เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 22 การเปลี่ยนแปลง
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่? เจ้ากลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไร?” ซั่งกวนเจวี๋ยให้ทุกคนออกไป เหลือเพียงเขากับจิงอิ๋งสองคน จากนั้นก็จ้องมองอย่างพินิจพิเคราะห์กับการออกจากบ้านไปเที่ยวครานี้ และการเปลี่ยนคนอย่างจิงอิ๋ง คำโบราณกล่าวไว้ดีว่า ‘สันดอนขุดง่าย แต่สันดานเปลี่ยนยาก’ เขาไม่เชื่อว่าจิงอิ๋งจะสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ได้ภายในเวลาเพียงครึ่งเดือนสั้นๆ บางทีนี่อาจเป็นเพียงหมากที่ชาญฉลาดแยบยลของจิงอิ๋ง?
ใจเย็นๆ! ใจเย็นๆ! จิงอิ๋งมีใบหน้าเปื้อนยิ้ม นางให้กำลังใจตัวเอง พลางกล่าวอย่างน่าสงสารเล็กน้อยว่า “พี่ใหญ่ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพียงแต่ข้าเป็นสาวใช้ของพี่สะใภ้ในอนาคตมาเกือบเก้าวัน เรียนรู้กฎเก้าวัน จึงรู้ว่าการเป็นคนรับใช้มันยากแค่ไหนเท่านั้นเอง”
“นางไม่ดีกับเจ้างั้นหรือ?” ปฏิกิริยาแรกของซั่งกวนเจวี๋ยคือน้องสาวหัวแก้วหัวแหวนของเขาถูกทำร้าย ตระกูลเยี่ยน เป็นครอบครัวพ่อค้า มักให้ความสำคัญกับผลกำไรมากกว่าความรู้สึก มีสายตาสั้นมองการณ์ไม่ไกล คุณหนูเยี่ยนอู่ที่มีชื่อเสียงรู้จักกันดีผู้นั้นก็น่าจะพอๆ กัน
“ไม่เลย! พี่สะใภ้ในอนาคตใจดีกับข้า! นางสอนข้าเย็บปักถักร้อย สอนข้าดูแลผู้คน และให้ขนมอร่อยๆ มากมายในระหว่างทาง!” จิงอิ๋งมองค้อนไปที่ซั่งกวนเจวี๋ยแวบหนึ่ง เขาพูดจาหยาบคายกับพี่สะใภ้ในอนาคตได้อย่างไร นางเป็นคนดีขนาดนั้น น่าเสียดายจริงๆ ที่แต่งงานกับเขา!
จิงอิ๋งเป็นคนเรียบง่ายและไม่มีเล่ห์กลอุบายอะไร แต่บาดแผลที่ประสบเมื่อปีก่อนทำให้เขาค่อนข้างอ่อนไหวต่อความปรารถนาดีและความมุ่งร้ายของผู้อื่น สายตาที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองนางคล้ายกับพี่ใหญ่ แต่การตามใจจะน้อยลง มีความสงสารมากกว่า บางครั้งก็บิดหูตัวเองอย่างแรง มองดูเหมือนจะดุร้าย แต่ตัดใจลงมือไม่ได้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายตัวเอง ส่วนสายตาที่หลิงหลงมองนาง มีท่าทางที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
“จริงหรือ?” ซั่งกวนเจวี๋ยไม่ค่อยเชื่อมากนัก จิงอิ๋งถูกซื้อใจ เป็นไปได้หรือเปล่าที่นางกินของคนอื่นแล้วปากอ่อน ได้กินของดีของเยี่ยนมี่เอ๋อร์เหมือนเป็นหนี้บุญคุณ ดังนั้นพูดอะไรก็ต้องเกรงใจนาง?
“บางครั้งท่าทีของนางที่มีต่อข้าก็คล้ายกับพี่ใหญ่ นางมักจะดูทั้งน่ามองน่าเอ็นดู ทั้งมีชีวิตชีวาและทำอะไรไม่ถูก…” ทันใดนั้นเสียงจิงอิ๋งก็เบาลงแล้วพูดว่า “ข้านั่งรถม้าไปกับนาง บางครั้งเวลาข้าหลับ นางจะระวังมากให้ข้านอนราบ หรือทำท่าทางสบายๆ ไม่ให้ข้ากดดันตัวเอง เลือดจะไหลไม่สะดวก เมื่อตื่นแล้วจะไม่สบายตัว นางจะคอยระวังเอาผ้าห่มมาคลุมตัวข้า เพื่อไม่ให้ข้าเป็นหวัด และระวังไม่ให้คนอื่นมารบกวนข้า…พี่ใหญ่ นางทำให้ข้ารู้สึกเหมือนเห็นมารดาที่ถูกเขียนอยู่ในหนังสือ”
เมื่อเห็นจิงอิ๋งน้ำตาไหลพรั่งพรูในฉับพลัน ซั่งกวนเจวี๋ยจึงกอดจิงอิ๋งไว้ในอ้อมแขนของเขาด้วยความสงสาร ไม่ว่านางจะเรื่อยเฉื่อยแค่ไหน จิงอิ๋งก็เป็นผู้หญิงเช่นกัน และค่อนข้างอ่อนไหวต่อสิ่งเหล่านี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หวงฝู่เยวี่ยเอ้อต้องการเป็นมารดาที่ดี เป็นภรรยาที่ดี เป็นนายแม่ที่ปกครองบ้านที่ดี ทว่าน่าเสียดายที่นางมีคุณสมบัติจำกัด กำลังวังชาจำกัด นางต้องการจะทำทุกสิ่งให้ดีที่สุด แต่ไม่อาจทำทุกอย่างให้ดีได้ ดูท่าภรรยาในอนาคตจะมีความสามารถมาก อย่างน้อยก็รับบท ‘พี่สะใภ้ใหญ่ประหนึ่งมารดา’ ได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่านางจะรับมือกับหญิงสาวที่ฉลาดแต่หวาดระแวงอย่างหลิงหลงได้หรือไม่?
“เจ้าชอบนางมากงั้นหรือ?” แม้ซั่งกวนเจวี๋ยจะถามจิงอิ๋ง แต่จิงอิ๋งกลับตอบด้วยความมั่นใจในระดับหนึ่งแล้ว จิงอิ๋งมีความคิดถึงเล็กน้อยเมื่อเอ่ยถึงเยี่ยนมี่เอ๋อร์ เด็กหญิงคนนี้ต่อให้จะเอ่ยถึงแม่ก็จะไม่มีความรู้สึกแบบนี้เลย
“อืม” จิงอิ๋งพยักหน้าระรัวพลางกล่าวว่า “พี่ใหญ่ ข้าดีใจมากที่คนที่นางแต่งงานด้วยคือเจ้า เจ้าจะปฏิบัติต่อนางอย่างดีใช่หรือไม่?”
“นางขอให้เจ้าถามข้าเช่นนี้งั้นหรือ?” ซั่งกวนเจวี๋ยเช็ดน้ำตาให้จิงอิ๋ง แล้วมองนางด้วยท่าทางจริงจังพร้อมกับรอยยิ้มในใจ
“เปล่าหรอก พี่สะใภ้จะไม่พูดอย่างนั้น” จิงอิ๋งตอบโต้เสียงดังแล้วกล่าวว่า “พี่สะใภ้อ่อนโยนมาก แม้นางจะไม่ค่อยหัวเราะ แต่สายตาที่นางมองข้าไม่เหมือนกัน ต่อให้นางจะไม่ยิ้มให้ข้าก็ตาม ข้าก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นในดวงตาของนาง และต่างจากการพบหน้ากับฮูหยินใหญ่และอนุภรรยาเหล่านั้น ใบหน้าของพวกนางยิ้ม แต่แววตากลับเย็นชาทำให้ข้ากลัว…”
“ข้าจะดีกับนาง ข้าสัญญา!” ซั่งกวนเจวี๋ยให้คำมั่นสัญญาที่หายากและจริงจัง เพียงแต่เขาก็หัวเราะออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ สิ่งที่คุณหนูเยี่ยนอู่ขอไม่มีอะไรนอกจากอาหารเสื้อผ้าและความปลอดภัย สถานะหรือการมีลูกหลาน สิ่งเหล่านี้นางจะได้เมื่อเป็นภรรยาคุณชายใหญ่ของตระกูลซั่งกวนในเวลานั้น เขาก็จะมอบให้นาง ไม่ว่าจะพูดอะไร นางคือภรรยาคุณชายใหญ่ที่แต่งงานอย่างถูกต้องตามประเพณีของตระกูลซั่งกวน ไม่ว่าจะชอบนางหรือไม่ก็ตาม เขาก็ควรมอบสิ่งเหล่านี้ให้กับนาง นี่คือกฎ
“อันที่จริงพี่สะใภ้ในอนาคตยังคงขี้อายนิดหน่อย!” จิงอิ๋งนึกถึงเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่มือเย็นชืดสั่นเทาเล็กน้อยเมื่อมาถึงเรือนสดับวายุ แล้วยังมีเสียงที่ค่อนข้างฮึกเหิมราวกับจะให้กำลังใจตัวเอง รวมถึงท่าทางลงจากรถม้าที่มุ่งมั่นเหมือนขึ้นแท่นประหาร ทั้งยังกล่าวอย่างจริงจังมาก ไม่เคยคิดเลยว่านั่นอาจเป็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่กำลังแสดงละคร…ตั้งแต่รู้จักตัวตนของนาง นางถูกเยี่ยนมี่เอ๋อร์สอนให้เรียนรู้จะปกปิดความรู้สึกของตัวเองมาตลอด และเรียนรู้ว่าจะควบคุมการแสดงออกทางสีหน้าและน้ำเสียงของตัวเองอย่างไร แต่ก็เพียงเท่านี้เอง
“โอ้? ทำไมพูดอย่างนั้น? นางร้องไห้งั้นหรือ? แล้วยังมีท่าทีจะไปขึ้นแท่นประหารอะไรแบบนั้นอีกด้วย?” ซั่งกวนเจวี๋ย ถามด้วยความสนใจ ดูเหมือนว่าทันใดนั้น เขาก็เริ่มสนใจว่าที่ภรรยาซึ่งไม่เคยสนใจใคร่รู้มาก่อนเลยผู้นั้น…สวรรค์รู้ดี เขาแค่อยากให้จิงอิ๋งมีความสุขเท่านั้นเอง!
“พี่สะใภ้จะไม่ร้องไห้ นับประสาอะไรกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม!” จิงอิ๋งเม้มริมฝีปากอย่างไม่พอใจพลางกล่าวว่า “พี่สะใภ้ได้รับการอบรมอย่างกับสนมนางในมาอย่างเคร่งครัด ทุกอิริยาบถของนางนั้นสงบเสงี่ยมมาก พี่ใหญ่ เจ้าไม่รู้หรอก พี่สะใภ้สวยประดุจเทพธิดาในตำรา อืม…นอกจากพี่ชิงหวั่นแล้ว ข้าไม่เคยเห็นใครจะงามทัดเทียมได้พี่สะใภ้ได้เลย…”
โอ้? รูปร่างหน้าตาเทียบได้กับมู่หรงชิงหวั่นเลยหรือ? ซั่งกวนเจวี๋ยรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย เพราะไม่ว่าชาติตระกูล ความสามารถและรูปลักษณ์ มีสตรีเพียงไม่กี่คนที่จะเทียบเคียงได้กับมู่หรงชิงหวั่น ในบัดนี้ก็เทียบได้กับนางสนมชั้นสูงคนโปรดที่สุดของฮ่องเต้และองค์หญิงอันเป็นที่รักมากที่สุดในยุทธภพแล้ว แม้ถัดจากมู่หรงชิงหวั่นในช่วงไม่กี่ปีนี้ เฟิงเพียวซวี่ผู้ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘หญิงงามอันดับหนึ่งในยุทธภพ’ เมื่ออยู่ต่อหน้ามู่หรงชิงหวั่นก็ยังถูกบดบังรัศมี ส่วนความสามารถนั้น มู่หรงชิงหวั่นจะพูดอย่างไรก็ยังเป็นหญิงที่มีความสามารถของตระกูลสูงศักดิ์ ทั้งหมากรุก พิณ การเขียนพู่กันจีน และการวาดภาพนั้นยอดเยี่ยมมาก น่าเสียดายที่ถูกลูกหลานในตระกูลประจบสอพลอ และอัจฉริยะในยุทธภพเป่าหู จึงขาดการบันยะบันยัง ถือตัว หยิ่งยโส และทำให้ตัวเองเหมือนไม่กินดอกไม้ไฟในโลกมนุษย์[1] แต่ก็รู้สึกมึนงงกับเรื่องซุบซิบนินทาในยุทธภพที่แปลกประ หลาดเหล่านั้น นึกไม่ถึงเลยว่าจะไประบายความในใจกับหนุ่มเจ้าสำราญที่มีชื่อเสียงของยุทธภพใน ‘งานประลองยุทธ์’ แต่ผลลัพธ์…ไม่รู้ว่าคุณหนูเยี่ยนอู่ผู้นี้จะทำลายตัวเองเพราะรูปลักษณ์ของนางหรือไม่?
“เพียงแต่ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดพี่สะใภ้ไม่คิดว่าความงามของนางเป็นของขวัญที่สวรรค์ประทานให้ด้วยความรัก แต่มักจะสำรวมในการพูดจาและหัวเราะ ยังคงทำหน้าเงียบขรึมอยู่เสมอ” จิงอิ๋งงุนงงกับพฤติกรรมของเยี่ยนมี่เอ๋อร์มาตลอด นางรู้สึกว่าถ้าตัวเองสวยเหมือนเยี่ยนมี่เอ๋อร์ จะทำให้ทุกคนรู้อย่างแน่นอน และจะทำให้ทุกคนชื่นชอบด้วยรอยยิ้มอันสดใส แทนที่จะทำตัวแปลกแยกโดย ‘ไม่เข้าใกล้คนแปลกหน้า’
“นางไม่ชอบหัวเราะหรือ?” ซั่งกวนเจวี๋ยผู้ซึ่งจินตนาการไปร้อยแปดพันเก้าได้ยินเพียงแค่นี้ จึงถามอย่างแปลกใจ
จิงอิ๋งเป็นคนที่ชอบหัวเราะ และนางก็ชอบอยู่กับคนที่ชอบหัวเราะ เช่น เด็กสาวอย่างหลิงลี่
“ใช่ๆ พี่ใหญ่ เจ้าคงไม่รู้ว่าพี่สะใภ้ยิ้มแล้วสวยมาก จนข้าตะลึงไปเลย แต่พี่สะใภ้บอกว่าอะไรนะ คนสมัยก่อนพูดไว้ว่าหญิงงามล่มเมืองและหญิงงามอาภัพรักนั้นสมเหตุสมผลที่สุด และบอกอีกว่าบางครั้งความงามก็เลวร้ายเกินไป งามสามส่วนเป็นเรื่องธรรมดา งามห้าส่วนกำลังดี งามเจ็ดส่วนเพิ่มให้สวยยิ่งขึ้น งามสิบส่วนคือหายนะ…ข้าไม่รู้ว่านางหมายถึงอะไรกันแน่ แต่เมื่อพี่สะใภ้พูดแบบนั้น อารมณ์ก็ไม่ดี” จิงอิ๋งพูดด้วยท่าทางสับสนเล็กน้อยว่า “พี่สะใภ้ไม่ชอบแต่งตัวสวยๆ ยกเว้นครั้งนั้นครั้งเดียว พี่สะใภ้มักจะแต่งหน้าแย่เสมอ มักจะลดความสวยลงเหลือแปดเก้าส่วน แต่ถึงอย่างนั้น พี่สะใภ้ก็สวยจับจิตจับใจมากทีเดียว”
โอ้? มีสตรีไม่มากนักที่จะพูดแบบนี้ได้ มีสตรีจำนวนน้อยที่จงใจปกปิดความงามของตน ดูท่าคุณหนูเยี่ยนอู่ผู้นี้จะเป็นเด็กสาวที่เฉลียวฉลาด อย่างน้อยก็ไม่อวดรู้ทะนงตัวอย่างมู่หรงชิงหวั่น ทันใดนั้นซั่งกวนเจวี๋ยก็รู้สึกประทับใจเยี่ยนมี่เอ๋อร์ขึ้นมาบ้าง
“พี่สะใภ้เก่งมากจริงๆ!” จิงอิ๋งพูดอย่างจริงจัง “พี่สะใภ้เขียนอักษรได้ดีมากไม่ต่างจากเจ้าเลย พี่สะใภ้ก็ชอบเขียนพู่กันด้วยลีลาปล่อยเส้นสีขาวไว้เป็นฝอยๆ เช่นกัน แต่ลายมือของนางดูสวยดีเลิศ ดูเหมือนจะแตกต่างจากลีลาของพี่ชาย และพี่สะใภ้ยังเย็บปักถักร้อยได้อีกด้วย พี่ใหญ่ เจ้าดูสิ นี่คือผลงานของข้า!”
ซั่งกวนเจวี๋ยมองไปที่ผ้าเช็ดหน้าลายปักอัน ‘อัปลักษณ์’ อย่างขบขันขณะที่จิงอิ๋งหยิบออกมาจากแขนเสื้อ แต่มันน่าเกลียดจริงๆ มองดูแล้วที่ปักอยู่ด้านบนใช่ดอกไม้หรือเปล่า? อย่างไรก็ตาม จิงอิ๋งไม่เคยทำอะไรแบบนั้นมาก่อน เป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่มีเรื่องเช่นนี้ได้
“นี่มันอะไร?” ซั่งกวนเจวี๋ยแยกแยะลวดลายบนผ้าอย่างเอาจริงเอาจังและเหนื่อยแรง คล้ายกับเป็นตัวอักษรสองตัว เหมือนตัวอักษรคำว่าดอกไม้สองตัว
“เป็นชื่อของข้าเอง” จิงอิ๋งมองไปที่ท่าทางของซั่งกวนเจวี๋ย แล้วหยิบอีกชิ้นหนึ่งออกมาด้วยความท้อใจเล็กน้อย บนนั้นปักด้วยคำสองคำว่า ‘จิงอิ๋ง’ เป็นสีเขียวอ่อน คำว่า ‘จิง’ นั้นเหมือนดอกไม้สามช่อมารวมกลุ่มกัน ส่วนคำว่า ‘อิ๋ง’ นั้นแท้จริงแล้วคือดอกตูมที่กำลังเบ่งบาน
“พี่สะใภ้ปักอันนี้ให้ข้า ข้าเห็นแล้วคิดว่ามันง่ายมาก พี่สะใภ้จึงวาดลวดลายให้ข้า แต่การปักก็ยังไม่ดี แต่ยังมีอีกผืนหนึ่ง…” จิงอิ๋งหยิบผ้าเช็ดหน้าปักลายอีกผืนออกมา แม้จะปักได้แย่มาก แต่ซั่งกวนเจวี๋ยก็มองออกในแวบแรกได้ว่านั่นเป็นภาพดอกกล้วยไม้
“กล้วยไม้?” ซั่งกวนเจวี๋ยเอ่ยด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย แม้มันจะน่าเกลียด แต่ก็มองออกได้ว่าเป็นลายดอกกล้วยไม้
“อื้ม” จิงอิ๋งพยักหน้าอย่างมีความสุขพลางกล่าวว่า “นี่เป็นผลงานชิ้นแรกของข้า พี่สะใภ้บอกว่าข้ายังมีพรสวรรค์อีกมาก แม้จะเป็นครั้งแรกที่ข้าปักดอกไม้ ก็ถูกเข็มแทงเป็นพรุนไม่น้อยเหมือนกัน แต่ในท้ายที่สุดยังคงปักออกมาได้ และมันก็ดูสวย”
ซั่งกวนเจวี๋ยยิ้มเจื่อนขณะที่มองดูจิงอิ๋งกระโดดโลดเต้นบอกว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์เก่ง เยี่ยนมี่เอ๋อร์เล่นพิณได้ เยี่ยนมี่เอ๋อร์วาดภาพได้ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำอาหารเป็น…จากนั้นเขาก็ถามคำหนึ่งเมื่อนางลืมตัว “แล้วนางก็สอนให้เจ้าจัดการกับแม่นมอี้อย่างนั้นหรือ?”
จิงอิ๋งหยุดกะทันหันราวกับหันกลับมาไม่ได้แล้วพูดขึ้นว่า “อะไรนะ?”
นี่คือสิ่งที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์สั่งสอน ในจังหวะที่ถูกถามอย่างกะทันหันจึงต้องพูดสองคำนี้ เพื่อซื้อเวลาคิดทบทวน ทั้งสองคนฝึกฝนมาเป็นเวลานาน จิงอิ๋งถึงจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ได้ เมื่อก่อนจะขายหน้าตัวเองเช่นกันที่บอกออกมาตรงๆ
ดูเหมือนจะไม่ใช่! ซั่งกวนเจวี๋ยค่อนข้างโล่งใจและผิดหวังเล็กน้อย ดูท่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะไม่ใช่คนที่วางแผนคิดลึกซึ้งและไม่ได้สอนจิงอิ๋งเรื่องแปลกๆ พิลึกพิลั่นพวกนี้ แต่การแสดงออกเมื่อครู่นี้ของจิงอิ๋งมันแปลกจริงๆ…
“พี่ใหญ่ เมื่อครู่เจ้าถามว่าอะไร?” จิงอิ๋งถามอย่างไม่พอใจเล็กน้อย “พูดว่าอะไรนะ ให้ข้าจัดการกับแม่นมอี้เหรอ? นั่นคือความสงสาร พี่สะใภ้บอกว่าควรเรียนรู้ที่จะเห็นอกเห็นใจ ข้าทำเช่นนั้นไม่ถูกหรือ? หรือจะให้ข้าเหมือนก่อนหน้านี้ ก่อเรื่องเอะอะจนหมาไก่วิ่งหนีเตลิดเปิดเปิง จากนั้นโดนพวกนางเอาไปฟ้องต่อหน้าฮูหยินใหญ่ แล้วรอให้ฮูหยินใหญ่จัดการคิดบัญชีใช่ไหม? พี่ใหญ่ ข้าไม่อยากตกเป็นเบี้ยล่างเสียเปรียบแบบนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีก”
กลยุทธ์บีบให้สู้! พี่สะใภ้บอกว่า ต่อให้อยู่ต่อหน้าคนที่ตัวเองรักก็อย่าลืมแสดงละคร ไม่ใช่ไม่ไว้ใจ แต่เป็นนิสัยที่ไม่ดีกระดำกระด่างของตัวเอง ถ้าต้องการสร้างจิงอิ๋งที่แตกต่าง ก็ต้องบอกให้ทุกคนรู้ว่าตัวเองไม่เหมือนเดิมแล้ว หากแบไต๋บอกออกมาทั้งหมด ท่าทีของเขาก็จะเหมือนกับเมื่อก่อน นั่นเป็นข้อบกพร่อง ดังนั้นต้องทำให้พวกเขาคิดว่าตัวเองเปลี่ยนไปถึงจะถูกต้อง มีวิธีจัดการกับพวกเขา ซึ่งเรียกว่าบีบให้สู้เอาชนะ!
ส่วนที่นุ่มนวลที่สุดในก้นบึ้งหัวใจของซั่งกวนเจวี๋ยสัมผัสได้ เมื่อนึกถึงความเสียเปรียบอันมืดมนที่จิงอิ๋งได้รับ นึกถึงคนเหล่านั้นที่ท้าทายความอดทนของตัวเองกับท่านพ่อซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฉะนั้นจิงอิ๋งเปลี่ยนไปก็ดี ไม่ว่าจะรู้จักเห็นอกเห็นใจบ่าวไพร่จริงๆ หรือแสร้งทำก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่โดนเอาเปรียบน้อยลงก็ดีแล้ว…
———————————-
[1] ไม่กินดอกไม้ไฟในโลกมนุษย์ อุปมาว่า การไม่พูดมาก การสำรวมตนและเรียบง่าย เป็นการเปรียบเปรยของลัทธิเต๋าฝั่งจีน