เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 220 จะอยู่หรือจะไป
นี่นับเป็นการฉลองปีใหม่ที่เจ็บปวดที่สุดปีหนึ่งในชีวิตของทั่วป๋าซู่เยวี่ย!
อันดับแรก ตามปกติแล้ว ในเมื่อสองตระกูลที่เกี่ยวดองกันได้มีการกำหนดวันแต่งงานแล้ว เช่นนั้นก็มักจะส่งพวกของขวัญเข้ามาก่อนจะฉลองปีใหม่ ใกล้กับคืนส่งท้ายปีของขวัญจากตระกูลทั่วป๋าและตระกูลมู่หรงก็ส่งมาถึงตระกูลซั่งกวนติดๆ กัน และเมื่อเป็นเช่นนี้ จึงทำให้เห็นความแตกต่างของสองตระกูลได้อย่างชัดเจน
พวกไก่ เป็ด แพะ หมูป่า และเก้งตากแห้งล้วนแต่เป็นของที่ส่งมาเป็นปกติอยู่แล้ว ตั้งแต่สิบตัวถึงร้อยตัวแตกต่างกันไป เดิมทีก็ไม่มีความแตกต่างอะไร เครื่องเคลือบลายคราม เครื่องประดับตกแต่งหลากสีประเภทต่างๆ ก็ส่งมาตามธรรมเนียมเช่นกัน เพียงแต่จะแตกต่างที่สีและลวดลายเท่านั้น นอกจากนี้ตระกูลทั่วป๋ายังเตรียมของขวัญชิ้นหนึ่งให้อวี่ไข่โดยเฉพาะด้วย นั่นก็คือแจกันดอกเหมยมงคลหนึ่งคู่ สูงขนาดสามฉื่อ ทั้งเป็นของล้ำค่าที่ยากจะได้พบ…นี่เป็นผลหลังจากทั่วป๋าซู่เยวี่ยเห็นหินอ่อนกั้นผนังในบ้านของอวี่ฮ่าว จึงตั้งใจเขียนจดหมายให้ตระกูลทั่วป๋า เพื่อกู้หน้าให้กับอวี่ไข่ คิดว่าแม้ของสิ่งนี้จะสู้ตระกูลมู่หรงไม่ได้ แต่ก็ไม่ด้อยไปกว่าแล้ว แต่เรื่องราวก็ย่อมมีความบังเอิญเกิดขึ้นมากมาย ตระกูลมู่หรงนั้นได้ถือโอกาสในการส่งของขวัญปีใหม่ส่งของอีกชิ้นหนึ่งให้กับอวี่ฮ่าวเช่นกัน
สิ่งที่ตระกูลมู่หรงส่งมาเป็นหยกไม้ตกแต่งหายากชิ้นหนึ่งซึ่งมีนามว่าเหมันต์พิสุทธิ์ สูงขนาดห้าฉื่อ ผ่านการเจียระไนอย่างประณีตชดช้อยจากช่างมือดี ขัดเกลาได้อย่างงดงามตระการตา ทั้งเปล่งประกายแสงอ่อนๆ เมื่อจัดวางก็ทำให้ทั่วทั้งห้องมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที ยามที่เห็นของสิ่งนี้ แม้แต่ซั่งกวนฮ่าวก็ยังตกใจเช่นกัน คาดไม่ถึงว่าตระกูลมู่หรงจะนำของที่ล้ำค่าส่งให้มาเป็นของขวัญเช่นนี้ ต้องรู้ว่าของชิ้นนี้หายากเป็นอย่างมาก แม้ว่าจะเป็นตระกูลซั่งกวน ก็มีเพียงสิ่งนี้เท่านั้นที่พอนับได้ว่าเป็นของหายากในใต้หล้า
และก็เป็นของชิ้นนี้ แจกันดอกเหมยมงคลของตระกูลทั่วป๋าคู่นั้นจึงเทียบรัศมีแทบไม่ติด ทำให้ทั่วป๋าซู่เยวี่ยที่เอาแต่รอของขวัญปีใหม่ส่งมาอย่างยินดีปรีดา เกิดความหงุดหงิดในใจขึ้นมาอีกครั้ง
ทั่วป๋าซู่เยวี่ยพิจารณาอย่างรอบด้านแล้ว ก็ยังคงปักใจว่าหน้าตาของตัวเองและหน้าตาของตระกูลทั่วป๋านั้นสำคัญกว่า วันนั้นก็ควักเอาของสะสมของตนเอง หินโซ่วซานแกะสลักที่ไม่ค่อยเปิดเผยให้ผู้คนได้เห็น ให้คนส่งไปยังเรือนพนาวายุ
ในช่วงบ่ายของวันนั้น พ่อบ้านคนใหม่ของเรือนพนาวายุ ทั่วป๋ามู่หลินก็ส่งหินโซ่วซานแกะสลักไปที่ตระกูลซั่งกวนอีกครั้ง กล่าวว่าตระกูลทั่วป๋าตั้งใจเตรียมของขวัญเพื่อลูกเขยคนใหม่ เพียงแต่เพราะว่าของชิ้นนี้ไม่ได้ส่งออกมาพร้อมกับที่เหยี่ยนโจว ดังนั้นจึงส่งมาถึงเรือนพนาวายุทีหลัง
ซั่งกวนฮ่าวกลับไม่กระจ่างชัดความเป็นมาของของสิ่งนี้ แต่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อได้ฉวยโอกาสยามที่ทั่วป๋าซู่เยวี่ยอยู่ที่วัดประจำตระกูล ตรวจดูทรัพย์สินส่วนตัวของทั่วป๋าซู่เยวี่ยจนกระจ่างหมดแล้ว พอเห็นของชิ้นนี้ ก็ส่งสายตาเป็นนัยให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่มีท่าทีอดขำไม่ได้เช่นเดียวกัน ล้วนแต่มองเห็นความนัยของรอยยิ้มอีกฝ่ายออก…เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกนาง พวกนางคาดไม่ถึงเช่นกันว่าตระกูลมู่หรงจะเอาใจใส่อวี่ฮ่าวถึงขนาดนั้น ส่งของดีๆ มากมายมาให้ ทั้งยังนึกไม่ถึงว่าตระกูลทั่วป๋าจะตระหนี่ถึงเพียงนี้ และที่สำคัญก็คาดไม่ถึงว่าทั่วป๋าซู่เยวี่ยจะรักหน้าตาถึงขั้นนี้ด้วย
ซั่งกวนฮ่าวโบกมือสั่งการทันที ให้คนขนย้ายของพวกนี้ไปส่งที่เรือนของลูกชายทั้งสองชั่วคราวก่อน รอหลังจากพ้นปีใหม่แล้วค่อยส่งไปที่เรือนใหม่ และเช้าตรู่ของวันที่สอง พวกเจ้านายในตระกูลซั่งกวนก็ล้วนรู้ถึงที่ไปที่มาของหินโซ่วซานแกะ สลักชิ้นนั้น…ในยามที่อวี่ไข่เห็นของสิ่งนั้นก็เข้าใจทันที ตระกูลทั่วป๋าที่ตระหนี่ถี่เหนียวได้บีบบังคับให้ทั่วป๋าซู่เยวี่ยใช้ของสะสมของตัวเองออกมากู้หน้าอีกแล้ว
จากนั้น เมื่อถึงคืนก่อนปีใหม่ ตระกูลซั่งกวนก็ยึดตามธรรมเนียม กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งครอบครัว พวกอนุภรรยาหวังก็ได้รับสิทธิ์ร่วมโต๊ะเช่นกัน…นี่เป็นสิทธิพิเศษที่ปีหนึ่งมีครั้งเดียว!
ปีทีผ่านมา ในเวลานี้ทั่วป๋าซู่เยวี่ยมักจะเป็นศูนย์กลางของบ้าน ไม่ว่าใครก็ล้วนต้องประจบประแจงเอาอกเอาใจ ตักอาหารส่วนที่ดีที่สุด ส่งไปในถ้วยของนาง แต่ปีนี้ทิศทางกลับเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง
ซั่งกวนเจวี๋ยพูดคำอวยพรไม่กี่ประโยคก็พุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ทันที ด้านหวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็เช่นกัน ต่างฝ่ายก็พยายามคีบอาหารให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ คล้ายกับกังวลว่านางจะคีบไม่ถึงอย่างไรอย่างนั้น ซั่งกวนฮ่าวนั้นเผยยิ้มเบิกบานมองดูภรรยาและลูกชายเป็นห่วงเป็นใยลูกสะใภ้ บางครั้งก็ยังพูดว่า ‘เห็นมี่เอ๋อร์เจริญอาหารข้าก็วางใจ’
ด้านจิงอิ๋งคอยช่วยเหลืออยู่ด้านข้าง แม้แต่ตัวเองยังไม่สนใจยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเป็นห่วงเป็นใยให้ทั่วป๋าซู่เยวี่ย ส่วนพิงถิงก็ทำท่าทีคล้ายกับถูกรังแก ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าเข้าใกล้ทั้งนั้น ทั่วป๋าซู่เยวี่ยเป็นผู้ที่นางเคารพรักอยู่ห่างๆ แต่หากกล้าเข้าใกล้พวกหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ ทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็คงจะเรียกนางไปต่อว่าสั่งสอนจริงๆ ดังนั้นหลังจากทั่วป๋าซู่เยวี่ยกลับเรือนไป นางก็ยังคงสวมบทบาทเป็นผู้ถูกรังแก ทั้งยังสวมบทบาทได้ดีเกินไปเสียด้วย
ดังนั้น ใบหน้าของทั่วป๋าซู่เยวี่ยจึงมืดมนลงเรื่อยๆ หลังจากนั้นกระทั่งอวี่ไข่และอนุภรรยาหนิงที่ชอบเอาอกเอาใจนางก็ยังหายไปอย่างไร้ร่องรอย เลียนแบบพวกอนุภรรยาอู๋ที่ล่องหนไปก่อนแล้ว ดังนั้น หลังจากมื้ออาหารค่ำส่งท้ายปี ทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็กลืนโทสะเข้าไปเสียเต็มท้อง กลับมาถึงห้องก็เขวี้ยงถ้วยชาระบายความโกรธไปเสียหลายใบ
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ปีนี้ก็นับว่าได้ผ่านไปแล้ว หลังจากเทศกาลโคมไฟ[1] จิงอิ๋งและหลิงลี่ก็จะไปเซิ่งจิง ในเดือนหกถึงจะกลับมา แม้แต่งานแต่งของอวี่ไข่อวี่ฮ่าวก็ยังต้องพลาดไปอย่างน่าเสียดาย และในยามนี้ ทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็เพิ่งค้นพบว่า จู่ๆ ตัวเองก็กลายเป็นหญิงแก่ที่ไม่มีใครต้องการ นอกจากสาวใช้แม่นมข้างกายแล้ว ก็คล้ายกับว่าไม่มีใครคนใดจดจำนางได้เลย
ซั่งกวนฮ่าวต้องเตรียมงานแต่งให้ลูกชายทั้งสองคน แม้จะกล่าวว่าการแต่งงานของลูกอนุภรรยาสามารถทำอย่างเรียบง่ายได้ แต่ครั้งนี้เป็นงานแต่งของลูกอนุทั้งสองที่จัดขึ้นวันเดียวกัน ทั้งผู้ที่แต่งด้วยยังเป็นคุณหนูลูกภรรยาเอกของตระกูลใหญ่ ความเรียบง่ายนี้จึงเรียบง่ายน้อยจากงานแต่งของซั่งกวนเจวี๋ยลงมาหน่อยเท่านั้น การปรนนิบัติเช้าเย็นห้าวันหนึ่งครั้งก็จำต้องงดไป กระทั่งเวลาอาหารเย็นก็ยังไม่แน่ว่าจะเห็นเงาของซั่งกวนฮ่าว
ซั่งกวนเจวี๋ยต้องรับช่วงต่อภาระต่างๆ ที่ซั่งกวนฮ่าวเหลือไว้ให้ ทั้งยังต้องยุ่งอยู่กับการดูแลเยี่ยนมี่เอ๋อร์…ที่จริงก็ไม่ได้จำเป็นต้องให้เขาดูแล แต่เขาจะยอมเสียดายเวลาไปทิ้งกับทั่วป๋าซู่เยวี่ยได้อย่างไร เด็กในครรภ์ยามนี้อยู่ในช่วงที่เบิกบานที่สุด บางครั้งก็จะถีบไม้ถีบมือทักทายคน หวงฝู่เยวี่ยเอ้อตั้งแต่เช้าจรดเย็นก็ใช้เวลาเกือบทั้งหมดอยู่ที่เรือนมีคู่ จุดประสงค์ก็เพื่อให้หลานของนางถีบท้องเยี่ยนมี่เอ๋อร์ทักทายนางน่ะสิ!
แม้แต่อนุภรรยาหนิงที่มักเอาแต่เดินล้อมหน้าล้อมหลัง ขัดหูขัดตานางมาโดยตลอดก็ยังไม่เห็นกระทั่งเงา เรียกหากี่ครั้ง ก็พบว่าอนุภรรยาหนิงไปช่วยจัดแต่งเรือนใหม่ของอวี่ไข่ ส่วนคนอื่นๆ เดิมทีก็ไม่ชอบทั่วป๋าซู่เยวี่ยอยู่แล้ว หากไม่ถึงคราวจำเป็นจริงๆ ก็ย่อมไม่ปรากฏตัวต่อหน้านาง ยามนี้นางต้องการเจอคนพวกนี้ ก็ย่อมเป็นเรื่องยาก ดังนั้น ทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็เริ่มครุ่นคิดปัญหาที่ว่าหลังจากอวี่ไข่แต่งงานแล้วจะอยู่หรือจะไปอย่างจริงจัง
“แม่นมหนิง ข้าว่าอวี่ไข่นั้นอย่างไรก็มีความคิดที่กตัญญู!” บ่ายของวันหนึ่ง ทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็พูดประโยคนี้ขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทำให้แม่นมหนิงที่กำลังยืนพักถึงกับตกใจ…ทั่วป๋าซู่เยวี่ยเบื่อหน่าย คนข้างกายของนางก็เบื่อหน่ายเหมือนกันเถอะ!
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้วเจ้าค่ะ!” แม่นมหนิงกล่าวคล้อยตาม ลอบหยิกตัวเอง ไม่ให้เผลอแสดงความง่วงเหงาหาวนอนออกมา แต่แม่นมอี้ที่อยู่ด้านข้างกลับอดเผยรอยยิ้มเหน็บแนมออกมาไม่ได้
“เจ้าลองพูดมา หากข้าไปพักที่อวี่ไข่บางครั้งบางคราวจะเหมาะสมหรือไม่?” สิ่งที่ทั่วป๋าซู่เยวี่ยคิดก็คือหลังจากตัวเองไปที่นั่นแล้ว ซั่งกวนฮ่าวจะส่งค่าใช้จ่ายของตัวเองไปให้ทางอวี่ไข่อย่างให้หมดเรื่องไป ไม่ต้อนรับนางกลับมาแล้วใช่หรือไม่? หากเป็นเช่นนั้น ตัวเองก็คงไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ!
“ฮูหยินใหญ่ ท่านพูดอะไรกันเจ้าคะ!” แม่นมหนิงยังไม่ทันได้พูด แม่นมอี้ก็ยิ้มรับขึ้นมาก่อน “คุณชายอวี่ไข่เป็นคนที่ท่านเลี้ยงเติบใหญ่มากับมือ เขามีนิสัยอย่างไรคนอื่นอาจจะไม่กระจ่างชัด แต่ท่านย่อมกระจ่างชัดมากที่สุดไม่ใช่หรือเจ้าคะ? ท่านลองคิดดู แม้จะต้องแยกจวนออกไปอยู่ ก็ยังไม่ลืมเตรียมเรือนไว้ให้ท่านก่อน ได้ยินว่า นายท่านให้เงินเขาทั้งหมดสามหมื่นตำลึง แต่เพื่อจัดแต่งของที่ท่านชอบ ทั้งเพื่อต้องการปรับแต่งเรือนตามความเคยชินของท่านก็ยังเสียเงินไปกว่าครึ่ง นี่ไม่ได้หมายความว่าอยากให้ท่านไปอยู่หรือเจ้าคะ?”
“ความคิดของอวี่ไข่ ข้านั้นรู้ดี เพียงแต่ข้ากังวลว่าหากออกไปแล้ว บ้านหลังนี้ก็คงยากจะกลับมาแล้ว!” สิ่งที่ทั่วป๋าซู่เยวี่ยกังวลไม่ใช่อวี่ไข่ นางนั้นเชื่อมั่นว่าอวี่ไข่กตัญญูต่อนาง
“ฮูหยินใหญ่ ท่านคิดมากไปแล้วเจ้าค่ะ!” แม้แม่นมหนิงจะคาดไม่ถึงว่าเรื่องนี้แม่นมอี้จะเห็นพ้องกับตนด้วย แต่ก็ไม่อาจทิ้งโอกาสที่จะพูดกล่อมทั่วป๋าซู่เยวี่ย กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ที่นี่เป็นบ้านของท่าน อวี่ไข่เป็นหลานของท่าน และนายท่านก็เป็นลูกของท่าน ให้หลานแสดงความกตัญญูล้วนเป็นสัจธรรมที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้อยู่แล้ว แต่ให้ลูกชายตอบแทนบุญคุณก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลยิ่งกว่า ทุกครั้งที่ท่านออกไปก็พูดว่าจะไปพักสองสามวันหรือสี่ห้าวัน พอถึงเวลาก็กลับมาที่นี่ หากท่านไม่กลับมา ก็สามารถให้นายท่านไปรับท่านกลับมาได้ หรือใครจะกล้าพูดไม่ให้ท่านกลับบ้านกันล่ะเจ้าคะ?”
“สิ่งที่ข้าคิดไม่ใช่ข้อนี้!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยสั่นศีรษะ สิ่งที่นางคิดคือเมื่อนางจากไปแล้ว ความสัมพันธ์ที่เดิมทีห่างเหินก็คงจะห่างเหินมากขึ้นไปอีก ถึงเวลานั้นตัวเองกลับมาก็จะยิ่งรู้สึกเงียบเหงาและเปล่าเปลี่ยว คนมีอายุมาก ก็ยิ่งชื่นชอบความคึกคัก หากเป็นเช่นนั้นนางก็คงรับไม่ไหว
“ท่านคงกังวลว่าหลังจากกลับมาก็จะเห็นคนอื่นมีความสุขกัน แต่ตัวเองกลับโดดเดี่ยวอยู่คนเดียวใช่หรือไม่เจ้าคะ?” แม่นมอี้รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ แม่นมหนิงก็เช่นกัน แต่กลับไม่อาจพูดออกมาเท่านั้น
“แล้วไม่ใช่หรือ?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยยอมรับ โดยเฉพาะยามที่เห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่กำลังท้องถูกทุกคนในบ้านประคบประหงมราวกับไข่ในหิน นางก็ยิ่งรู้สึกผิดหวัง คล้ายว่าหลังจากผู้หญิงคนนี้แต่งเข้าตระกูลมา ความสัมพันธ์ระหว่างนางและลูกหลาน นับวันก็ยิ่งห่างเหินกันขึ้นเรื่อยๆ หากเยี่ยนมี่เอ๋อร์สามารถให้กำเนิดอย่างราบรื่น เพิ่มลูกชายให้กับตระกูลซั่งกวน นางและลูกของนางก็คงเป็นที่สนใจและศูนย์กลางของบ้านหลังนี้เป็นแน่ ตัวเองก็ทำได้เพียงยืนอยู่ในมุมมืดเท่านั้น
“เช่นนั้นท่านก็พักอยู่ที่บ้านคุณชายอวี่ไข่ไปเรื่อยๆ เถิดเจ้าค่ะ!” แม่นมอี้กล่าวทั้งยิ้มๆ “ฮูหยินใหญ่ ท่านอย่าลืมว่า ผู้ที่คุณชายอวี่ไข่แต่งงานด้วยคือคุณหนูลูกผู้น้อง และในยามก่อนที่คุณหนูลูกผู้น้องจะออกจากลี่โจวก็พูดแล้วว่า หวังว่าหลังจากนี้จะสามารถรับท่านไปตอบแทนบุญคุณได้ ท่านเข้าไปดูพวกเขาสองสามีภรรยาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขต่อหน้าท่าน ปีถัดไปก็กำเนิดเด็กตัวอ้วนมาให้ท่านอุ้ม การใช้ชีวิตอย่างนั้นจึงจะนับว่าดีเจ้าค่ะ!”
“ใช่แล้ว!” แม่นมหนิงนึกไปถึงอวี่ไข่กลายเป็นพ่อคนก็มีความสุขขึ้นมา หัวเราะอย่างเริงร่า “ไม่ว่าสะใภ้ใหญ่จะให้กำเนิดอย่างไร ก็คงไม่อาจให้ท่านเข้าใกล้อยู่แล้ว ท่านยังมิสู้รออุ้มเหลนอีกคน”
อยู่ไปเรื่อยๆ? ทั่วป๋าซู่เยวี่ยลอบถอนหายใจ พูดเหมือนจะน่าฟัง แต่นิสัยของทั่วป๋าฉินซินคนนั้น สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นเด็กที่กตัญญู ให้นางไปอยู่ด้วยได้อย่างนั้นหรือ? นางสงสัยเป็นอย่างมาก!
“ที่จริงยังมีอีกหนึ่งวิธีเจ้าค่ะ!” แม่นมหนิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เริ่มแรกท่านก็เข้าไปพักบางครั้งบางคราว เดือนที่หนึ่งไปห้าหกวัน รู้สึกว่าพวกเขายังกตัญญู อยู่ด้วยแล้วสบายใจ เดือนที่สองก็อยู่ให้นานหน่อย หากรู้สึกว่าไม่เลว เดือนต่อไปก็อยู่ให้นานกว่านี้อีก รอท่านไปจนชินแล้ว รู้สึกว่าพวกเขาปฏิบัติกับท่านดีมาโดยตลอด ค่อยไปอยู่ยาวๆ ก็ไม่สายเจ้าค่ะ หากรู้สึกว่าพวกเขาไม่ค่อยมีความสุขเท่าไร ทั้งเมินเฉยไปบ้าง เช่นนั้นก็กลับมา ท่านว่าแบบนี้เป็นอย่างไรเจ้าคะ?”
นับว่าเป็นวิธีที่ดี! ทั่วป๋าซู่เยวี่ยครุ่นคิดในใจ หากเป็นเช่นนั้นก็สามารถรู้ได้ว่าพวกเขากตัญญูต่อตนจริงๆ หรือไม่ หากรู้คุณจริงๆ เช่นนั้นก็ย้ายเข้าไป ทั้งสามารถเอาของล้ำค่าของตนเองไว้ให้พวกเขาส่วนหนึ่ง และหากไม่เป็นเช่นนั้น กลับจวนมาก็พอแล้ว!
เห็นทั่วป๋าซู่เยวี่ยใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง แม่นมหนิงและแม่นมอี้ก็ไม่กล่าวอะไรต่อ แลกเปลี่ยนสายตากัน รู้สึกว่าต่างฝ่ายต่างก็สงสัยเหมือนกันกับตัวเอง…บางทีก็ควรจะพูดคุยดีๆ ได้แล้ว
———————————
[1] เทศกาลโคมไฟ หรือเทศกาลหยวนเซียว ตรงกับวันที่สิบห้าเดือนหนึ่ง ในวันนี้ชาวจีนจะรับประทานอาหารและบัวลอยด้วยกัน ทั้งออกไปชมโคมไฟที่ตกแต่งประดับประดาทั่วเมือง