เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 149 ‘จับคน’ กลางดึก
“มีเรื่องเช่นนี้จริงๆ รึ?” มู่หรงปั๋วเย่เบิกตากว้าง ปากอ้าค้าง เพราะถูกเรื่องที่ซั่งกวนเจวี๋ยเล่าปะทะเข้าจนเวียนหัวตาลาย แยกแยะทิศทางไม่ออกอยู่บ้างว่าทิศไหนเป็นทิศไหน เขานั้นเคยคาดเดาอยู่ว่าจู่ๆ ที่อวี่ฮ่าวเอาใจใส่เช่นนี้เป็นเรื่องแปลก แต่อย่างไรก็นึกไม่ถึงว่าคนที่เขาสนใจจะเป็นชิงหวั่น สิ่งที่ทำให้เขายากที่จะเชื่อไปอีกก็คือทั้งสองคน ‘ลักลอบมีความสัมพันธ์กันแล้ว’
“ข้าก็ยากที่จะเชื่อเช่นกัน!” ซั่งกวนเจวี๋ยขมับ รู้สึกว่าในหัวของตนมีเสียงหวึ่งดังเต็มไปหมด ถูกเรื่องของอวี่ฮ่าวทำให้ตกใจไม่น้อย คำพูดที่ว่าหมากัดคนไม่ส่งเสียงเห่า อวี่ฮ่าวก็คือหมากัดคนที่ไม่เห่าตัวนั้นแหละ
“เจ้าว่าเราควรจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงปั๋วเย่ตัดสินใจไม่ถูก แม้เขาจะชื่นชอบอวี่ฮ่าว แต่เรื่องของชิงหวั่น ไม่ใช่เขาเพียงผู้เดียวที่ตัดสินใจได้ ท่านพ่อและท่านแม่น่าจะไม่ค่อยเห็นด้วยกับเรื่องนี้ แม้อวี่ฮ่าวจะโดดเด่นเพียงใดก็ล้วนไม่มีประโยชน์…ชิงหวั่นเป็นลูกสาวคนโตภรรยาเอกของตระกูลมู่หรง ถึงแม้จะแบกรับชื่อเสียงเช่นนั้นติดตัว ทั้งยังมีปัญหาด้านอารมณ์อยู่บ้าง แต่นางก็มีรูปลักษณ์ที่งามเหนือใครในใต้หล้า ความสามารถที่โดดเด่น ทั้งยังมีฐานะลูกภรรยาเอกของตระกูลมู่หรง ยังคงมีคนที่ฐานะทัดเทียมกันหมายปองเป็นจำนวนมาก อวี่ฮ่าวเป็นลูกอนุภรรยา นับว่าแพ้ไปขั้นหนึ่งแล้ว แต่ข้อเสียที่ชี้เป็นที่ชี้ตายที่สุดกลับเป็นเรื่องที่เขามีอายุน้อยกว่าชิงหวั่นถึงสามปีเต็มๆ หากทั้งสองคนแต่งงานกัน คนภายนอกย่อมไม่พูดว่า อวี่ฮ่าววาสนาดี แต่จะสงสัยว่าแท้จริงแล้วชิงหวั่นมีข้อบกพร่องอะไรที่ไม่อาจบอกผู้อื่นได้กันแน่ จึงทำให้ตระกูลมู่หรงต้องแต่งนางให้กับเด็กหนุ่มคนหนึ่ง
“อย่าถามข้าเลย ข้าในยามนี้ยังดึงสติกลับมาไม่ได้ด้วยซ้ำ!” ซั่งกวนเจวี๋ยส่ายศีรษะ ทั้งหัวหมุนติ้วไปหมด เรื่องนี้สร้างความตกตะลึงให้เขาเป็นอย่างมาก เกินกว่าที่คาดคิดจริงๆ
“เจ้าว่า…” มู่หรงปั๋วเย่ตรึกตรองอยู่ค่อนวัน “เรื่องนี้อวี่ฮ่าวจงใจพูดออกมาล้อเจ้าเล่นหรือเปล่า?”
เมื่อลองคิดดู ช่วงนี้ชิงหวั่นแทบจะไม่เห็นได้ติดต่อกับใครแบบส่วนตัวเลย ทุกวันยังคงคล้ายกับอยู่ในเรือนบำเพ็ญเพียร คัดลอกคัมภีร์ อ่านตำรา ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ ไม่ย่างกายออกจากประตูใหญ่อย่างคงเส้นคงวา โอกาสที่พบเจอผู้คนก็มีไม่มาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการลอบมีความสัมพันธ์อะไร
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น!” ซั่งกวนเจวี๋ยยิ้มขมขื่น แต่ในใจกลับไม่มีความหวังสักนิด ตั้งแต่เล็กจนถึงตอนนี้ เขาไม่เคยเห็นอวี่ฮ่าวพยายามช่วงชิงอะไรมาก่อน ตรงกันข้ามกลับเป็นประเภทที่ว่า ‘เจ้าให้ข้าก็เอา เจ้าไม่ให้ข้าก็ไม่เอา’ แต่ไหนแต่ไรใบหน้าก็คล้ายกับสวมหน้ากากเอาไว้ เคารพเชื่อฟัง มีเพียงยามที่อยู่กับหวงฝู่เยวี่ยเอ้อตามลำพัง ที่จะเผยท่าทีอ่อนน้อมนับถือออกมา ทั้งยังเอาใจใส่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเป็นอย่างมาก (แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องที่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อบังเอิญพูดขึ้นมา) ในยามอื่นๆ มักจะไม่มีปากมีเสียง ทำให้คนลืมการมีอยู่ของเขาไป
“แต่ในใจของข้ายังคงร้อนรน!” มู่หรงปั๋วเย่ยิ้มขมขื่น “ที่จริงตอนงานชมดอกบัวนั้นข้าก็มีความรู้สึกเช่นนี้ แต่ไหนแต่ไรอวี่ฮ่าวก็มักจะทำให้ตัวเองเหมือนไม่มีตัวตน ในความทรงจำของข้า นอกจากรู้ว่ามีคนอย่างเขาคนหนึ่ง อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรแล้ว แต่คล้ายกับว่าก่อนที่งานชมดอกบัวจะเริ่มไม่กี่วัน เขาก็มักจะเป็นฝ่ายออกตัวคารวะทักทายข้า…เอ๋ แปลก แปลกจริงๆ ข้าจำได้ว่าข้ามาเยือนบ้านเจ้าหลายครั้งขนาดนั้น นอกจากเวลาที่มีโอกาสให้คนทั้งหมดมาอยู่รวมกันแล้ว เวลาอื่นและโอกาสอื่นๆ ก็แทบจะไม่เห็นเงาเขาแม้แต่น้อย เจวี๋ย ดูท่าแล้วน้องชายของเจ้าคนนี้จะมีความคิดลุ่มลึก เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวไม่น้อย!”
ซั่งกวนเจวี๋ยในเวลานั้นก็มัวแต่ยุ่ง ไม่ทันได้ตระหนักถึงการกระทำของอวี่ฮ่าวที่เปลี่ยนไปจากเดิม ฟังจบก็ยิ้มขื่นขม “มิน่าเล่า ตอนงานชมดอกบัวเขาเอาแต่เดินวนเวียนเบื้องหน้าเจ้า แต่เจ้าก็ล้วนไม่รู้ถึงความผิดปกติอันใด ที่แท้เจ้าก็คุ้นชินกับการมีตัวตนของเขาแล้วนี่เอง!”
“ยามที่มุ่งหน้าไปทะเลโม่โฉว ชิงหวั่นอยากจะนั่งรถคันเดียวกับน้องสะใภ้ ก็เป็นเขาที่เป็นฝ่ายอาสาไปพูดกับเจ้า ข้าก็รู้สึกว่าเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง ข้ายังคิดว่าเขาได้แอบชอบพอกับพวกชิงอีคนใดคนหนึ่งเสียอีก กลับยินดีเป็นอย่างมาก”
มู่หรงชิงหวั่นยังคงเผยยิ้มขมขื่น คาดไม่ถึงว่าตัวเองจะถูกเจ้าเด็กที่ขนเพิ่งจะยาว (หนวด) ปั่นหัวเข้าให้แล้ว “แต่ก็ไม่เห็นเขาคุยอะไรกับพวกชิงอี ถึงขนาดหลีกเลี่ยงการพบปะกับพวกนางอย่างระมัดระวัง ข้ายังคิดว่าข้าน่าจะคิดไปเอง นึกไม่ถึงว่าจะเป็นชิงหวั่น!”
ตอนที่อยู่ทะเลสาบโม่โฉวและสระบัว พวกชิงอีที่ได้รับความนัยจากมู่หรงปั๋วเย่พยามยามกระชับความสัมพันธ์กับอวี่ฮ่าวอย่างระมัดระวัง กลับถูกเจ้าเด็กที่ลื่นเป็นปลาไหลคิดวิธีเว้นระยะห่างออกไป ทำให้ทั้งสามคนรู้สึกขายหน้าเป็นอย่างมาก ภายหลังยามที่พบกันอีกครั้ง ก็พยายามรักษาท่าทีให้สุภาพเยือกเย็น ดูท่าแล้วเจ้าเด็กคนนั้นคงจะมองหญิงสาวทั้งสามเป็นน้องภรรยา ดังนั้นจึงตั้งใจเว้นระยะห่างออกมา
“เรื่องนี้จะสืบความจากปากชิงหวั่นหรือไม่?” ซั่งกวนเจวี๋ยก็ไม่เห็นด้วยกับทั้งสองคน เขาคิดว่า แม้อวี่ฮ่าวจะเป็นลูกของอนุภรรยาหวัง แต่ก็ยังเป็นน้องชายของตัวเอง ย่อมควรคู่กับหญิงสาวที่ดีที่สุดในใต้หล้าแห่งนี้ แม้ว่าชิงหวั่นจะเป็นลูกภรรยาเอกของตระกูลมู่หรง แต่ก็ยังคงพอไปวัดไปวากับน้องชายของตนได้ เพียงแต่ นี่เป็นครั้งแรกที่อวี่ฮ่าวเผยท่าที ‘ขาดเจ้าไปไม่ได้’ ออกมา เขาไม่อยากจะทำลายความรู้สึกของอวี่ฮ่าว ยิ่งไม่อยากให้เขาบาดหมางกับตัวเองเพราะเรื่องนี้
“ข้าไม่อยากให้มีเรื่องอันใดมากระทบกระทั่งชิงหวั่น!” มู่หรงปั๋วเย่บอกปัดทันที หากเรื่องทั้งหมดนี้เป็นอวี่ฮ่าว เจ้าเด็กร้ายกาจผู้นั้นปั้นเรื่องออกมา ทว่าสำหรับชิงหวั่นแล้ว เป็นเรื่องที่ดูหมิ่นเป็นอย่างมาก จิตใจของชิงหวั่นอ่อนแอลงมากแล้ว ไม่อาจให้นางได้รับเรื่องกระทบกระทั่งอะไรอีก
“เช่นนั้นพวกเรา…” ซั่งกวนเจวี๋ยรู้ว่าเขานั้นเป็นพวกตามใจน้องสาวตัวเอง ตัวเขาก็เคยเป็นเช่นกัน เช่นนั้นทุกคนล้วนต้องถอยกันคนละหนึ่งก้าว ลอบดูว่าทั้งสองลักลอบมีความสัมพันธ์อะไรกันหรือไม่แล้วค่อยว่ากัน
“ความหมายของเจ้าคือลอบสอดแนม?” มู่หรงปั๋วเย่เข้าใจความหมายของซั่งกวนเจวี๋ยทันที เขาพยักหน้า ก็ดี หากทั้งสองคนลอบมีความสัมพันธ์จริงๆ เรื่องนี้คงต้องครุ่นคิดกันดีๆ แล้ว
“ใกล้จะถึงยามจื่อ[1]แล้ว หรือจะไม่มาแล้ว?” ซั่งกวนเจวี๋ยส่งเสียงถามไปยังมู่หรงปั๋วเย่ที่รอจนหงุดหงิดใจ เขาคิดว่าหรือออวี่ฮ่าวจะถูกเขากล่าวเตือนไป ดังนั้นจึงละทิ้งการกระทำที่บุ่มบ่ามอย่างการลอบเข้าห้องหญิงสาวกลางดึกไปแล้ว ฮึ่ม!
ดูท่าแล้ว ความรู้สึกที่เขามีต่อชิงหวั่นก็มีไม่เท่าไรเอง
“ข้าว่าเจ้าถูกอวี่ฮ่าวหลอกแล้วเป็นแน่!” มู่หรงปั๋วเย่กลับคิดไม่เหมือนกัน เห็นได้ชัดว่าเรื่อง ‘ลอบเข้าห้องหญิงสาวกลางดึก’ เป็นเรื่องไร้สาระที่อวี่ฮ่าวกุขึ้นมา เขาคิดว่าเขาควรจะพูดคุยกับซั่งกวนเจวี๋ยดีๆ ให้จัดการดูแลซั่งกวนอวี่ฮ่าวเสียหน่อย อย่าได้กุเรื่องขึ้นมาทำลายชื่อเสียงของชิงหวั่นเช่นนี้
“แต่เรื่องนี้เป็นข้าที่หลอกเค้นออกมา อวี่ฮ่าวไม่ได้ตั้งใจพูดกับข้า” ซั่งกวนเจวี๋ยไม่คิดว่าอวี่ฮ่าวจะใช้เรื่องเช่นนี้มาล้อเล่น อย่าพูดเลย เดิมทีอวี่ฮ่าวก็เป็นคนที่ไม่หยอกล้อผู้อื่น แม้ว่าจะก่อปัญหา ก็ไม่อาจปั้นน้ำเป็นตัวสร้างเรื่องเช่นนี้มาหลอกตัวเองเป็นแน่
“หรือเพราะว่าเจ้าหลอกล่อเขา ดังนั้นเขาจึงจงใจสร้างเรื่องที่น่าตกใจมาแกล้งเจ้า” มู่หรงปั๋วเย่นั้นเชื่ออย่างมากว่า
น้องสาวที่โดดเด่นของตนย่อมไม่อาจลักลอบมีความสัมพันธ์กับเจ้าเด็กนั่นได้หรอก แทบจะลืมเสียสิ้นว่า หากไม่ใช่เพราะเชื่อไปแล้ว จะเกิดสถานการณ์อย่างเช่นตอนนี้ขึ้นได้อย่างไร…ลูกชายคนโตของตระกูลผู้ยิ่งใหญ่ อยู่ในชุดพรางตัวปีนอยู่บนหลังคาห้องของน้องสาวตนเอง ด้านข้างยังมีลูกชายคนโตของอีกตระกูลหลบอยู่ด้วย
“เช่นนั้นเหตุใดน้องสาวสุดที่รักของเจ้ายามนี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะเข้านอนล่ะ ให้พวกคนใช้ออกไป แต่ตัวเองกลับจุดโคมไฟ เปิดหน้าต่าง ไม่กลัวยุงหรือไร?” ซั่งกวนเจวี๋ยกล่าวแย้ง บนร่างของเขาถูกยุงกัดจนเป็นตุ่มบวมเป่งขึ้นมาไม่น้อย คันแทบตายแต่ก็ไม่กล้าขยับเขยื้อน ทั้งไม่กล้าจับ เขาลืมคิดไป จึงไม่ได้พกยากันยุงติดตัวมาด้วย
“นั่นเป็นความคุ้นชินในการนอนของชิงหวั่น!” มู่หรงปั๋วเย่แก้ต่าง แต่จากที่ได้ยินพวกชิงอีพูด ช่วงนี้ชิงหวั่นนอนหลับดีไม่น้อย เข้านอนเร็วตื่นเช้า ตอนกลางวันจิตใจก็แจ่มใส ย่อมไม่อาจพลิกกายตื่นขึ้นมาในยามดึกดื่นเป็นแน่
“ข้าว่ารออีกสัก…มาแล้ว!” สายตาที่เฉียบคมของซั่งกวนเจวี๋ยมองเห็นเงาดำปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็วจากแสงของดวงดาวที่ริบหรี่ กระนั้นก็ยังไม่ลืมที่จะกวาดสายตาไปทั่ว ค้อมตัวหลบอย่างรวดเร็ว ไม่ให้คนที่มาได้เห็นพวกเขา
ผู้ที่มาคือซั่งกวนอวี่ฮ่าว ‘โจรบ้ากาม’ ที่พวกเขากำลังตั้งหน้าตั้งตาคอยและรอจับตัว ในมือของเขายังคงถืออะไรบางอย่างมาด้วย คล้ายกับว่าได้ตระเตรียมไว้เป็นอย่างดี
ทุกครั้งที่ใกล้จะถึงยามห้าย[2]อวี่ฮ่าวก็จะรู้สึกกระวนกระวายอยู่ร่ำไป วันนี้ก็เช่นกัน…ทุกครั้งที่ลอบเข้าห้องหญิงสาวล้วนมักจะใช้เวลานี้ แต่วันนี้ถูกพี่ใหญ่กล่าวเตือนมาชุดใหญ่ เขาจึงสองจิตสองใจอยู่บ้าง พี่ใหญ่พูดมิผิด ต้องคำนึงถึงชื่อเสียงของชิงหวั่น ไม่อาจทำให้ชิงหวั่นเป็นที่ติฉินนินทาของผู้คนได้ แต่ว่า…ทั่วทั้งกายล้วนคันหยุบหยิบจนทนไม่ไหวจริงๆ!
อวี่ฮ่าวเดินวนไปวนมาในห้อง ในยามที่เดินวนจนหัวแทบจะหมุนก็คล้ายกับตัดสินใจได้…อย่างไรก็เดินเข้าไปสักหน่อยเถิด ชิงหวั่นคุ้นชินกับการที่มีตัวเองมาเยี่ยมเยือนตอนกลางคืนแล้ว ทั้งยังคุ้นชินที่พอตนเองมอบจูบดูดดื่มให้นาง ก็จะนั่งคอยจนนางล่วงสู่นินทราไป หากไม่แม้แต่บอกกล่าวก็ไม่โผล่ไปหานาง การที่นางโกรธย่อมเป็นเรื่องเล็ก แต่หากนางอดหลับอดนอนขึ้นมาก็นับว่าไม่ดีแล้ว นี่เป็นเรื่องที่อวี่ฮ่าวค้นพบหลังจากที่ลอบเข้าห้องหญิงสาวตอนกลางคืน ชิงหวั่นมักจะอยู่กับห้องที่โล่งเปล่าเปลี่ยวไม่ได้ แม้ว่าจะมีสาวใช้เฝ้าตอนกลางคืนอยู่ แต่หากไม่มีคนคอยอยู่ข้างๆ นางก็ยากที่จะข่มตาหลับ นอนได้อย่างไม่สนิทนัก
คิดมาจนถึงตรงนี้ เมื่อมีเหตุผลที่พูดได้เต็มปาก อวี่ฮ่าวก็เปลี่ยนสวมชุดสีกรมท่าง่ายๆ ในมือยังไม่ลืมน้ำแกงเม็ดบัวที่ให้คนจัดเตรียมไว้ เดินไปทางเรือนใต้อย่างคุ้นทาง
ยิ่งเข้าใกล้เรือนมีสุขก็ยิ่งระมัดระวังมากขึ้น ไม่แน่ว่าไอ้เด็กเหลือขอที่เอาเรื่องนัดพบของตัวเองกับชิงหวั่นไปบอกพี่ใหญ่อาจจะซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งก็ได้…เด็กน้อยที่น่าสงสาร ยามนี้ก็ยังไม่รู้ตัวเลยว่าเขานั้นได้ขายตัวเองไปเสียแล้ว
ระหว่างทางไม่มีผู้คน เข้าไปในเรือนมีสุขอย่างระมัดระวังก็ยังคงไม่พบผู้ใด…ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะขึ้นไปดูที่บนหลังคา แต่กังวลว่าหากขึ้นไปบนหลังคาอาจจะเกิดเสียงดังไปถึงหูของคุณหนูอีกสามคนของตระกูลมู่หรง เขาค่อยๆ พลิกกายเข้าไปในหน้าต่างที่ชิงหวั่นเปิดไว้ให้เขาอย่างระวัง ก่อนจะปิดหน้าต่างอย่างชำนาญและคุ้นชิน ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มเอาอกเอาใจ เดินหันไปหาหญิงสาวที่เบิกตามองตัวเองอย่างโมโหผู้นั้น…
“ชิงหวั่น ข้ามาแล้ว!” อวี่ฮ่าวมองเห็นแววตาที่แดงไปด้วยเส้นเลือดทั้งอาการที่ง่วงนอนของชิงหวั่นก็รู้สึกผิดขึ้นมา เขาไม่ควรเอาแต่คิดลังเลครึ่งค่อนวันกว่าจะเข้ามา ปกติแล้วเวลานี้ชิงหวั่นต้องล่วงสู่นิทราฝันหวานไปแล้ว
“เจ้ามาทำไม!” ชิงหวั่นไม่ได้เผยสีหน้าดีๆ ให้เขา นางไม่คิดจะยอมรับสักนิดว่าตัวเองกำลังรอเขาอยู่ แล้วยิ่งไม่อยากยอมรับว่าช่วงเวลานี้จากที่ตัวเองต่อต้านเขา เกลียดเขาที่พยายามแทรกแซงเข้ามาในชีวิตของตัวเอง จนมาถึงจุดที่คุ้นชินกับการมีตัวตนของเขา ทั้งจุมพิตและท่าทีที่งกๆ เงิ่นๆ ของเขา แต่วันนี้เขามาช้าไปกว่าครึ่งชั่วยาม ทำให้นางค้นพบอย่างหงุดหงิดว่าตัวเองได้พึ่งพิงเด็กหนุ่มที่ไม่โตดีผู้นี้ไปแล้ว ไม่มีอาหารยามดึกที่เขาเตรียมมาให้ ไม่มีจูบเร่าร้อนที่ทำให้นางหายใจแทบไม่ทันจากเขา ไม่มีเขาที่ลวนลามอย่างได้คืบจะเอาศอก ยามค่ำคืนถึงดูเหน็บหนาวเปล่าเปลี่ยวขึ้นมาทันตา ไม่มีเขาคอยกอดตัวเองอย่างเอาอกเอาใจ ใช้ความอบอุ่นขับไล่ความน่ากลัวของคืนมืดมิด นางนั้นก็ไร้ทางจะข่มตาหลับอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าจะจุดไฟก็ไม่ได้ช่วยอะไร
เมื่อมองเห็นรอยยิ้มที่คุ้นเคย รอยยิ้มที่มักจะแสดงท่าทีเอาอกเอาใจอย่างทำเป็นไม่เห็นความเยือกเย็นที่ตัวเองส่งไปให้ จู่ๆ ชิงหวั่นก็รู้สึกน้อยใจขึ้นมาอย่างถึงที่สุด ไม่รอให้อวี่ฮ่าวได้พูดประจบอะไรออกมา น้ำตาก็ไหลหยด ‘ติ๋ง’ ลงมา นางคิดว่าเป็นเพราะเมื่อวานเขาถูกตัวเองกัดลิ้นไป ดังนั้นเขาจึงโกรธ ไม่มาแล้ว…
“อย่าร้อง! อย่าร้อง!” อวี่ฮ่าวรีบวางของในมือไว้อีกด้านอย่างลนลาน ถลาเข้าไปหาคนที่เขารักใคร่สุดหัวใจ ตระกองนางเข้าสู่อ้อมกอด กล่าวปลอบทั้งมือไม้พัลวัน คาดไม่ถึงว่ายิ่งกล่าวปลอบ น้ำตาของชิงหวั่นก็ยิ่งไหลพรั่งพรูออกมา เขาทำเป็นใจแข็ง กล่าวขู่ออกมา “หากร้องอีกข้าจะจับเจ้ากินเสีย!”
ชิงหวั่นหัวเราะ ‘คิกๆ’ ออกมา คล้ายกับตั้งแต่ที่ริมทะเลสาบ เขาก็ข่มขู่เช่นนี้จนเป็นปกติ ก็เหมือนกับขู่เด็กว่า ‘หมาป่าจะมา’ ก็มิปาน หากพูดบ่อย ก็จะไม่มีความน่าเชื่อถือ นางไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะกล้ากลืนกินตัวเองจนหมดสิ้น!
คนสองคนที่อยู่บนหลังคาสบสายตากัน ต่างก็มองเห็นแววตาที่จับต้นชนปลายไม่ถูกของอีกฝ่าย…
———————————–
[1] ยามจื่อ เวลาประมาณ 23:00 – 24:59
[2] ยามห้าย เวลาประมาณ 21:00 – 22:59