เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 235 แรกพบ
“คาดไม่ถึงว่ากระจับจะเติบโตในดินโคลนสกปรกเช่นนี้ได้ด้วย!” อวี๋จวินล้างกระจับที่เปรอะเปื้อนด้วยดินโคลนไปพลาง ทั้งบ่นอุบอิบไปพลาง “เมื่อก่อนยามที่ได้ยินอาจารย์พูด อย่างไรข้าก็ไม่เชื่อ ของสีขาวๆ ไฉนจะสามารถเติบโตในโคลมตมได้ ทั้งยังเถียงข้างๆ คูๆ กับอาจารย์ ถูกกล่าวสั่งสอนเสียยกใหญ่”
“เจ้าเคยเห็นกระจับที่ยังไม่ถูกปอกหรือไม่?” พิงถิงเชื่อว่ากระจับที่นางกินย่อมมีสาวใช้ปอกให้เรียบร้อยหมดแล้ว อย่าพูดเลยว่าเห็นโคลนตม แม้แต่เปลือกของกระจับก็คงจะไม่เคยเห็นเช่นกัน
“เหมือนว่า…” อวี๋จวินเกาหัว ก่อนจะหัวเราะออกมา “เหมือนว่าจะไม่เคย ข้ายังเคยคิดว่ากระจับไม่มีเปลือกเสียอีก ภายหลังแม่นมบอกข้า กล่าวว่านั่นเป็นกระจับที่สาวใช้ล้างอย่างสะอาด ต้มสุกแล้วปอกเปลือกจึงนำมาให้ข้ากิน ข้าจึงค่อยรู้ว่ามันมีเปลือก เป็นสีเข้มๆ เช่นนี้ ถูกหรือไม่?”
“ใช่!” พิงถิงมองอวี๋จวินที่เกาหัวอย่างไม่สนว่าในมือมีโคลนหรือไม่ ผลปรากฏว่าไม่ทันระวังใบหน้าจึงเปื้อนโคลนไปเล็กน้อย จึงพยายามกลั้นขำ ด้านอวี๋หลิงเห็นเข้าก็แอบยิ้มเช่นกัน พี่สาวสองคนที่ใจร้ายล้วนไม่เตือนสาวน้อยสักนิด
“แต่ว่าล้างยากจริงๆ” อวี๋จวินรู้สึกว่าดินโคลนติดหนึบยิ่งนัก ยากที่จะล้างให้สะอาด ทำคิ้วขมวดมุ่นอย่างจริงจัง
“ไม่ต้องล้างให้สะอาดหมดจดขนาดนั้นหรอก เพียงแค่ขี้ดินขี้โคลนนั้นไม่ติดมากมายก็พอแล้ว!” พิงถิงนับว่ามีประสบการณ์ กล่าวด้วยรอยยิ้ม “จากนั้นขอเพียงแค่เอาใบและรากของกระจับออกนำกลับไป พวกสาวใช้ย่อมจะใช้น้ำบ่อเทล้างอยู่แล้ว จะล้างมันให้สะอาดหมดจดตอนนี้คงเป็นไปไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงถึงขนาดนั้น”
“แบบนี้หรือ?” อวี๋จวินเด็ดรากใบของกระจับอันหนึ่งที่ล้างไปพอประมาณแล้ว นำให้พิงถิงดู พิงถิงรีบผงกศีรษะทันที ใบหน้าเล็กนั้นเผยยิ้ม ก่อนจะนำกระจับที่ล้างสะอาดนั้นใส่ลงไปในตะกร้า จากนั้นก็เริ่มห้ำหั่นกับกระจับต้นอื่นต่ออีกครั้ง ด้านคนพายเรือก็ตักกระจับกอแล้วกอเล่าขึ้นมาบนเรือให้พวกนางอย่างระมัดระวัง
“พิงถิง พวกเจ้าเก็บได้ไม่เลวเลย” ในยามที่จิงอิ๋งมาถึงก็เห็นในตะกร้ามีกระจับวางเป็นชั้นๆ อยู่บางๆ แต่ในบนเรือนั้นยังมีอีกมาก ดูท่าแล้วหากจะใส่ให้เต็มตะกร้าก็ย่อมไม่ใช่ปัญหา
“แน่นอนอยู่แล้ว” อวี๋จวินเชิดหน้าอย่างภูมิใจ ใบหน้าเล็กที่เปรอะเปื้อนโคลนนั้นสะท้อนสู่สายตาของคนพวกนั้นทันที เวลานี้จิงอิ๋งจึงอดหัวเราะออกมาไม่ได้
“หัวเราะอันใด?” อวี๋จวินยกมือลูบหน้าทันที ยามนี้ตัวเองก็รู้แล้วว่ามีอะไรผิดปกติไป…เมื่อครู่มีเพียงเศษโคลนเล็กๆ แต่ยามนี้กลับกระจายไปทั่วหน้า อวี๋หลิงและพิงถิงอดไม่ไหวอีกต่อไป หัวเราะออกมาตามๆ กัน ทำให้สาวน้อยที่โมโหนั้นไม่สนใจแล้วว่ากำลังอยู่บนเรือ ยื่นมือไปทาหน้าพิงถิงและอวี๋หลิงทันที ทำเอาทั้งสองคนร้องอย่างตกใจขึ้นมา
“ล้วนเป็นเหมือนกับข้าทั้งนั้น ดูสิว่าพวกเจ้าจะยังหัวเราะได้อีกหรือไม่!” ยามนี้อวี๋จวินเป็นสุขอย่างมาก พลิกมือลูบหน้าอีกครึ่งหนึ่งของตัวเองให้เป็นสีดำอย่างรู้แล้วรู้รอดไป ท่าทีราวกับดูว่าพวกเจ้าจะจัดการกับข้าอย่างไรอีก
คนอื่นๆ ที่เห็นพวกนาง ต่างก็อดไม่ไหวหัวเราะเสียงดังขึ้นมา เสียงหัวเราะที่กระเพื่อมอยู่บนน้ำ ทำให้พิงถิงตากระจ่างวาบขึ้นมา ก่อนจะเหวี่ยงโคลนในมือไปทางเรือเล็กด้านข้างทันที ฉับพลันก็มีคนได้รับผลกระทบ ใบหน้า ร่างกายล้วนเปรอะเปื้อนไปด้วยโคลน เด็กสาวพวกนั้นไม่สนุกอีกแล้ว หุบปากลง ก่อนจะเลียนแบบบ้าง ไม่นานนัก การแข่งขันเก็บกระจับที่วาง แผนไว้ก็แปรเปลี่ยนเป็นสงครามโคลนทันที…
พวกคนพายเรือพยายามควบคุมเรือเล็กอย่างระมัดระวัง ไม่ให้มันคว่ำเอาได้ กระนั้นยิ่งทำให้ระยะห่างระหว่างเรือใกล้กันเข้ามาเรื่อยๆ บางทีเรือไม่กี่ลำก็กระทบเข้าด้วยกัน พวกคุณหนูบนเรือละทิ้งความถือตัว ทิ้งข้อจำกัดต่างๆ ใช้มือที่เต็มไปด้วยโคลนลูบหน้า และบนร่างฝ่ายตรงข้ามทันที ต่างก็มีสภาพที่ ‘แม้นร่างจะเลอะด้วยโคลน ก็ขอให้อีกฝ่ายเลอะไปด้วยเช่นกัน’ อลม่านจนไม่สามารถปลีกตัวออกมาได้
“คุณหนูทั้งหลาย พวกเจ้ากำลังทำอะไรกันอยู่?” เสียงสูงของชายหนุ่มแทรกผ่านเข้ามาทำให้พวกคุณหนูที่กำลังชุลมุนวุ่นวาย เล่นสนุกสนานกันอยู่นั้นชะงักไปทันที เมื่อมองดู ก็พบว่าเรือเล็กๆ สิบกว่าลำกำลังค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ บนเรือกลับเป็นชายหนุ่มที่เข้ามาเพื่อเก็บกระจับ ทำให้พวกคุณหนูต่างเขินอายพากันปิดหน้าปิดตา เร่งรัดให้คนพายเรือดึงกระจับกองใหญ่ขึ้นมาบนเรือก่อนจะหนีเตลิดเปิดเปิงไปคนละทิศละทาง พาให้พวกชายหนุ่มที่เห็นผืนน้ำโล่งเกลี้ยงขึ้นมาในชั่วพริบตา หัวเราะเสียงดังออกมาตามๆ กัน…
ซั่งกวนเจวี๋ยยิ้มขมขื่น แท้จริงแล้ว ยามที่เก็บกระจับตั้งใจอยากจะให้น้องสาวทั้งสองได้พบกับพวกคุณชายที่ล่วงหน้ามางานครั้งนี้ ทั้งสร้างความประทับใจต่อกันเสียหน่อย คาดไม่ถึงว่ากลับถูกสงครามที่ยากจะเกิดขึ้นตามใจของคุณหนูพวกนี้ทำลายเสียสิ้น เมื่อกำลังครุ่นคิด โคลนก้อนโตก็พุ่งปะทะหน้าเข้ามา เขายื่นมือไปบังไว้อย่างรวดเร็ว จับก้อนโคลนที่ถูกใครบางคนซุ่มโจมตีไว้ เมื่อมองออกไป ก็พบกับอิ๋งอี้หังที่เผยยิ้มระรื่นอย่างแปลกประหลาด…
“พี่ชายซั่งกวน พวกเรามาเริ่มสงครามปาโคลนครั้งใหม่กันบ้างดีหรือไม่!” แต่ไหนแต่ไรอิ๋งอี้หังก็ไม่เคยมีท่าทีเหิมเกริมเช่นนี้มาก่อน ยามที่เรือเล็กพายกันออกไปอย่างรวดเร็ว เขาก็มองเห็นทั่วป๋าอวี๋หลิงที่ยิ้มอย่างร่าเริงแล้ว เขาไม่เคยเห็นหวงฝู่อวี๋หลิงด้านที่มีชีวิตชีวาถึงเพียงนี้มาโดยตลอด จู่ๆ ในใจก็อยากสัมผัสความสนุกเช่นนี้บ้าง ดังนั้นจึงยื่นมือไปดึงกระจับไม่กี่อันขึ้นมา โอบกอดความสงสัย ก่อนจะเหวี่ยงดินโคลนที่อยู่บนกระจับไปทางซั่งกวนเจวี๋ย
“อันนี้หรือ!” ซั่งกวนเจวี๋ยทำทีครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง ก่อนจะพลิกมือโยนออกไปทันที โคลนที่อยู่ในมือจึงพุ่งไปเบื้องหน้าของอิ๋งอี้หัง ชายหนุ่มผู้ที่รอการตอบกลับจากเขาแทบไม่ทันได้ตั้งตัว แม้จะยกมือขึ้นมาบังอย่างว่องไว แต่ก็ยังคงมีเศษโคลนเล็กๆ ฝ่าการป้องกันของเขาเข้าไป เปรอะเปื้อนที่ใบหน้าหล่อเหลา
“เจ้าเล่นทีเผลอ!” อิ๋งอี้หังหัวเราะทั้งขยับมือสองข้างไปพลาง ดึงคนที่อยู่ในเป้าโจมตีทั้งหมดมาร่วมวงด้วยกัน ดังนั้น ชายหนุ่มที่ทำให้พวกคุณหนูหนีไปอย่างตกใจเหล่านี้ก็เริ่มสงครามปาโคลนขึ้นเช่นกัน…
“สุดท้ายก็มีสภาพเช่นนี้!” จิงอิ๋งล้างโคลนที่เปรอะเปื้อนหน้าในทะเลสาบอย่างระมัดระวังจนสะอาด แม้ว่าบนผมและเสื้อผ้าจะมีคราบโคลนที่ไม่อาจล้างออก แต่ก็ยังคงงดงามอยู่ดี
“ช่างน่าสนุกเสียจริง!” อวี๋จวินยิ้มเผล่ออกมา ในฐานะที่เป็นคนเริ่มทาโคลนให้คนอื่นเป็นคนแรก นางนั้นภูมิใจเป็นอย่างมาก และคนที่ถูกนางโจมตีอย่างทุลักทุเลที่สุดอย่างพิงถิงและอวี๋หลิงต่างก็อยู่ในสภาพเปื้อนยิ้ม
“เจ้าเด็กนี่ยังพูดอยู่อีก ล้วนเป็นเพราะเจ้าที่ก่อเรื่องก่อน!” พิงถิงบีบจมูกของนางเบาๆ พวกนางเข้าไปหลบในพุ่มดอก บัวด้วยกัน ล้างโคลนที่เปื้อนหน้าให้สะอาดสะอ้าน จัดแจงเผ้าผมและเสื้อผ้า ก่อนจะเริ่มล้างกระจับในทะเลสาบ รู้สึกว่าเงียบสงบดีไม่น้อย
“แต่อย่างไรก็สนุกจริงๆ นะ” อวี่หลิงหัวเราะเบาๆ “แต่ไหนแต่ไรข้าก็ไม่เคยเล่นเป็นเด็กๆ เช่นนี้มาก่อน ข้าว่าพวกสหายคนอื่นๆ ก็คงเป็นแบบนี้เช่นกัน แม้ว่าจะทุลักทุเลไปบ้าง แต่ก็มีความสุขกันจริงๆ!”
“ล้วนเป็นความดีความชอบของข้าทั้งนั้น” อวี๋จวินหัวเราะอย่างร่าเริง “หากไม่มีข้า ไม่ว่าพวกเจ้าหรือใครก็คงไม่กล้าทำเรื่องน่าสนุกเช่นนี้หรอก แม้ว่าจะเป็นจิงอิ๋งก็เหมือนกัน ถูกหรือไม่?”
“ใช่” จิงอิ๋งขานรับอย่างไม่สบอารมณ์เท่าใด เมื่อดูอย่างละเอียดว่าตามเล็บไม่มีเศษโคลนแล้ว จึงกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นต้องให้พวกเราขอบคุณเจ้าดีๆ หรือไม่ เด็กน้อย?”
“ไม่ต้องหรอก!” อวี๋จวินเผยยิ้มประจบประแจงอย่างรู้ความขึ้นมา “ยามนี้พวกเราจะย้อนกลับไป หรือจะเที่ยวเล่นอีกสักพักดี? พวกเราตกปลากันดีหรือไม่?”
“ดี!” ล้วนแต่เป็นพวกคนที่ชอบตามใจเด็ก (ยกเว้นมู่หรงชิงอวิ้น กระนั้นนางก็อยากจะอยู่แบบนี้สักพักเช่นกัน) ต่างก็เห็นด้วยทันที ดังนั้น คนพายเรือจึงประคองเรือเล็กให้อยู่ใกล้ๆ กันหน่อย ก่อนคนบนเรือจะเริ่มวางเบ็ด ด้านจิงอิ๋ง บางครั้งก็แกะเม็ดบัวสดพวกนั้นใส่เข้าไปในปาก รสชาติกรอบๆ หวานมัน นับว่าเพลิดเพลินไม่น้อย
“แหวะ เม็ดบัวนี้ไฉนจึงไม่อร่อยขนาดนี้!” เป็นเด็กสาวตัวเล็กที่ทำลายความเงียบขึ้นมาอีกครั้ง พิงถิงมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์ไปที ก่อนจะสอนนางเอาเมล็ดตรงกลางเม็ดบัวออก เด็กสาวที่ไม่รู้มาก่อนแลบลิ้นออกมาอย่างน่ารัก ไม่ตกปลาอีกแล้ว แต่เริ่มแกะเม็ดบัวอย่างจริงจังแทน…
‘แกร๊ก…’ ในยามที่พวกนางกำลังดื่มด่ำกับความเงียบสงบ เรือเล็กลำหนึ่งก็ถลาเข้ามา บนเรือนั้นมีชายหนุ่มสามคนคล้ายกับว่าต่างก็ไม่คาดคิดว่าที่นี่จะมีหญิงสาว ใบหน้านั้นเผยความตกใจ แต่สิ่งที่ทำให้พวกจิงอิ๋งขบขันก็คือพวกเขาล้วนมีท่า ทีสะบักสะบอม ดูท่าหลังจากพวกนางออกมา พวกผู้ชายก็คงเลียนแบบเล่นสงครามปาโคลนกันหมดเช่นกัน
“คาดไม่ถึงว่าที่นี่จะเป็นที่พักของคุณหนูอยู่ก่อนแล้ว พวกข้ามาอย่างกะทันหัน ต้องขอโทษด้วยจริงๆ” หนึ่งในนั้นกล่าวขอโทษทันที เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของจิงอิ๋งก็ปรากฏในครรลองสายตา จู่ๆ ก็รู้สึกร้อนฉ่าขึ้นมาอยู่บ้าง น้ำเสียงที่พูดก็ยิ่งเบาลงเรื่อยๆ
“มีใบบัวบังอยู่ พวกเจ้าจะไม่รู้ก็เป็นเรื่องปกติ!” จิงอิ๋งยิ้มบาง มองใบหน้าชายหนุ่มที่ลายพร้อยไปหมด แค่ได้ยินเสียง ก็สามารถรับรู้ได้ว่าเป็นคนที่สูงส่งสง่างามคนหนึ่ง ในใจก็เกิดความรู้สึกดีขึ้นมาอย่างเลือนราง
“พวกเราจะถอยออกไป!” ชายหนุ่มเห็นใบหน้าประดับยิ้มของจิงอิ๋ง ก็อดทอดถอนหายใจไม่ได้…หากตัวเองยามนี้ไม่ได้อยู่ในสภาพทุลักทุเลถึงเพียงนี้ก็คงจะดี ย่อมจะหาโอกาสทำความรู้จักเสียหน่อย แต่…เขารู้ว่าตัวเองสกปรกไปทั้งตัว หากยังหน้าหนาเข้าไปก็จะเป็นการหยาบคายกับหญิงงาม และคนด้านข้างทั้งสองของเขาก็ให้คนพายเรือถอยกลับไปแล้ว
‘ปัง’ สิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือ ด้านหลังพวกเขายังมีเรือเล็กอีกลำ เรือสองลำชนกันเบาๆ และด้านหลังก็ได้ยินเสียงของคนๆ หนึ่ง “ถอยไม่ได้ เดินไปด้านหน้า!”
“เป็นพี่อิ๋งอี้หังหรือ?” พวกนางล้วนฟังออกว่าเป็นเสียงของอิ๋งอี้หัง แต่ยามนี้ผู้ที่เหมาะจะส่งเสียงมีเพียงอวี๋จวิน เด็กสาวตัวน้อยเท่านั้น
“ข้าเอง เป็นคุณหนูผู้ใดกัน?” ในยามนี้อิ๋งอี้หังอยู่ในสภาพที่ทุลักทุเลที่สุด เขาถูกไล่โจมตีจนหนีเข้ามา หากยังกล้าโผล่หัวออกไปอีก ย่อมต้องกลายเป็นมนุษย์โคลนเป็นแน่
“ข้าคืออวี๋จวิน ท่านพี่ก็อยู่ที่นี่” อวี๋จวินหัวเราะร่า “พวกพี่ชายบนเรือนี้ก็ไม่ต้องหลบไป พวกเราเคลื่อนไปด้านหน้า หาที่กว้างๆ พักกันเสียหน่อยเถิด”
คนอื่นๆ ไม่กี่คน ต่างก็พยักหน้าเล็กน้อย คนพายเรือที่รู้งานก็พาเรือเล็กเคลื่อนไปที่อีกแห่งที่กว้างขวางขึ้นมาเล็กน้อยทันที เรือของอิ๋งอี้หังก็ปรากฏแก่สายตาพวกนาง กลับพบว่าผู้ที่มักจะสวมเสื้อผ้าเป๊ะทุกระเบียบนิ้ว มีท่าทีสุภาพเรียบร้อยอย่างอิ๋งอี้หังนั้น เลอะโคลนไปทั่วร่าง โคลนบางที่ยังมีใบของกระจับติดมาด้วย ทำให้คนไม่กี่คนที่คุ้นเคยกับเขาดีนั้นต่างก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
“ที่แท้ก็คือพวกน้องๆ นี่เอง!” อิ๋งอี้หังกล่าวอย่างยิ้มๆ “ได้รับเสียงหัวเราะจากน้องๆ ก็ไม่เสียทีที่ข้าอยู่ในสภาพทุลักทุเลเช่นนี้แล้ว!”
“ที่แท้พี่อิ๋งก็รู้จักกับคุณหนูพวกนี้” ผู้ที่พูดเป็นชายหนุ่มบนเรือที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้พูดอะไรคนหนึ่ง จู่ๆ ก็เอ่ยปากขึ้นมา ผู้ที่รู้จักกับอิ๋งอี้หัง ทั้งยังสามารถเรียกอย่างสนิทสนมไม่แน่ว่าจะเป็นหญิงสาวธรรมดาทั่วไปอยู่แล้ว จึงมีความสนใจอยากทำความรู้จักขึ้นมา
“เด็กสาวตัวน้อยที่พูดคนนั้น ยามนี้ยังไม่มีคู่หมั้น” อิ๋งอี้หังกล่าวอย่างเรียบง่าย จากนั้นก็แนะนำให้พวกคุณหนูรู้จักอย่างตรงๆ “ผู้นี้คือลูกชายคนโตภรรยาเอกตระกูลจางแห่งจิ้นหยาง จางอี๋หยาง ส่วนสองคนนี้ ผู้นี้คือหลินไต้เจี๋ยของตระกูลหลินแห่งจิ้นหยาง อีกคนคือ ซย่าจื่อชิงของตระกูลซย่าแห่งหยวนโจว บนเรือของข้า ผู้นี้คืออิ่นหนานอวี่ของตระกูลอิ่นแห่งเสียนหยาง ส่วนคนนี้คือน้องชายของเขา อิ่นหนานฉี”
พวกหญิงสาวทำเพียงพยักหน้ารับเป็นนัย ด้านพิงถิงและจิงอิ๋งแลกเปลี่ยนสายตากัน จางอี๋หยางนั้นเป็นหนึ่งในรายชื่อบัญชีดำที่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อให้พวกนางดู แต่หลินไต้เจี๋ยและซย่าจื่อชิงกลับเป็นคนที่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกล่าวว่าดีไม่น้อย พิงถิงนั้นแทบไม่ได้มีความรู้สึกอันใด แต่จิงอิ๋งกลับมองคนที่ชื่อซย่าจื่อชิงไปอีกที รู้สึกว่าคนผู้นี้พอที่จะสามารถพบกันอีกครั้งได้…