เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 176 ทิศลมเปลี่ยน
เรื่องสนุกของเมืองลี่โจวในวันนี้เกิดขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน เรื่องราวที่มีท่าทีราวกับไม่จบไม่สิ้นทำให้คนที่ชื่นชอบความสนุกประเภทต่างๆ ได้หายสมใจอยากเลยทีเดียว
คนที่ชอบดูเรื่องเลือดสาด ก็เชิญได้ที่หอวีรบุรุษ! แม้จะกล่าวว่าคนพวกนั้นถูกคนของตระกูลทั่วป๋าเคลื่อนย้ายไปแล้ว แต่โซ่เหล็กที่เสียบคนนั้นยังคงหลงเหลืออยู่ ทั้งรอยเลือดที่เปรอะเปื้อนบนพื้นก็ยังไม่ได้ทำความสะอาดไปเช่นกัน มองคราบเลือดพวกนั้นบนพื้นดิน ฟังคนที่อยู่ในเหตุการณ์บรรยายฉากน่าอนาถนั้นอย่างออกรส ทั้งยังสมจริงสมจัง ก็ไม่ยากที่จะรู้สึกถึงความสงสารที่คนพวกนั้นขายชีวิตเพื่อเจ้านายจนมาถึงจุดที่น่าเวทนา แต่เจ้านายกลับไม่โผล่ออกมาเพราะห่วงเรื่องหน้าตา แน่นอนว่าก็มีคนไม่น้อยที่ดูถูกดูแคลนตระกูลทั่วป๋าเช่นกัน…สำหรับตระกูลซั่งกวนที่เป็นผู้สร้างสถานการณ์นี้ กลับกลายเป็นว่าได้สร้างความเชื่อมั่นแทน เดิมทีชาวยุทธภพ หากติดค้างบุญคุณก็ต้องรีบคืน ติดหนี้แค้นก็ต้องรีบชำระอยู่แล้ว ถูกคนตามไปรังแกถึงหน้าประตู หากยังไม่โต้กลับอย่างเด็ดขาดก็จะทำให้คนดูถูกได้ ยามนี้จึงถือเป็นเรื่องเล็กๆ เท่านั้น
หากอยากจะดูเรื่องเศร้า ก็เชิญที่โรงเตี๊ยมเทียนเค่อหลาย! โรงเตี๊ยมเทียนเค่อหลายถูกชาวยุทธภพห้าคนที่ได้ยินข่าวลือมาเล็กน้อยว่าเป็นลูกผู้ลากมากดีเหมาไว้ทั้งหมด เล่าถึงเรื่องที่พวกเขาถูกคนหลอกใช้อย่างน่าสงสาร และคนที่หลอกใช้พวกเขาก็คือทั่วป๋าฉินซิน คุณหนูสี่ตระกูลทั่วป๋าที่แทบไม่มีความเห็นอกเห็นใจคนอื่นผู้นั้น
กล่าวว่างานชมดอกบัวเดือนหก พวกเขาได้รับคำเชิญมาเข้าร่วมงาน ทั้งอยากจะทำความรู้จักพวกคุณหนูที่ใจกว้างงดงามจากตระกูลอื่นๆ บ้าง แต่ว่าพวกเขาก็เข้าใจถึงชาติกำเนิดของตนเองดี ผู้ที่อยากจะผูกสัมพันธ์ด้วยก็ล้วนเป็นคุณหนูลูกอนุภรรยาทั้งนั้น และในยามนั้น ซั่งกวนอวี่ไข่ ลูกชายอนุภรรยาของนายท่านซั่งกวนก็ปรากฏตัวขึ้น คนเจ้าเล่ห์ผู้นี้ได้เริ่มผูกมิตรกับพวกเขาก่อน หลังจากได้รวมกลุ่มกับพวกเขาแล้ว ก็ได้นัดพวกเขาเข้าออกแหล่งกามอารมณ์ พวกเขาชะล่าใจจึงไม่ได้คิดตรวจสอบอันใด ได้นับคนไร้ยางอายผู้นี้เป็นสหายอย่างแท้จริง และเดือนนี้วันที่เก้า ซั่งกวนอวี่ไข่ก็เชิญพวกเขาเข้าไปในตระกูลซั่งกวน ที่นั่นพวกเขาได้พบกับทั่วป๋าฉินซิน
ทั่วป๋าฉินซินได้นัดพบพวกเขามาทำความรู้จัก ทว่ากลับหาคนมารุมตีพวกเขาอย่างเลือดเย็น กล่าวว่าพวกเขามีใจคิดไม่ซื่อ ตั้งใจล่วงเกินนาง พวกเขาไม่อาจแก้ต่าง ทำได้เพียงร้องขอชีวิตกับหญิงโหดเหี้ยมผู้นั้น และในเวลานั้น ผู้หญิงใจดำอำมหิตคนนั้นก็เปิดเผยด้านที่น่ารังเกียจออกมา ต้องการให้พวกเขาไปยั่วยุสะใภ้ใหญ่ถึงที่พัก ทั้งให้หาโอกาสลวนลามสะใภ้ใหญ่ของตระกูลซั่งกวน นางถึงกระทั่งโกหกพวกเขาว่า เรื่องทั้งหมดนี้ล้วนได้รับการยินยอมจากฮูหยินใหญ่ซั่งกวน ดังนั้นเมื่อถูกบีบจนจนใจ พวกเขาก็ทำได้เพียงทำตามแผนที่หญิงสาวทั่วป๋าจัดการไว้ เข้าไปพูดจาเพ้อเจ้อหยาบคายต่อหน้าที่พักของสะใภ้ใหญ่ผู้นั้น
พวกเขาที่น่าสงสารไม่ทันได้เห็นสะใภ้ใหญ่ที่ว่ากันว่างดงามราวเทพธิดาผู้นั้นก็มาถูกพวกบ่าวใช้ออกมาตีเสียก่อน ทำให้ทั่วทั้งร่างล้วนแต่มีบาดแผล (ในยามที่พูดถึงตรงนี้ก็มักจะมีลูกผู้ลากมากดีคนหนึ่งเปิดเสื้อให้ดูถึงบาดแผลที่ยังไม่สมานดีของพวกเขา) สิ่งที่น่ารังเกียจยิ่งกว่าก็คือซั่งกวนอวี่ไข่และทั่วป๋าฉินซินฉวยโอกาสได้ทีขี่แพะไล่ ขับไล่พวกเขาออกมา ดีที่พ่อบ้านใหญ่ตระกูลซั่งกวนเห็นว่าพวกเขาบาดเจ็บไม่น้อย จึงพาพวกเขาไปยังเรือนสดับวายุเพื่อรักษา แต่ไม่ทันได้พ้นสองวัน เรือนสดับวายุก็ถูกคนกลุ่มหนึ่งบุกเข้ามา จากปากของคนพวกนั้น พวกเขาจึงได้รู้ว่าเหตุใดพวกเขาจึงได้ประสบเคราะห์ภัยที่ไม่มีเค้าลางมาก่อนเช่นนี้
ที่แท้หลังจากที่พวกเขาออกจากตระกูลซั่งกวน ฮูหยินใหญ่ซั่งกวนก็ใช้เหตุผลที่สะใภ้ใหญ่ซั่งกวนและพวกเขาลอบมีความสัมพันธ์กัน บีบบังคับให้สะใภ้ใหญ่ผู้นั้นออกจากจวนไป ไม่รู้ว่าเพราะอะไร พวกเขาจึงปักใจเชื่อว่าสะใภ้ใหญ่ผู้นั้นได้หลบหนีไปยังเรือนสดับวายุ ในขณะเดียวกันรู้ว่าพวกเขาทั้งห้าคนถูกพาตัวไปไว้ที่เรือนสดับวายุ ดังนั้นจึงตัดสินใจออกคำสั่งนองเลือดที่เรือนสดับวายุ ส่งลิ่วล้ออาศัยความมืดอำพรางตัว ไปสังหารคนที่เรือนสดับวายุ น่าเสียดายที่อย่างไรธรรมะก็ย่อมชนะอธรรม จึงถูกตระกูลซั่งกวนสังหารคนแล้วคนเล่า
พวกเขาในยามนี้ได้รับอิสระอีกครั้ง ดังนั้นจึงตัดสินใจปรักปรำซั่งกวนอวี่ไข่และทั่วป๋าฉินซินผู้ซึ่งหลอกลวงพวกเขา ให้พวกนั้นได้คืนความยุติธรรมและความบริสุทธิ์ให้กับพวกตนเอง…
เมิ่งเจียงหนาน อาจารย์อี้สื่อของหอยุทธภพอี้สื่อตั้งใจตามมาถึงโรงเตี๊ยมเทียนเค่อหลาย เพื่อซักถามลูกผู้ลากมากดีที่เคราะห์ร้ายต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก ให้คนที่มามุงดูยิ่งเข้าใจเบื้องลึกเบื้องหลังในเวลานั้นมากขึ้นไปอีก
ประโยคแรกเมิ่งเจียงหนานก็ถามว่า “ต้องขออภัยหากข้ากล่าวตรงไป ทั้งห้าท่านล้วนนับว่าเป็นคุณชายเสเพลที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ พวกตระกูลต่างๆ ก็รับรู้กันอยู่บ้าง ล้วนไม่อยากจะผูกสัมพันธ์กับท่านทั้งห้าเป็นการส่วนตัว แล้วจะให้พวกเราเชื่อได้อย่างไรว่าคำพูดของพวกท่านทั้งหมดเป็นเรื่องจริง?”
จางเจี่ยฮุยมองเมิ่งเจียงหนานด้วยใบหน้าที่ขมุกขมัว กล่าวอย่างเรียบเย็น “พวกเราไม่มีชื่อเสียงอันดีงามอะไรอยู่แล้ว ในแวดวงตระกูลใหญ่ต่างก็รู้ถึงความเลวร้าย แต่ขอแค่พวกเจ้าลองคิดดู ย่อมสามารถรู้ได้ว่าเดือนก่อนซั่งกวนอวี่ไข่ล้วนคลุกตัวอยู่กับพวกเรา ภายหลังยิ่งหลอกล่อพวกเราให้เหมือนกลายเป็นสหาย เชิญพวกเราไปเป็นแขกที่ตระกูลซั่งกวน จุดนี้ปลอมแปลงกันไม่ได้หรอก ซั่งกวนอวี่ไข่และทั่วป๋าฉินซินตั้งใจวางแผนบีบให้พวกเราไปท้าทายถึงหน้าประตู ให้พวกเราได้รับบาดเจ็บทั้งคำสาดเทเสียหาย ไม่ได้นับเป็นเรื่องที่น่าเชิดหน้าชูตาอันใด หากลองถามพวกบ่าวใช้ของตระกูลซั่งกวนก็สามารถรู้ได้ พวกเราไม่ได้ไร้ยางอาย ไม่รู้คิดถึงขนาดที่จะฉีกหน้าตัวเองเพื่อใส่ร้ายคนอื่นหรอก”
“โดยเฉพาะเจ้าซั่งกวนอวี่ไข่ที่หน้าไม่อายคนนั้น จงใจเข้าใกล้พวกเรา หากข้าเจอเขาเมื่อใดก็จะจัดการเมื่อนั้น จะตีจนให้มารดาจำเขาไม่ได้เชียว!” ลูกอ๋องฉีตะโกนก้องเพิ่มบรรยากาศ
“ใช่ สุนัขชายหญิงคู่นี้ ไม่ได้นับเป็นสิ่งดีอันใดทั้งนั้น!” ลูกอนุตระกูลจ้าวกล่าวเสียงดัง เกลียดชังทั้งสองคนนั้นเข้ากระดูกดำ กล่าวอย่างดุดัน “ทั่วป๋าฉินซินผู้ต่ำช้าคนนั้นยังคิดจะแต่งให้กับซั่งกวนเจวี๋ย ข้าว่าหากหญิงสาวในใต้หล้าล้มหายตายจากทั้งหมด ซั่งกวนเจวี๋ยก็ยังคงไม่เลือกนางอยู่ดี! คนต่ำช้าไร้ยางอายเช่นนั้นถูกกำหนดให้แต่งไม่ออกไปชั่วชีวิต!”
“แค่กๆ…” เมิ่งเจียงหนานไอขึ้นมาดังๆ สองครั้ง “แต่ข้ารู้สึกว่าซั่งกวนอวี่ไข่ไม่มีความจำเป็นต้องช่วยทั่วป๋าฉินซินทำเรื่องเช่นนั้น โดยเฉพาะการคบค้าสมาคมกับพวกเจ้า หรือเขาไม่กังวลว่าผู้นำตระกูลซั่งกวนจะโมโหโกรธาเพราะเรื่องนี้แล้วขับไล่เขาออกจากตระกูลหรอกรึ?”
“เจ้าเป็นอาจารย์อี้สื่อไม่ใช่รึ? เรื่องแค่นี้ยังไม่รู้อีก!” ลูกอ๋องฉีมองเมิ่งเจียงหนานอย่างดูแคลน “ซั่งกวนอวี่ไข่นับเป็นสิ่งใด ก็เหมือนกับพวกข้า ล้วนแต่เป็นลูกอนุภรรยา คนที่ไม่อาจสืบทอดกิจการของตระกูลได้ประเภทนั้น ไปมาหาสู่กับพวกข้าแล้วจะเป็นไรเล่า อย่างไรเสียก็เชิดหน้าชูตาไม่ได้ ยังมิสู้หาโอกาสทำให้คนที่ถูกกำหนดให้สืบทอดกิจการเศร้าโศกเสียใจ เจ้าคนนี้ชั่วร้ายจริงๆ!”
“ข้าว่าไม่ใช่แบบนั้น!” จางเจี่ยฮุยกล่าวอย่างเรียบเย็น “ซั่งกวนอวี่ไข่ผู้นี้ชาติกำเนิดต่ำต้อยแต่มีใจคิดทะเยอทะยาน เขาคิดอยากจะเด่นเหนือคนอื่น จึงสร้างสถานการณ์ออกมา น่าเสียดายที่โชคไม่ดี ไม่ได้เกิดในท้องของฮูหยิน แต่ได้ถือกำเนิดโดยสาวใช้ที่มีฐานะต่ำต้อย ดังนั้นเขาจึงอยากแต่งกับคุณหนูตระกูลสูงส่ง อาศัยผู้หญิงเพื่อดันตำแหน่งขึ้น ทั่วป๋าฉินซินคงจะให้สัญญากับเขา หากสามารถนั่งในตำแหน่งสะใภ้ใหญ่ของตระกูลซั่งกวนได้ ก็จะให้เขาแต่งงานกับตระกูลดีๆ ดังนั้นเขาจึงได้กลายเป็นสุนัขรับใช้ของทั่วป๋าฉินซิน!”
“ใช่! ยังมียายแก่หนังเหนียวอีกคนที่คอยพยุงหลังพวกเขา ก็ไม่คิดเสียบ้าง หรือบางทีเพราะตระกูลซั่งกวนกังวลว่าจะมีตัวหายนะอย่างนางเพิ่มขึ้นมาอีกคน ดังนั้นจึงได้ยอมแต่งลูกสาวตระกูลพ่อค้าวานิช แทนที่จะรับทั่วป๋าฉินซิน ผู้หญิงคนนั้นเข้ามา!” ลูกอนุตระกูลจ้าวก่นด่า “ข้าว่าผู้หญิงตระกูลทั่วป๋าล้วนมีนิสัยใจคอเหมือนกัน แต่งเข้าตระกูลไปก็เหมือนเนื้อร้ายที่ลุกลามไม่สิ้นสุด!”
“อันนี้…” เมิ่งเจียงหนานถึงกับเหงื่อเย็นไหล “ท่านทั้งหลายอย่างไรก็ใจเย็นๆ เหลือศีลธรรมไว้หน่อยเถิด!”
“ศีลธรรม!” ลูกอ๋องฉีกระโดดขึ้นมา ถลาลงบนโต๊ะ กล่าวทั้งโลดเต้น “คนที่ไม่มีศีลธรรมก็คือพวกเขา ข้าว่าเรื่องนี้ไม่ได้ง่ายถึงขนาดนั้น ซั่งกวนอวี่ไข่ เจ้าเด็กคนนั้นจิตใจสกปรก เหตุใดจึงได้กระตือรือร้นช่วยเหลือทั่วป๋าฉินซิน ผู้หญิงแพศยาไร้ยางอายให้กลายเป็นพี่สะใภ้ถึงเพียงนั้น ข้าว่าพวกเขาต้องเล่นชู้กันแน่ๆ! ชาติกำเนิดของตนเองไม่ดี ไม่มีโอกาสสืบทอดกิจการ ดังนั้นจึงวางแผนให้พี่ใหญ่ของตนเองแต่งงานกับหญิงสาวที่มีสัมพันธ์สวาทกับตนเอง ถึงเวลานั้นก็จะทำให้ตัวเองกลายเป็นลูกภรรยาเอกของตระกูลซั่งกวน จากนั้นก็ยึดครองกิจการของตระกูลซั่งกวน ข้าว่าเป็นแบบนี้แหละ ไม่อย่างนั้นไฉนเขาจึงได้ตั้งอกตั้งใจช่วยเหลือผู้หญิงคนนั้น แม้กระทั่งชื่อเสียงของตนก็ไม่คิดจะสนใจ ทำร้ายพี่สะใภ้ใหญ่ตัวเองเช่นนั้น ก็ไม่กลัวเสียบ้างว่าผู้นำตระกูลซั่งกวนกลับมาจะฉีกเขาเป็น…”
คำพูดหยาบคายถูกสาดเทออกมาชุดใหญ่ ศัพท์ที่สรรหามาอย่างหลากหลายทำเอาเมิ่งเจียงหนานถึงกับนับถืออยู่เช่นกัน
“ข้าว่าน้องหยางเสียนพูดมิผิด!” จางเจี่ยฮุยกล่าวอย่างเยือกเย็น “ไม่อย่างนั้นคนที่เห็นแก่ตัวอย่างซั่งกวนอวี่ไข่จะช่วยเหลือทั่วป๋าฉินซินได้อย่างไร ไม่แน่ว่าในท้องของทั่วป๋าฉินซินอาจจะมีเมล็ดพันธุ์ของเขาอยู่แล้วก็ได้ แม้ว่าวีธีการเช่นนี้จะพบได้ไม่บ่อย แต่ก็มีไม่น้อยเช่นกัน ทั้งสองคนเป็นพี่น้องกันจริงๆ แม้จะใช้วีธีตรวจเลือดนับญาติ[1]ก็พอเอามาปลอมปนกันได้ ซั่งกวนอวี่ไข่ช่างร้ายกาจจริงๆ!”
“ข้าก็ว่าแปลกๆ ซั่งกวนอวี่ไข่ยักคิ้วหลิ่วตาใส่ผู้หญิงอสรพิษนั้นไปพลาง ทั้งวางแผนให้ผู้หญิงคนนั้นกลายเป็นพี่สะใภ้ใหญ่ของตนเองไปพลาง ที่แท้ก็มีแผนเช่นนี้!” ลูกอนุตระกูลจ้าวรับบทสนทนาต่อทันที “นี่ถึงเรียกว่าวางแผนครอบครองกิจการของตระกูลโดยที่ดาบไม่ต้องเปื้อนเลือด! หากข้าคิดถึงแผนนี้ให้ได้เร็วอีกหน่อยก็คงดี…”
เมิ่งเจียงหนานทำเพียงมองลูกผู้ลากมากดีเหล่านั้นแสดงละครอย่างทุ่มสุดความสามารถ เขาไม่รู้ว่าคำพูดของพวกเขาจริงแท้กี่ส่วนกันแน่ แต่ที่เขามั่นใจในเรื่องนี้มากก็คือ ครั้งนี้ซั่งกวนเจวี๋ยได้โมโหอย่างแท้จริง สวรรค์พิโรธ ทุกสิ่งพังพินาศ และแม้ว่าซั่งกวนเจวี๋ยจะไม่ใช่เทพสวรรค์ ทั้งไม่อาจทำให้ทุกสิ่งพังพินาศ แต่ก็ได้กดขี่คนที่ล่วงเกินเขาอย่างถึงที่สุด ไม่ให้มีวันเชิดหน้าชูตาได้ตลอดกาล หรือว่าจะสับให้เป็นหมื่นท่อนไม่อาจให้กลับมาเกิดได้อีกก็ยังเป็นเรื่องที่ง่ายดายเช่นกัน อย่างเขาก็ไม่ใช่เพราะว่าหวาผิงอัน คนโง่เง่าผู้นั้นจึงทำให้เขาต้องมาสร้างสถานการณ์เช่นนี้หรอกรึ!
พวกจางเจี่ยฮุยย่อมมีเหตุผลในการแก้แค้นซั่งกวนอวี่ไข่และทั่วป๋าฉินซิน แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือพวกเขาหวังว่าการเคลื่อนไหวเช่นนี้จะสามารถทำให้ซั่งกวนเจวี๋ยรู้สึกดีได้ ให้ซั่งกวนเจวี๋ยสามารถยอมปล่อยพวกเขาไป…พวกเขาถูกคุมขังให้เห็นฉากเด็ดที่แทงสะบักหลัง ตกใจจนวิญญาณแทบจะล่องลอย ในที่สุดก็เข้าใจว่าแม้พวกตนจะละโมบในกามก็ไม่ควรถูกหลอกใช้ พญามัจจุราชตระกูลซั่งกวนผู้ที่หัวเราะเริงร่าเสียบสิบสี่คนต่อกันเป็นพวงนั้นพูดได้ดียิ่ง พูดว่าอะไรนะ ‘แม้ว่าการกระทำของพวกเจ้าจะทำให้คนใส่ร้ายสะใภ้ใหญ่ของเราว่าไม่มีความเป็นกุลสตรี แต่เมื่อนึกถึงพวกเจ้าที่ถูกสะใภ้ใหญ่จัดการอย่างโหดเหี้ยมแล้ว เช่นนั้นก็จะไม่ตำหนิความผิดในอดีต พวกเจ้าออกไปกันเองเลยเถิด! หากโชคดี วาสนาดี ทั้งมีสมองพอก็ย่อมสามารถกลับถึงตระกูลอย่างปลอดภัยได้’
ไม่ตำหนิความผิดในอดีตแต่กลับให้พวกเขามองดูการลงทัณฑ์ที่โหดเหี้ยม? เขาไม่ได้พูดว่าจะปล่อยให้พวกเขากลับไปอย่างปลอดภัย แต่พูดว่าหากมีสมองพอก็จะกลับถึงตระกูลอย่างปลอดภัยได้ แต่พวกเขาได้ยินว่าอะไร ได้ยินว่าพวกเขาได้พาอันตรายมาสู่ชีวิตและชื่อเสียงของสะใภ้ใหญ่ซั่งกวน หากพวกตนไม่จัดการดีๆ เกรงว่าแม้จะให้คนที่บ้านมาเก็บศพก็คงไม่เหลือแม้แต่กระดูก! ดังนั้นพวกเขาจึงยินดีเอง คิดเอง ทำเอง เหมาเทียนเค่อหลาย พยายามแสดงละครอย่างสุดความสามารถ เพียงขอให้ได้รับประโยคหนึ่งจากคนนั้น ประโยคที่ว่าให้พวกเขากลับไปอย่างปลอดภัย
และที่โรงน้ำชาอี้สื่อ หวาผิงอัน ผู้เขียนบทประพันธ์ที่โด่งดังก็ได้แสดงละครสารภาพผิด…เขาสารภาพผิดต่อทุกคน โดยเฉพาะสารภาพผิดต่อสะใภ้ใหญ่ซั่งกวนที่ถูกเขาโยนชื่อ ‘นารีเป็นเหตุ’ ให้ กล่าวว่าตัวเองไม่ควรทำลายศีลธรรมและความบริสุทธิ์ของอาจารย์อี้สื่อโดยการถูกคนข่มขู่และล่อด้วยผลประโยชน์ เขาเอาเรื่องที่ตัวเองถูกข่มขู่จากผู้หญิงถือดาบชุดเขียว ทั้งต้องกินยาพิษอย่างช่วยไม่ได้ เขียนออกมาติดประกาศทั่วทั้งตรอกซอกซอยนับสิบฉบับ ทั้งยังถือโอกาสประพันธ์เรื่อง ‘นารีเป็นเหตุแห่งยุทธภพ’ ในต้นฉบับเขียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงเงินสองพันตำลึง สัมภาระที่ถูกกรีด จดหมายยาถอนพิษ และทั้งหมดล้วนถูกเขาจัดแสดงเป็นหลักฐานให้ผู้คนได้ดู ยิ่งกว่านั้นยังอธิบายจุดพลาดพลั้งของหญิงสาวชุดเขียวคนนั้น ข้อมือขวามีไฝสีแดง บนร่างไม่อาจกลบกลิ่นดอกสาลี่ที่หอมโชยได้…
ทั้งหมดทั้งมวลล้วนชี้ไปที่ คุณหนูสี่ตระกูลทั่วป๋า ผู้ที่ใจจืดใจดำส่งลูกน้องไปตายแต่ตัวเองกลับไม่ยอมโผล่ออกมาเพราะห่วงหน้าตา ทั่วป๋าฉินซินผู้ซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นเทพธิดาดอกสาลี่…
———————————
[1] วิธีตรวจเลือดนับญาติ เป็นวิธีที่ใช้ในสมัยโบราณ โดยจะเจาะเลือดของทั้งสองฝ่ายหยดลงในภาชนะ หากเลือดของทั้งคู่หลอมรวมกันก็หมายความว่าคนทั้งสองมีความสัมพันธ์ทางสายเลือด