เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 156 ‘ขอโทษ’ ถึงเรือนชาน
ทันทีที่อวี่ไข่พูดจบ ลูกอ๋องฉีก็กระโดดขึ้น จ้องอวี่ไข่เขม็งอย่างดุเดือดแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “พวกเจ้ามาล้อเล่นหาว่าเราเป็นคนโง่หรือ?”
พวกเขาหน้ามืดตามัวไม่เกรงกลัวฟ้าดิน กล้าจะแสดงท่าทางอยากได้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ตระกูลซั่งกวน แต่พวกเขาย่อมยับยั้งชั่งใจอยู่แล้ว…ถ้าพบกับหญิงงามสะคราญเช่นนี้ข้างนอก พวกเขาจะเพียงแค่พูดแทะโลมอยู่พักใหญ่ได้อย่างไร คงล่วงเกินไปตั้งนานแล้ว
นี่คือเรื่องที่พวกเขามักจะทำเป็นนิจและรู้จักบันยะบันยังว่าอะไรควรไม่ควร! เมื่อพบกันกลางทางนั้น เยี่ยนมี่เอ๋อร์ล้อมรอบไปด้วยสาวใช้ตัวน้อยเพียงสี่คน ต่อให้จะเสียมารยาทถึงขั้นลงไม้ลงมือกัน นางก็จะครองความได้เปรียบนิดหน่อย เพราะไม่มีใครเห็น แม้จะชิงชังเท่าใดเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ทำได้เพียงกล้ำกลืนความเจ็บช้ำน้ำใจไว้ มิฉะนั้นถ้าเอ่ยออกไปมันจะไม่เป็นผลดีกับพวกเขา เยี่ยนมี่เอ๋อร์จะเสียเปรียบยิ่งกว่า สะใภ้ใหญ่ของตระกูลซั่งกวนผู้มีเกียรติ ถูกคนที่บ้านเอาเปรียบ พูดไปใครจะเชื่อเล่า?
แต่การยั่วยุถึงเรือนชานนั้นต่างออกไป นั่นคือการหาเรื่อง คนของตระกูลซั่งกวนจะไม่ถึงกับฆ่าพวกเขาระบายความแค้น แต่ถ้าทุบตีพวกเขาสักตั้ง แล้วให้วงศ์ตระกูลของพวกเขาออกมาขอโทษรับคนกลับไปจะเป็นไปได้มากกว่า อวี่ไข่จึงเสนอแนะให้ใส่ความพวกเขาเต็มที่ว่า เมื่อพวกเขาเห็นหญิงงามก็จะกลายเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญาอย่างนั้นสินะ?
“พี่หยางพูดแบบนี้…” อวี่ไข่มองลูกอ๋องฉีด้วยสีหน้ารำคาญ เขาค่อนข้างขุ่นเคืองแล้วพูดว่า “แม้เราจะรู้จักกันผิวเผิน แต่พอเจอกันครั้งแรกข้าก็ถูกชะตาทันที ตอนนี้เป็นพี่น้องกันจะสนิทดีขึ้นกว่าเดิม เป็นไปได้หรือที่ข้าจะทำร้ายพวกเจ้า?”
“แล้วเหตุใดเจ้าถึงพูดแบบนั้น?” จางเจี่ยฮุยถือตัวว่าฉลาดมาตลอด คิดว่าถ้าเขาได้เกิดใหม่ในครรภ์ของฮูหยินนายหญิงของบ้าน ก็จะไม่ถูกวงศ์ตระกูลเจตนาละเลย เขาจึงรู้สึกหดหู่ใจหมดความหวัง
“พวกเจ้ากังวลว่าคนของตระกูลซั่งกวนจะออกมาเล่นงานพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ?” อวี่ไข่หัวเราะลั่น มองเหลือบซ้ายแลขวา เพื่อยืนยันว่าไม่มีใครแล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “พวกเจ้าคิดว่าการที่พี่สะใภ้ของข้าหยิ่งผยองดูน่าเหยียดหยามอะไรนักเล่า? พวกเจ้าคิดสิ นางเป็นแค่ลูกสาวของพ่อค้า ทั้งยังไม่ใช่คนโปรดที่สุดอีกด้วย หากไม่ใช่เพราะท่านแม่ถูกหลอกในตอนนั้น จึงเลอะเลือนไปชั่วขณะ ทำสัญญาหมั้นหมายโดยพลการเอง แล้วนางจะแต่งเข้ามาได้อย่างไร? การแต่งงานครั้งนี้ไม่มีใครในตระกูลซั่งกวนเห็นชอบหรือเห็นพ้องด้วยเลย ยามนี้ก็นางจึงต้องมาทนทุกข์กับการหย่าร้างโดยไร้เหตุผลที่ถูกต้อง”
“พี่ใหญ่ซั่งกวนจะตัดใจจากหญิงงามเช่นนี้ได้หรือ?” ลูกอนุภรรยาจ้าวยังคงหลงใหลแล้วคิดว่า ถ้าเขามีหญิงงามเช่นนี้สักคนหนึ่ง จะไม่ยอมหย่าแน่นอน!
“เป็นเพราะนางสวยงามหยาดเยิ้มจริงๆ ผู้ชายถึงยอมทนอยู่ด้วยมาถึงทุกวันนี้ ต่อให้ผู้หญิงจะงดงามเพียงใดเมื่อดับตะเกียงก็เหมือนกันหมด แทนที่จะปล่อยให้นางครองที่นั่งของสะใภ้ใหญ่ตระกูลซั่งกวน มิสู้เปลี่ยนเป็นลูกสาวจากตระกูลผู้ดีอื่นจะดีกว่า ข้าไม่ปิดบังทุกท่าน คุณหนูจากตระกูลทั่วป๋าและพี่ชายใหญ่ของข้าชอบพอรักใคร่กัน ถ้าไม่ใช่เพราะสัญญาแต่งงานมากั้นกลางไว้เช่นนี้ พวกเขาคงจะแต่งงานไปตั้งนานแล้ว อาจจะมีลูกแล้วด้วยซ้ำ” อวี่ฮ่าวกระซิบความลับแบบกึ่งเปิดเผยอย่างเงียบๆ
“ข้าเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน” จางเจี่ยฮุยเคยพบทั่วป๋าฉินซิน แม้จริงๆ แล้วนางจะย่ำแย่กว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์มาก แต่ถ้าเป็นเขาจะไม่ยอมทิ้งลูกสาวที่เกิดในตระกูลอันสูงส่งเพราะโลภโมโทสันในความงาม การได้แต่งกับสตรีสูงศักดิ์เข้ามาในตระกูล จะช่วยค้ำจุนชายคนหนึ่งไปชั่วชีวิตได้
“จะว่าไป นางถูกลิขิตให้หย่าร้าง” อวี่ไข่พูดอย่างมีลับลมคมในว่า “ไม่ต้องพูดถึงฮูหยินใหญ่ ท่านต้องการเกี่ยวดองเป็นทองแผ่นเดียวกันอยู่แล้ว แม้แต่ท่านพ่อท่านแม่ก็อยากให้นางออกจากตระกูลซั่งกวนไปโดยเร็ว จึงกำชับพี่ชายใหญ่ต้องหย่ากับนางโดยเร็วที่สุด เพื่อไม่ให้ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์ว่าพวกเขาได้ จึงจงใจพากันซ่อนตัวออกไป หากมีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลกับนาง จะไม่มีแม้แต่ผู้อาวุโสที่ขอความช่วยเหลือได้ ย่อมจะไม่มีใครให้ความยุติธรรมกับนางด้วย”
“แล้วพี่ชายใหญ่ซั่งกวนยินดีจะหย่าร้างกับหญิงงามเช่นนี้หรือ?” ลูกอนุภรรยาจ้าวไม่เชื่อ
“ไม่ค่อยเต็มใจ แต่บางครั้งไม่เต็มใจก็ต้องตัดใจใช่หรือไม่?” อวี่ไข่พยักหน้าเมื่อได้รับความเห็นชอบจากหลายๆ คนแล้วพูดใส่ไฟว่า “แต่พี่ชายใหญ่ของข้าก็สงสารและหวงแหนเช่นกัน คิดไตร่ตรองไปมาไม่อยากลงมือทำด้วยตัวเอง จึงอ้างเหตุหลบหน้าออกไป แล้วปล่อยให้พี่สะใภ้ดูแลงานบ้าน หึ นางมีภูมิหลังมาจากตระกูลโกโรโกโส จะดูแลงานบ้านได้อย่างไรกันเล่า? แค่มีความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้นางต้องหย่าร้างแล้ว”
“ข้าคิดว่านางดูแลบ้านได้ดีพอสมควรทีเดียว ตระกูลซั่งกวนใหญ่โตและมีบารมีขนาดนี้ ไม่มีแม้แต่เกี้ยว พวกบ่าวไพร่ก็ไม่เห็นนางอยู่ในสายตาสินะ” จางเจี่ยฮุยคิดว่าเป็นอย่างนั้นอยู่ลึกๆ จึงรู้สึกเศร้าสงสารหญิงงามผู้หนึ่งที่ต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้ ถ้าเปลี่ยนเป็นเขา อย่างน้อยก็ต้องรอจนกว่าคนผู้นั้นจะแก่หง่อมไปก่อนจึงค่อยปล่อยมือจากนาง
“ข้าจึงให้คำแนะนำแบบนั้นกับพวกเจ้า” อวี่ไข่แสยะยิ้มพูดต่อ “เจ้าลองคิดดู พี่ชายใหญ่ของข้าโมโหอยู่ที่หาเหตุผลหย่ากับนางไม่ได้ ถ้าพวกเจ้าเตรียมของขวัญเช่นนี้มาก่อกวนถึงเรือนชาน เขาย่อมจะกระโดดหลีกทางให้เป็นแน่ เมื่อถึงตอนนั้นพวกเจ้าก็บอกว่านางจงใจหลอกล่อพวกเจ้าก็ได้ เชิญให้พวกเจ้ามานั่งในเรือนมีคู่ พี่ชายใหญ่ของข้ามีเหตุผล จะส่งจดหมายหย่าให้นางและขับไล่นางออกไปทันที แล้วนางน่ะหรือ? เมื่อออกจากตระกูลซั่งกวน ไร้ที่พึ่งพาในลี่โจว แค่ผู้หญิงอ่อนแอคนหนึ่ง หากเจ้าต้องการก็ยังไม่ใช่เรื่องง่ายอีกหรือ?”
“พูดตามตรง ข้าไม่เชื่อคำพูดของเจ้าเลยสักนิด” จางเจี่ยฮุยพูดเช่นนี้ก็จริงแต่ในใจเชื่อไปแล้วกว่าครึ่ง ตอนนี้ตระกูลซั่งกวนว่างเปล่าโหรงเหรง มีเจ้านายที่สั่งการได้ไม่กี่คน เป็นเพราะพวกเขาโล่งใจที่ซั่งกวนเจวี๋ยเพิ่งแต่งงานมีภรรยาดูแลบ้าน เขาจึงค่อนข้างเชื่อสิ่งที่อวี่ไข่พูดว่าหาข้ออ้างในการหย่าร้างกับภรรยา แต่ก็ไม่อาจเชื่อเขาได้ทั้งหมด
“เชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่พวกเจ้า แต่ข้าคิดว่าพวกเจ้าน่าจะรู้ดี ถ้าข้าโกหกพวกเจ้า พวกเจ้าย่อมถูกคนของตระกูลซั่งกวนไล่เบี้ยเป็นแน่ แต่ข้าจะยิ่งน่าสังเวชที่ต้อนรับพวกเจ้าในฐานะแขกของตระกูลซั่งกวน ฉะนั้นข้าต้องโกหกพวกเจ้าด้วยเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?” อวี่ไข่ไม่กังวลเลยสักนิดว่าพวกเขาจะไม่หลงกล แม้เจ้าพวกนี้จะไม่ถือว่าโง่เง่าอะไร แต่ก็ล้วนเป็นผีร้ายมักมาก เมื่อพบกับหญิงงามไม่ทันไรความเจ้าชู้ก็ปรากฏทันที หากไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ เขาคงไม่จงใจสร้างความสัมพันธ์อันดีกับพวกเขา นับประสาอะไรจะพาพวกเขาเข้ามาในตระกูลซั่งกวน แล้วสร้างสถานการณ์ให้พวกเขาบังเอิญพบกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์
พวกลูกผู้มากลากดีมองหน้ากันแวบหนึ่ง ใช่แล้ว หากอวี่ไข่ไม่มั่นใจพอจะไม่กล้าเสี้ยมให้พวกเขาทำเช่นนี้ ถ้าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ถูกตระกูลซั่งกวนรังเกียจ จะกลายเป็นตัวเขาเองและคนอื่นๆ ลบหลู่ตระกูลซั่งกวนแน่นอน นับว่าไม่เป็นผลดี และอวี่ไข่เองก็ยากจะหลีกหนีความผิด ความสุ่มเสี่ยงนั้นใหญ่หลวงกว่าพวกเขาเสียอีก พวกเขาจึงเชื่อใจทันควันแกมหงุดหงิดเล็กน้อย…การมาตระกูลซั่งกวน ได้มาลวนลามสะใภ้ใหญ่ของตระกูลซั่งกวน ช่างน่าตื่นเต้นยิ่งนัก!
“แล้วถ้าเรื่องนี้สำเร็จ เด็กอย่างเจ้าจะได้ประโยชน์อะไร?” จางเจี่ยฮุยเชื่อมาตลอดว่าถ้าไร้ประโยชน์จะไม่ทำตั้งแต่ต้น ถ้าไม่มีผลประโยชน์ เด็กคนนี้จะไม่ยุยงให้พวกเขาเองทำเรื่องพรรค์นั้น
“เราเป็นพี่น้องกัน ยังจะหลอกใช้พวกเจ้าเพื่อหาผลประโยชน์ได้หรือ?” อวี่ไข่ทำท่าทำทางเหมือนพี่น้องที่แสนดี และชายหนุ่มผู้ดีมีเงินสองสามคนก็พยักหน้าโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย อวี่ไข่ถอนหายใจแล้วพูดว่า “เอาล่ะ ข้าจะบอกตามตรง ถ้าเรื่องนี้สำเร็จ พี่ชายใหญ่ของข้าจะได้กลับมาแต่งงานกับหญิงสาวที่มีเกียรติ ตระกูลทั่วป๋าจะให้ของขวัญแต่งงานชิ้นใหญ่แก่ข้า พวกเจ้าก็รู้ว่า ลูกนอกสมรสจะก้าวหน้าในตระกูลขุนนางได้ยากมาก นี่เป็นโอกาสของข้าด้วยซ้ำ ต่อให้จะขอโทษหญิงงามเช่นนั้นข้าก็ไม่สนใจ”
“ได้ผลประโยชน์มากมายขนาดนี้ มิน่าเล่าที่เด็กอย่างเจ้าจะวางแผนลอบทำร้ายพี่สะใภ้ตัวเอง” ลูกอนุภรรยาจ้าวตบไหล่อวี่ไข่ด้วยอารมณ์ลุ่มลึก แล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “ข้าไม่รู้ว่าคนอื่นจะช่วยเรื่องนี้หรือไม่ แต่ข้าจะช่วยเรื่องนี้อย่างเต็มที่ ไหนๆ ข้าก็สำมะเลเทเมา ถ้าทำตัวเด่นมาก แม่ใหญ่และน้องชายข้าก็จะกังวล หนำซ้ำจะกำจัดข้า เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในอนาคต ข้าต้องก่อปัญหาทะเลาะวิวาท พวกเขาจะได้โล่งอกให้ท้ายไปด้วย แสดงถึงจิตใจที่ไร้กังวลของพวกเขา เพื่อส่งเสริมลูกชายคนโตให้โดดเด่น ต่อให้จะโดนเด็กอย่างเจ้าหลอกใช้ก็ไม่สลักสำคัญหรอก”
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็ร่วมด้วยอีกคน” ลูกอ๋องฉียิ้มอย่างมีเลศนัยพูดหยาบคายเล็กน้อยว่า “หญิงงามเช่นนี้ ถ้าตกอยู่ในเงื้อมมือของเจ้าก็ถูกปู้ยี่ปู้ยำ มิสู้มอบให้ข้าจะดีกว่า ถ้าให้ของขวัญชิ้นโตกับหญิงงามได้ นางจะต้องตกอยู่ในอ้อมแขนของข้าหลังหย่าร้างแล้วเป็นแน่”
“ดูว่าใครมีความสามารถก็แล้วกัน!” ลูกอนุภรรยาจ้าวหัวเราะร่วน หัวใจร้อนรุ่ม
“เหล่าคุณชายจะขัดแย้งกันเพื่อเหตุใด?” จางเจี่ยฮุยกระตุกยิ้มแล้วแนะนำว่า “พรุ่งนี้เราจะไปเยี่ยมหญิงงามด้วยกัน แต่ละคนเตรียมของขวัญไว้ ถ้าหญิงงามถูกใจใครสักคนหนึ่ง คนที่เหลือไม่ต้องใช้วิธีการจับเชลยก็พรากหญิงงามไปได้เลย”
“เห็นด้วย!” เพื่อนตะเภาเดียวกันของกลุ่มผู้ลากมากดีกังวลว่าอีกฝ่ายจะใช้วิธีต่ำช้า พอโพล่งข้อเสนอแนะนี้ออกมาก็ได้ผลทันที
“พรุ่งนี้ข้าจะไม่ไปร่วมสนุกด้วย…แต่อย่าเข้าใจผิด ข้าไม่ได้คิดจะหลบหนี เพียงแต่เด็กที่บุ่มบ่ามอย่างซั่งกวนอิงยังอยู่ในจวน เขาเป็นเด็กไม่รู้เรื่องนี้ด้วย ข้าต้องจัดการเขาให้ได้ก่อน ไม่อย่างนั้นเขาย่อมจะสร้างปัญหาแน่ พวกเจ้าก่อเรื่องมันจะไม่แย่หรอกหรือ?” อวี่ไข่กลับเป็นกังวลว่าซั่งกวนอิงจะก่อความวุ่นวาย สำหรับซั่งกวนจิ่น ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นแค่คนรับใช้ผู้หนึ่ง ต่อให้จะปรากฏตัวก็ไม่มีบทบาทตัดสินใจอะไร ส่วนเขาก็ไม่เคยคิดว่าเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้จะทำอะไรเยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้ ทุกอย่างเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้นเอง
——————–
“เหล่านายน้อยต้องการพบสะใภ้ใหญ่ของพวกเจ้า คนรับใช้ที่ต่ำต้อยอย่างพวกเจ้ายังไม่หลีกทางให้ข้าอีก” เสียงดังเอะอะโวยวายอย่างไม่น่าเชื่อของลูกอ๋องฉีทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ซึ่งนั่งสมาธิปรับลมปรานอยู่ที่ชั้นสามขมวดคิ้วมุ่น คุณชายลูกผู้ดีมีตระกูลพวกนี้คงเบื่อชีวิตแล้วกระมัง ไม่รู้หรือว่าที่นี่คือตระกูลซั่งกวน ไม่ใช่สถานที่ที่พวกเขาจะมาวางท่าอวดเบ่งได้
“ขออภัย สะใภ้ใหญ่นั้นไม่สะดวกจะพบกับแขกบุรุษเจ้าค่ะ” ม่านเหอมองดูคุณชายที่น่าเกลียดเหล่านี้อย่างเยียบเย็น พวกเขาเป็นกากสวะที่หายากจริงๆ ในตระกูลชนชั้นสูง และไม่รู้ว่านายน้อยอวี่ไข่ไปผสมโรงอยู่กับสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร ไม่กลัวว่าจะทำให้ตำแหน่งที่ล่อแหลมของตัวเองดำดิ่งลงอีกครั้งหรือ?
“เราไม่ได้มามุ่งร้าย” จางเจี่ยฮุยแสร้งทำเป็นใจดีพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าแล้วพูดแก้เก้อว่า “เมื่อวานไม่รู้จักสถานะของพี่สะใภ้เจวี๋ย เลยชนกับนาง วันนี้เราตั้งใจมาขอโทษเป็นพิเศษ รบกวนแม่นางช่วยรายงานที”
“ไม่ว่าจะรายงานหรือไม่ก็เหมือนกัน สะใภ้ใหญ่จะไม่พบพวกท่าน” ม่านเหอยืนกราน หากรายงานไป ไม่แน่อาจจะได้พูดคุยกัน มิสู้ปฏิเสธเองยังจะดีเสียกว่า ต่อให้จะมีอะไรก็ตาม ก็จะไม่ปล่อยให้ผู้คนจับจุดอ่อนของสะใภ้ใหญ่ได้
“เป็นไปได้หรือที่พี่สะใภ้เจวี๋ยจะไม่ไว้หน้าเช่นนี้?” ลูกผู้ลากมากดีคนที่สองเอ่ย เป็นลูกนอกสมรสของตระกูลจ้าวในอี้โจวหัวเราะพลางกล่าวต่อ “แม่นางควรไปรายงานสักคำจะดีกว่า เพื่อแสดงความจริงใจของพวกเรา จึงได้นำของขวัญสำคัญมามอบให้ หากพี่สะใภ้เจวี๋ยรู้ว่าเจ้าทึกทักทำเองโดยพลการ ทำให้นางพลาดโอกาสจะได้รับของขวัญ ก็ไม่รู้ว่าจะจัดการกับเจ้าอย่างไร”
“ถูกต้อง นายน้อยใช้เงินจำนวนมากซื้อกล่องเครื่องประดับที่ดีที่สุด มีทับทิมเก้าเม็ดโตฝังอยู่ด้วย ถ้าสะใภ้ใหญ่ของเจ้าได้เห็น จะต้องเบิกบานใจเป็นแน่” ลูกอ๋องฉีกล่าวกับม่านเหออย่างหยิ่งยโสพร้อมจับกล่องเครื่องประดับที่มีอัญมณีเลื่อมฝังอยู่ในมือกลับไปกลับมา
“ของสิ่งนั้นนับเป็นกระไรได้? ข้ามีไข่มุกทะเลบูรพาที่ดีที่สุดอยู่ที่นี่แล้ว เมื่อสะใภ้ใหญ่ของเจ้าได้เห็นจะบินเหินลงมาแน่นอน” ลูกอนุภรรยาจ้าวเปิดกล่องไม้ในมือออก มีสร้อยคอไข่มุกอันอวบอิ่มเปล่งแสงอ่อนๆ เส้นหนึ่ง
“พวกเจ้านี่โง่จริงๆ!” ลูกผู้ลากมากดีคนที่สี่ที่ยังไม่รู้ว่ามีคุณชายสุรุ่ยสุร่ายจากตระกูลมั่งคั่งมองพวกเขาอยู่อย่างดูถูกเหยียดหยามแล้วกล่าวว่า “ของพรรค์นี้คืออะไร? นายน้อยข้าได้เตรียมเพชรหายากมา หากหญิงงามเห็นเข้าจะกระโจนเข้าหาแน่นอน”
“ผู้น้อยไม่ทราบว่าพี่สะใภ้เจวี๋ยชอบอะไร จึงเตรียมตั๋วแลกเงินหนึ่งหมื่นตำลึงมาให้พี่สะใภ้เจวี๋ย พี่สะใภ้เจวี๋ยชอบอะไรเลือกได้เองเลย” จางเจี่ยฮุยยังคงแสร้งทำเป็นอ่อนโยนแล้วพูดว่า “แม่นางโปรดบอกสิ่งเหล่านี้กับพี่สะใภ้เจวี๋ยด้วย ข้าคิดว่าพี่สะใภ้เจวี๋ยจะไม่ลังเลมาพบเราสักครั้งแน่ ขอให้เราได้แสดงความจริงใจสักหน่อยเถิด”
ม่านเหอตัวสั่นด้วยความโกรธ พวกเขาจะมาขอโทษอย่างนั้นหรือ? พวกเขาคิดว่าสะใภ้ใหญ่ของตระกูลซั่งกวนเป็นอะไรกันแน่?
—————–