์ เป็นใครที่คิดคำถามแปลกๆ นั้นออกมา? แม้อี้หังจะไม่ได้ถูกจับแก้ผ้าล่อนจ้อน แต่ก็ทุลักทุเลเอาการ แต่ไหนข้าก็ไม่เคยเห็นยามที่เขาหมดสภาพถึงขนาดนี้มาก่อน!”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์หัวเราะเสียงดัง ถึงขนาดน้ำตาไหลออกมา “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนสุดท้ายพวกคุณหนูต่างเล่นสนุกจนไม่สนใจอะไร พูดส่งเดชเรื่อยเปื่อยออกมา จากนั้นเมื่อทุกคนเห็นด้วยก็ส่งคำถามนั้นกลับไป น่าสงสารจริงๆ…”
“เช่นนั้นเรื่องน้ำชาเป็นความคิดของใคร?” ซั่งกวนเจวี๋ยนึกขึ้นมาก็รู้สึกหวาดเสียว ตัวเขาเกือบจะเป็นคนหนึ่งที่หมดสภาพในกลุ่มใหญ่นั่นแล้ว ขวดที่เขาได้มีส่วนผสมภายในเพียงสองอย่าง หวงเหลียน[1]และพริก นึกถึงหลี่ลั่วเผยที่เผ็ดจนร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหล เขาก็ยังรู้สึกสั่นสะท้านจากเรื่องนั้นอยู่ดี
“เป็นความคิดของข้า ทุกคนร่วมกันคิดค้น จากนั้นก็ทำออกมา” เยี่ยนมี่เอ๋อร์นึกขึ้นมาก็ยังคงขบขัน บางทีคุณหนูพวกนั้นอาจจะเหมือนกับตน ถูกกักไว้ในกรอบมากเกินไป พอตัวเองได้แปลงกายเป็น ‘คุณหนูสุรา’ ก็จะใจกล้าไม่เกรงกลัวผู้ใด ไม่ว่าจะพูดหรือทำเรื่องอะไรก็ล้วนไร้กฎเกณฑ์ แต่พวกนางก็เพียงให้ตนเปิดปากขวดเพียงขวดเดียว กลิ่นน้ำพวกนั้นก็หลั่งไหลออกมาสู่ภายนอกทันที นางแค่คิดอยากจะใส่พวกน้ำมัน เกลือ ซีอิ๊ว น้ำส้มสายชูลงไปเท่านั้น แต่พวกนางกลับเอาหวงเหลียว หญ้าคาวปลา พริกไทย…อะไรก็ตามที่กระตุ้นและไม่มีพิษทำร้ายร่างกายล้วนนำมาหมด ทำให้นางที่เป็นผู้คิดริเริ่มถึงขนาดตกตะลึง โดยเฉพาะหลายคนที่เริ่มแรกก็กล่าวอย่างหนักแน่นว่าทำเช่นนี้ไม่ดี ในยามที่ลงมือกลับโหดเหี้ยมกว่าใครหลายเท่า ทำให้ทุกคนสนุกกันใหญ่
“ดูท่าแล้ว คุณหนูแต่ละตระกูลคงมีร่างมารร้ายอยู่ในตัวเป็นทุนเดิมอยู่แล้วกระมัง” ซั่งกวนเจวี๋ยส่ายหน้ายิ้ม “เพียงแต่งานชมดอกบัวครานี้ แม้ตอนท้ายจะไม่มีอะไรให้คนได้เปิดหูเปิดตากับสิ่งใหม่ๆ แล้ว แต่ยังทำพวกนางให้ประทับใจจนลืมไม่ลงอยู่ดี”
“เช่นนั้นก็ต้องพูดว่าข้าทำได้ดีแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มหวานอย่างพอใจ นางชอบเช่นนี้ พยายามเอาใจใส่ในการทำสิ่งต่างๆ จากนั้นก็ได้รับการยอบรับและคำชื่นชม
“แน่นอน!” ซั่งกวนเจวี๋ยกล่าวยืนยัน “ย่างเนื้อกลางแจ้งก็แปลกใหม่มาก การร้องแสดงร่ายรำ แม้ว่าจะด้อยไปเล็กน้อย แต่กลับทำให้ดูมีชีวิตชีวา ในยามที่รู้ว่างานชมดอกบัวครั้งนี้อยู่ในความรับผิดชอบของเจ้า พี่ใหญ่มู่หรงก็ชมอย่างไม่ขาดปาก กล่าวว่าคาดไม่ถึงว่าหญิงสาวที่อ่อนหวานเช่นเจ้าจะสามารถ…”
“เขาคงไม่ใช่พูดขึ้นมาหลังจากชมการร่ายระบำหรอกกระมัง” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หรี่ตาอย่างมีเล่ห์นัย กล่าวหยอกเย้า “ดูท่าแล้ว สาวงามคงทำให้เขาหัวหมุนเป็นแน่!”
“เจ้านี่มันตัวแสบจริงๆ!” ซั่งกวนเจวี๋ยตีสะโพกนางเบาๆ ก่อนถามอย่างเป็นห่วง “ชิงหวั่นพูดคุยอะไรยามที่นั่งรถม้ากับเจ้า? อวี่ฮ่าวกระตือรือร้นมาพูดให้นางเป็นอย่างมาก ข้าก็รู้ว่าเจ้ารู้สึกดีกับนาง จึงไม่ได้ปฏิเสธให้นางนั่งกับเจ้า”
“นางคิดถึงอาจารย์เฉาเป็นอย่างยิ่ง อยากจะไปเซิ่งจิงสักครั้ง ข้าเปิดเผยเรื่องราวที่ท่านพ่อและท่านแม่จะไปเซิ่งจิง บางทีพวกเขาอาจจะสามารถไปเป็นเพื่อนได้” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คลี่ยิ้มบาง นึกถึงช่วงบ่ายที่อวี่ฮ่าวเอาแต่ตามอยู่ข้างรถม้า ทั้งชิงหวั่นยามที่เห็นอวี่ฮ่าวก็ทั้งขุ่นเคืองทั้งหงุดหงิด รู้สึกว่าระหว่างทั้งสองคนย่อมเกิดเรื่องอะไรที่ไม่มีใครรู้อย่างแน่นอน มิเช่นนั้นอวี่ฮ่าวผู้ที่แต่ไหนก็ไม่เคยออกหน้าผู้นั้นจู่ๆ จะเปลี่ยนไปแทบเป็นคนละคนได้อย่างไร
“พี่ใหญ่มู่หรงตั้งใจพานางมาเข้าร่วมงานประลองยุทธ์” ซั่งกวนเจวี๋ยยิ้มขมขื่น เพราะว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องของ ‘คุณหนูสุรา’ เขาจึงไม่ได้พูดเรื่องนี้กับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ คาดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะเปลี่ยนแปลงไปเช่นนี้
“หืม? หรือพี่ใหญ่มู่หรงยังคิดอยากให้คุณหนูชิงหวั่นพบหน้ากับลู่เหยาผู้นั้นสักหน่อย?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์นึกไปถึงลู่เหยาโดยทันที คนของตระกูลมู่หรงไม่ใช่เห็นพ้องต้องกันแล้วหรือว่าสาเหตุที่ชิงหวั่นนั้นบ้าคลั่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับลู่เหยา ดังนั้นใครผูกคนนั้นก็ต้องเป็นคนแก้ คิดจะใช้ลู่เหยามาทำให้ชิงหวั่นค่อยๆ ฟื้นฟูจิตใจ?
“เรื่องนี้…” ซั่งกวนเจวี๋ยลังเลไปเล็กน้อย ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะเปิดเผยตัวตนของ ‘คุณหนูสุรา’ ให้นางฟังหรือไม่
“หากไม่สะดวกก็ไม่จำเป็นต้องพูดหรอก อย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของตระกูลมู่หรง ข้าอย่ารู้มากไปจะดีกว่า!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์แย้มยิ้มอย่างเข้าใจ “ไม่กี่วันมานี้ความสัมพันธ์ของข้าและพิงถิงดีขึ้นมาบ้าง เพียงแต่ข้าไม่ได้ให้นางใกล้ชิดข้ามากจน เกินไป มิเช่นนั้นอาจจะดูไม่ค่อยดี”
ซั่งกวนเจวี๋ยรู้สึกขอบคุณเยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นอย่างมากที่เข้าใจตน แต่ก็รู้สึกผิดภายในอยู่บ้าง ฟังจบก็กล่าวยิ้มๆ “พิงถิง ดื้อดึงนัก ยากที่จะสนิทสนม จิงอิ๋งนั้นดีกับนางมาโดยตลอด แต่ก็ยังคงทำให้นางมองเป็นดั่งศัตรูอยู่ เจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?”
“ง่ายมาก ให้คำแนะนำนางสักหน่อย ให้นางได้สามารถผูกสัมพันธ์กับเพื่อนบางคนได้ นางก็รู้สึกซาบซึ้งแล้ว ย่อมต้องรับน้ำใจ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มบาง หลังจากเหตุการณ์ ‘เติมส่วนผสมในน้ำชา’ ฉีอวี่เจวียนและหวงฝู่อวี๋หลิงก็มีความรู้สึกดีต่อพิงถิง คล้อยหลังก็สนิทกันขึ้นมา แน่นอนว่านี่เป็นเพราะว่าตนเองมีท่าทีอ่อนโยนต่อพิงถิง มิเช่นนั้นคุณหนูที่ฉลาดทันคนเหล่านั้นก็คงไม่สนิทสนมกับนางได้หรอก พิงถิงเองก็ย่อมกระจ่างใจ ดังนั้นแม้ว่าจะทำตามคำสั่ง ไม่ได้ใกล้ชิดตนมากจนเกินไป แต่แววตานั้นกลับไม่เหมือนเดิมแล้ว
“เช่นนั้นก็ดี!” ซั่งกวนเจวี๋ยผงกศีรษะ กล่าวทั้งรอยยิ้ม “แม้ว่าพิงถิงจะไม่เป็นที่โปรดปรานของท่านแม่ แต่อย่างไรก็เป็นคุณหนูของตระกูลซั่งกวน พี่น้องของพวกเราทั้งชีวิตนี้เดิมทีก็มีไม่มาก ไม่อาจปล่อยปละละเลยได้!”
เช่นนั้นซั่งกวนอวี่ไข่ล่ะ? เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้ถามประโยคนี้ออกมา สำหรับเด็กหนุ่มคนนั้น นอกจากไม่มีความรู้สึกดีๆ อะไรให้นางแล้ว ยังมักใช้ดวงตาที่คลุมเครือและหลากหลายอยู่บ้างมองตนเอง แววตาที่ไม่มีความเคารพนับถือ ไม่เห็นตนเองเป็นสะใภ้ใหญ่แม้แต่น้อย
“สะใภ้ใหญ่ ทางครัวนั้นจับ…” ในยามที่เห็นทั้งสองคนใกล้ชิดกันเช่นนั้นเสียงของม่านเหอก็ชะงักลง รีบร้อนถอนตัวกลับไป
“มีเรื่องอันใด?” ซั่งกวนเจวี๋ยกลับไม่รู้สึกขัดเขินอะไร ทว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์กลับอายจนหน้าแดงหมดแล้ว ดิ้นรนที่จะหยัดกายขึ้น หลังจากซั่งกวนเจวี๋ยปล่อยนางก็ค่อยกล่าวถาม
“ทางครัวด้านนั้นจับคนที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ ได้คนหนึ่ง ค้นตัวของเขาก็พบโกศน้ำเต้าและชุมเห็ดเทศ เวลานี้ให้คนจับตาดูเขาไว้แล้วเจ้าค่ะ!” ม่านเหอยืนกล่าวอยู่ด้านนอกประตู
“ได้ทำให้ใครตกใจหรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กังวลเรื่องนี้มากกว่า
“ไม่มีเจ้าค่ะ! เป็นองครักษ์ลับที่ท่านวางตัวมา เห็นการกระทำของคนพวกนั้นน่าสงสัย ก็ซัดจนสลบไปเลย ไม่ได้ทำให้ผู้ใดตกใจเจ้าค่ะ!” คำพูดของม่านเหอทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์คลี่ยิ้มเล็กน้อย
“ส่งเขาให้ลุงจิ่นอย่างลับๆ ทันที ลุงจิ่นย่อมรู้ว่าควรจะจัดการอย่างไร!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เตรียมรับมือกับเรื่องเช่นนี้อยู่แล้ว ทั้งยังบอกกล่าวกับซั่งกวนจิ่นไว้ก่อนแล้วด้วย
“เจ้าค่ะ สะใภ้ใหญ่!” ม่านเหอออกไปอย่างเร่งรีบทันที
“มี่เอ๋อร์ไม่กลัวแหวกหญ้าให้งูตื่นหรอกรึ?” ซั่งกวนเจวี๋ยกล่าวยิ้มๆ
“เหตุใดสามีจึงไม่พูดว่าข้ากำลังล่องูออกจากโพรงเล่า?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์แย้มยิ้ม “หากพวกเราจับตัวผู้ลงมือได้จริงๆ ข่าวคราวของเขาย่อมไม่อาจถูกส่งไปในตระกูลได้ ลุงจิ่นจะจับตาดูทุกการเคลื่อนไหวของอนุภรรยาอู๋ เช่นนั้นท่านว่าในสถานการณ์ที่เขาไม่ได้รับการชี้แนะอันใดจะยั้งมือเช่นนี้ หรือจะพยายามทำอย่างสุดกำลังต่อไปล่ะ?”
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะคิดอะไรมาอย่างดีหมดแล้ว!” ซั่งกวนเจวี๋ยเผยยิ้ม พวกเขาในยามนี้จะยั้งมือหรือทำต่อ ที่จริงก็ไม่ได้ต่างอะไรมากมาย ล้วนยากที่จะหลีกเลี่ยงโทษทัณฑ์ คงต้องคอยดูแล้วว่าพวกเขาจะมีความกล้าและความมุ่งมั่นในการทุ่มสุดตัวครั้งสุดท้ายหรือไม่
———————————-
[1] หวงเหลียน สมุนไพรจีนชนิดหนึ่งซึ่งมีรสขม