เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 158 ความคิดของพิงถิง
“พวกคนไร้ประโยชน์อย่างไรก็ไร้ประโยชน์อยู่วันยังค่ำ!” ทั่วป๋าฉินซินกล่าวเสียงเรียบเย็นอยู่ข้างทั่วป๋าซู่เยวี่ย “ข้าคิดว่าจะมีฝีมือร้ายกาจอะไรเสียอีก? ที่แท้ก็พวกลูกตระกูลไม่เอาไหนแสร้งเล่นละครออกมาเท่านี้?”
แม่นมหนิงมุมปากกระตุกยิบ กลับไม่กล้าพูดอะไร แต่หนิงซินนั้นขยำผ้าเช็ดหน้าในมือจนยับยู่ยี่ไปหมดแล้ว ไม่ว่าจะพูดอย่างไรอวี่ไข่ก็คิดอยากจะช่วยนาง แม้ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นไร นางก็ไม่ควรจะไม่เห็นใจคนเช่นนี้! ส่วนพิงถิงนั้นเอาแต่นั่งก้มหน้าก้มตา ราวกับไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น
“ฉินซิน อวี่ไข่ทำขนาดนี้ก็เพราะมีเหตุผล!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยกล่าวเสียงดังกระจ่าง เผยสีหน้าไม่ยินดีอยู่บ้าง ต้องรู้ว่าอวี่ไข่นั้นได้บอกแผนกับนางแล้ว นับเป็นเพียงเรื่องที่เหนือความคาดหมายเล็กน้อยเท่านั้น แต่ก็ต้องพูดว่า ยังคงไม่ได้คลาดเคลื่อนจากจุดประสงค์ที่คาดการณ์ไว้ ยามนี้เรื่องเพียงเพิ่งจะเริ่ม ฉินซินไม่มีความจำเป็นต้องกล่าวเหน็บแนมทำลายน้ำใจ อีกอย่าง แม้ว่าเรื่องนี้จะล้มเหลวจริงๆ ฉินซินก็ไม่ควรทำเช่นนี้ เรื่องนี้อวี่ไข่ได้เอาตัวเองแบกรับความเสี่ยงอย่างใหญ่หลวง หากทำให้ฮ่าวเอ๋อร์และเจวี๋ยเอ๋อร์ล่วงรู้ถึงต้นสายปลายเหตุของเรื่องทั้งหมด ก็ยังไม่รู้ว่าจะจัดการกับอวี่ไข่อย่างไร!
“มีเหตุผลรึ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็เอาแต่ปิดบังไว้ พูดแต่ให้ข้าอดทนผูกสัมพันธ์กับนังผู้หญิงเลวคนนั้น แต่กลับไม่ยอมให้ข้ารู้ว่าเรื่องมันเป็นมาอย่างไรกันแน่ หรือกังวลว่าข้าจะหลุดเผยเรื่องออกไป? ไม่ก็กังวลว่าปากคนอื่นจะอยู่ไม่นิ่ง?” สิ่งที่ทั่วป๋าฉินซินเกลียดที่สุดก็คือมีเพียงทั่วป๋าซู่เยวี่ยและอวี่ไข่ที่กระจ่างในเรื่องทั้งหมดทั้งมวล คนอื่นๆ ล้วนแต่ถูกปิดบังกันหมด สถานการณ์เช่นนี้ทำให้นางรับไม่ไหวจริงๆ
“คนมาก เรื่องก็มากตาม อย่างไรฉินซินก็อดทนเอาหน่อยเถิด!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยไม่ได้พูดถึงเหตุผลที่อวี่ไข่ปิดบังต่อคนอื่น ทำได้เพียงให้มันผ่านพ้นไปอย่างลวกๆ เช่นนี้ มีช่างมากก็ยากจะสร้างบ้านให้สำเร็จได้ตามแบบ โดยเฉพาะฉินซิน หากรู้ว่าพวกเขาจะทำอย่างไร ย่อมรู้ได้ว่าครั้งนี้พวกเขาจะสำเร็จแน่ ถึงเวลานั้นนางย่อมวางมาดหยิ่งยโสไปอวดตัวที่เรือนมีคู่ เมื่อทำให้คนจับสังเกตเตรียมการณ์ได้ นั่นก็ไม่ดีแล้ว
“คนมาก?” ทั่วป๋าฉินซินชอบที่จะรู้เรื่องทุกอย่างมากกว่า ไม่ชอบที่ทั้งๆ ตัวเองมีส่วนร่วมแต่กลับถูกปิดบังไว้เช่นนี้ กล่าวอย่างโมโห “คนหนึ่งเป็นมารดาบังเกิดเกล้าของเขา อีกคนหนึ่งเป็นยายของเขา แล้วก็มีอีกคนที่เป็นน้องสาวของเขาเอง ใครจะเอาไปพูดได้อีก?”
“ฉินซิน…” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยไม่ชอบอย่างมากที่นางพูดเช่นนี้ ยิ่งไม่ชอบขึ้นไปอีกที่นางกล่าวว่าแม่นมหนิงเป็นยายของอวี่ไข่ นั่นทำให้ทั่วป๋าซู่เยวี่ยรู้สึกฐานะต่ำต้อยไปด้วย น้ำเสียงจึงแฝงด้วยความตักเตือน
“ข้าถูกบีบจนจะบ้าอยู่แล้ว!” ทั่วป๋าฉินซินตะโกนเสียงดัง “หลายวันมานี้ข้ามักจะฝันร้าย เอาแต่ฝันว่าต้นสาลี่สองต้นนั้นได้เฉาตายไปแล้ว ท่านพี่ก็เพิกเฉยไม่สนใจทิ้งข้าไปอย่างเยือกเย็น…แรกเริ่มเหตุใดข้าต้องปลูกต้นสาลี่ ท่านย่า ปีนั้นไยท่านจึงไม่บอกข้าว่าต้นสาลี่มีนิมิตหมายที่ไม่ดี?”
ทั่วป๋าซู่เยวี่ยนิ่งเงียบไปสักพัก ใช่แล้ว เรื่องนี้ตั้งแต่เริ่มก็มีนิมิตหมายที่ไม่ดีเท่าไร ครุ่นคิดก่อนกล่าวออกไป “แผนของอวี่ไข่คือ…พิงถิง เจ้าทำอะไร?”
“ท่านย่า อย่างไรข้าไม่ต้องฟังจะดีกว่า!” พิงถิงยิ้มอย่างจืดชืด “ข้าเพียงปรากฏตัวกับผู้หญิงคนนั้นในงานชมดอกบัวครั้งเดียวก็ถูกคนสงสัยเสียแล้ว หากเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไปจริงๆ คนที่จะโดนสงสัยเป็นคนแรกย่อมเป็นข้า ดังนั้นให้ข้าเป็นเพียงผู้ชมจะดีกว่า! หากถึงยามที่ต้องใช้งานข้า ท่านย่าออกคำสั่งมาก็พอแล้ว!”
ทั่วป๋าฉินซินถลึงตามองพิงถิงไปที ในงานชมดอกบัวนางจำไม่ได้ว่าตัวเองได้เพิกเฉยต่อพิงถิง แต่กลับแค้นใจที่พิงถิงปรากฏตัวพร้อมเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ภายหลังยิ่งสนิทสนมกับฉีอวี่เจวียน จึงไปฟ้องร้องต่อหน้าทั่วป๋าซู่เยวี่ย ทำให้ทั่วป๋าซู่เยวี่ยกล่าวสั่งสอนพิงถิงไปชุดใหญ่ แต่นางก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองทำผิดแม้แต่น้อย
แม่นมหนิงมีฐานะเดิมเป็นสาวใช้ใหญ่ของทั่วป๋าซู่เยวี่ย ครอบครัวของนางล้วนเป็นทาสในเรือนเบี้ยของตระกูลทั่วป๋า หนิงซินก็ถือเป็นบ่าวของตระกูลทั่วป๋าและตระกูลซั่งกวน เช่นนั้นอวี่ไข่และพิงถิงอย่างน้อยที่สุดก็มีความเป็นบ่าวหนึ่งในสี่ของตระกูลทั่วป๋า อย่าพูดถึงเรื่องสั่งสอนตำหนิเลย แม้จะทำเรื่องไม่ดีต้องตีสั่งสอนก็ยังต้องดูอารมณ์ของนาง แล้วนี่อะไร แค่เรื่องเล็กๆ ก็กล้าเก็บมาถือโทษโกรธนาง?
“ก็ดี เจ้ากลับห้องไปก่อนเถิด!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยเข้าใจความหมายของพิงถิง นั่นก็คือนางไม่อยากเป็นคนที่ตกเป็นแพะรับบาปอีกแล้ว ครุ่นคิดดูก็รู้สึกว่านางน่าสงสารพอแล้ว จึงปล่อยให้นางไป
“บ่าวไพร่อย่างไรก็คือบ่าวไพร่ แม้ว่าครึ่งหนึ่งจะมีสายเลือดชนชั้นสูงก็เปลี่ยนแปลงกมลสันดานที่อยู่ในตัวบ่าวไพร่ไม่ได้!” ทั่วป๋าฉินซินด่าไปทั่วอย่างไม่สนใจอันใด แทบไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกของแม่นมหนิงและอนุภรรยาหนิงเลยสักนิด
“เอาเถิด อย่าพูดคำไม่มีประโยชน์พวกนั้นอีกเลย!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยอดไม่ไหวเผยสีหน้าทะมึนออกมา รู้สึกว่าฉินซินเกินไปอยู่บ้าง ดูท่าอย่างไรก็ต้องตักเตือนเสียหน่อย มิเช่นนั้นท้ายที่สุดก็ต้องหาเรื่องให้ตนเองเป็นแน่
ทั่วป๋าฉินซินเผยสีหน้าดำคล้ำอย่างไม่ยินดีเช่นกัน แต่ท้ายที่สุดก็ยังจำได้ว่ายามนี้ตนเองต้องพึ่งคนอื่น หลังจากปล่อยบรรยากาศตึงเครียดไว้สักพัก ก็ยกยิ้มขึ้นมา “แม่นมหนิง อนุภรรยาหนิง ต้องขอโทษจริงๆ สองวันมานี้ข้าอารมณ์ไม่ดีมาโดยตลอด เสียมารยาทแล้ว อย่างไรขอพวกเจ้าให้อภัยด้วย!”
แม่นมหนิงส่งสายตาเย็นเยียบให้อนุภรรยาหนิงฝืนกลืนคำพูดที่กระจุกปากลงไป นางกล่าวยิ้มๆ “คุณหนู พูดอะไรกัน ท่านเป็นคุณหนูของตระกูลทั่วป๋า แม้ว่าบ่าวจะตามฮูหยินใหญ่ออกมาจากตระกูลทั่วป๋า แต่อย่างไรก็ยังคงเป็นบ่าวของตระกูลทั่วป๋าอยู่ดี ท่านพูดเช่นนี้บ่าวคงจะรับไม่ไหวเจ้าค่ะ!”
“เอาเถิด ล้วนเป็นคนกันเองทั้งนั้น พูดให้เข้าใจกันแล้วก็ดี!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยพอใจในท่าทีของแม่นมหนิงเป็นอย่างมาก กล่าวด้วยรอยยิ้ม “อย่างไรก็บอกแผนอวี่ไข่กับพวกเจ้าดีกว่า! ไม่ใช่ว่าข้าที่เป็นย่าชมเขานะ แต่แผนครั้งนี้ของเขายอดเยี่ยมไร้ที่ติจริงๆ แม้ว่าจะเกิดเรื่องเหนือความคาดหมายไปบ้าง แต่ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่สำเร็จ…”
ทั่วป๋าซู่เยวี่ยเล่าแผนการของอวี่ไข่ออกมา ใบหน้าของทั่วป๋าฉินซินก็ปรากฏรอยยิ้มตาม “อวี่ไข่เก่งกาจจริงๆ ด้วย หากเรื่องครั้งนี้สำเร็จ ข้าย่อมจะแนะนำคุณหนูตระกูลสูงส่งให้เขาสักคนสองคน ท่านย่า เฉกเช่นตระกูลของพวกเรานี้ไม่อาจแต่งคุณหนูลูกภรรยาเอกให้กับลูกอนุได้อยู่แล้ว แต่ตระกูลที่ด้อยลงมาหน่อยก็ไม่เป็นปัญหา ข้าว่าตระกูลจางแห่งเหยี่ยนโจวไม่เลวเลย ครั้งนี้จางเจี่ยฮุยถูกอวี่ไข่หลอกใช้งาน ลูกภรรยาเอกตระกูลจางล้วนชิงชังเขาเข้าไส้ หากล่วงรู้ย่อมต้องตบมือร้องอย่างดีใจ อวี่ไข่ก็นับว่าจะมีคู่ครองที่ดี ถึงเวลานั้นข้าก็จะช่วยเป็นแม่สื่อ ให้ท่านพ่อและท่านพี่กดดันและแลกผลประโยชน์เล็กน้อย เรื่องนี้ก็นับว่าเป็นไปได้!”
“เรื่องนี้จำเป็นต้องใช้เวลาครุ่นคิด ไม่รีบ!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยแววตาแข็งทื่อไปเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรจะแสดงความคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้ อวี่ไข่อยากจะแต่งกับคุณหนูลูกภรรยาเอกของตระกูลใหญ่ชั้นหนึ่ง ไม่ใช่คุณหนูตระกูลชั้นสองหรือลำดับล่างพวกนั้น หากเขาคิดอย่างที่ฉินซินพูด ลี่โจวกลับมีคุณหนูประเภทนั้นมากมาย ขอเพียงแค่ตัวเองออกปาก พวกนางย่อมตามกันมาให้เลือกทั้งนั้น ยังจะต้องยืมแรงจากตระกูลทั่วป๋าไปอีกทำไม? ไม่มีหูตาเอาเสียเลย!
อนุภรรยาหนิงใช้เวลานานกว่าจะข่มกลั้นโทสะลงไปได้ นางกระจ่างใจดี ทั่วป๋าฉินซินยังคงไม่เห็นพวกตนอยู่ในสายตา กล่าวว่าเป็นแม่สื่อแทบไม่ต่างอะไรกับการให้ทาน แต่ว่า…นางคิดหรือว่าพอแต่งเข้าตระกูลซั่งกวนแล้วทุกเรื่องก็จะราบรื่น? ตรงกันข้าม นั่นเป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น…
———————————–
“ท่านพี่ นี่ท่านเป็นอะไรกัน?” พิงถิงเห็นดวงตาม่วงคล้ำของอวี่ไข่ ทั้งฝีเท้าที่ซวนเซ ก็ร้องเรียกออกมา คาดไม่ถึงว่าตัวเองที่อยากจะเจอหน้าพี่ชายที่ไม่ได้พบมาหลายวัน กลับต้องมาเจอกับเรื่องเช่นนี้
“ไม่มีอะไร ซี๊ด…เจ้าหมาหมู่พวกนี้ ลงมือหนักเสียจริง!” อวี่ไข่พยายามหย่อนกายลงเก้าอี้อย่างระมัดระวัง แต่ก็เจ็บจนเด้งตัวขึ้นมา ดูท่าคงจะบาดเจ็บที่ก้น ทำให้พิงถิงที่เห็นรู้สึกเสียใจและสงสาร แม้จะพูดว่าพี่ชายคนนี้ไม่ใช่คนดีอะไร แต่เขาก็นับว่าดีต่อนางอยู่
“เป็นฝีมือของใคร?” พิงถิงดึงยาใส่แผลออกมา ก่อนจะค่อยๆ เช็ดบนหน้าเขาอย่างระมัดระวัง คำพูดเพิ่งจะหลุดออกจากปาก ในใจก็ปรากฏคำตอบแล้ว กล่าวทั้งยิ้มขมขื่น “เป็นฝีมือของคนที่น่ารังเกียจไม่เอาไหนพวกนั้นใช่หรือไม่?”
อวี่ไข่ได้เอาเรื่องที่เชิญคนพวกนั้นกลับจวนมาบอกกล่าวกับนางไม่ให้ออกจากเรือน นางก็หลบอยู่แต่ในเรือนอย่างเชื่อฟังไม่กล้าโผล่หน้าออกมา แต่ก็รู้ว่าวันนี้คนพวกนั้นจะถูกส่งออกไปตอนกลางวัน และอวี่ไข่ยังจำเป็นต้องออกไปส่งอำลาอีก
“นี่เป็นเพราะข้าหาเรื่องใส่ตัวเอง!” อวี่ไข่หัวเราะอย่างขมขื่น พวกเขาทั้งห้าแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเสียเปรียบขนาดนี้มาก่อน ถูกคลุมโปงตีไม่ว่า ยังถูกพ่อบ้านจิ่นคุมตัวส่งกลับเรือนเหนือด้วยสภาพทุลักทุเลเหลือทน หากไม่ใช่ว่าพวกเขาบาดเจ็บ ทั้งยังเอาแต่ร้องโอดโอย พวกบ่าวที่เปลี่ยนเสื้อผ้าให้พวกเขาก็คงส่งออกจากจวนตระกูลซั่งกวนไปแล้ว แต่พอเห็นพวกเขาปวดไปทั้งตัวจนเหงื่อแตกพลั่ก ซั่งกวนจิ่นก็กังวลว่าจะไปตีถูกจุดสำคัญอะไรเข้า กลัวว่าหากเจ็บตายขึ้นมาก็ลำบากแล้ว จำต้องเรียกหมอมาดูอาการบาดเจ็บให้พวกเขา
ผลลัพธ์คือหมอกล่าวว่า แม้จะบาดเจ็บเพียงภายนอก แต่เพราะได้รับความตกใจ จึงรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่างกาย ควรให้พักฟื้น จำต้องอยู่ต่ออีกหนึ่งคืน เช้าตรู่ของวันนี้นับว่าดีขึ้นมามาก ทั้งยังนึกขึ้นได้ว่าถูกเขาเป่าหูปลุกปั่น…ลูกผู้ลากมากดีพวกนั้นจึงตรงมาเอาคืนเขา ไม่พูดพร่ำอันใดให้มากความ ในยามที่พบเขา ก็ถลันเข้ามารุมต่อยตีทันที ดีว่าที่นี่คือตระกูลซั่งกวน พวกบ่าวไพร่ไม่น้อยที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็พากันเข้ามาปกป้อง มิเช่นนั้นก็คงต้องถูกเอาชีวิตไปแล้วจริงๆ!
เพียงแต่…อวี่ไข่ส่ายหัวเล็กน้อย ภายหลังหากพบพวกเขาต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น ลูกอ๋องฉีได้ประกาศิตออกมาแล้วว่า แค้นนี้ย่อมต้องชำระ วันหลังหากเจอก็เตรียมตัวโดนดี ตัวเองเพียงแต่ต้องระมัดระวังหน่อยก็เท่านั้น
“ท่านเนี่ยนะ อยู่ดีๆ จะไปยั่วพวกเขาให้ได้เรื่องทำไม!” พิงถิงบ่นออกมา “ท่านไม่ต้องพูดหรอก ข้ารู้ว่าท่านทำเพราะอะไร เพื่ออยากช่วยทั่วป๋าฉินซินสินะ? แต่ท่านได้คิดบ้างหรือไม่ว่า ท่านทำเช่นนี้มีประโยชน์อันใด คนเขาใช่ว่าจะซาบซึ้งในน้ำใจเสมอไป! นางเป็นใคร เป็นคุณหนูสูงศักดิ์ของตระกูลทั่วป๋า ตั้งแต่เกิดมาก็ลอยตัวอยู่เหนือผู้คน รอจนนางสมปรารถนาแล้ว ก็ย่อมลืมว่าท่านเป็นใครโดยสิ้นเชิง ท่านอย่าได้คิดว่านางจะซาบซึ้งในบุญคุณ!”
“ข้ารู้!” อวี่ไข่ยิ้มขมขื่น “แต่ข้าไม่มีทางถอย ข้าต้องเชื่อฟังคำสั่งท่านย่า ขับไล่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ออกไป ส่วนเรื่องที่ทั่วป๋าฉินซินจะแต่งเข้ามาได้หรือไม่ได้นั้นก็ไม่ใช่เรื่องของข้าแล้ว หากนางสามารถแต่งเข้ามาได้ก็นับเป็นเรื่องดี อย่างน้อยในมือของข้าก็กำจุดอ่อนของนางไว้ สามารถฉวยโอกาสใช้ประโยชน์ได้ทุกเมื่อ!”
“แต่ท่านได้คิดบ้างหรือไม่ว่า หากเรื่องนี้ล้มเหลวขึ้นมาจะมีผลลัพธ์อย่างไร? หากท่านพ่อและพี่ใหญ่รู้จะเป็นเช่นไร?” พิงถิงไม่ได้บอกว่าหากให้นางเลือก นางย่อมเลือกเยี่ยนมี่เอ๋อร์ อย่างน้อยยามที่นางอยู่ใกล้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็รู้สึกได้ถึงความปรารถนาดี ในขณะที่ทั่วป๋าฉินซินกลับมอบเพียงความดูหมิ่นดูแคลนให้เท่านั้น
“ข้าสนใจเรื่องมากมายขนาดนั้นไม่ไหวหรอก ข้าทำได้เพียงแค่เชื่อฟังคำสั่งของท่านย่า มิเช่นนั้นข้าย่อมถูกหมั้นหมายกับใครไม่รู้เรื่อยเปื่อย หลังจากแต่งงานก็จะถูกตัดหางปล่อยวัดทันที!” อวี่ไข่กล่าวด้วยใบหน้าดุดัน “ข้าไม่อาจห่วงหน้าพะวงหลัง ทำได้เพียงเดินบนเส้นทางที่ดำมืดนี้ไปจนสุดสาย! พิงถิง เจ้าไม่เข้าใจหรอก!”
เช่นนั้นข้าล่ะ? มีใครเคยนึกถึงข้าบ้าง? พิงถิงขมขื่นอยู่ในใจ คล้ายกับว่าไม่มีใครนึกถึงตัวเองเลย ยิ่งไม่เคยปรึกษาหารืออะไรกับนางแม้แต่คำเดียว แต่นางกลับกระจ่างใจดี พวกเขาไม่อาจทำสำเร็จ…
นึกถึงเรื่องจอมยุทธ์หญิงสามคนที่ถูกทำเสียหน้าในอดีต ทั้งความปรารถนาดีของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่เกาะน้ำแร่เย็น ตาชั่งที่โย้เย้อยู่นาน ในที่สุดก็เอนเอียง…
————————