เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 236 แค่ฝ่ายเดียวอย่างนั้นหรือ?
กลุ่มสาวใช้เจ็ดแปดคนต่างช่วยกันยกตะกร้าที่อัดแน่นไปด้วยผลไม้สดใหม่ทยอยเข้าไปในเรือนพำนักของแขกผู้ชาย เพื่อตระเตรียมผลไม้ไว้ในทุกห้อง ด้านพวกชายหนุ่มที่เพิ่งอาบน้ำชะล้างสิ่งสกปรก ฟื้นฟูความมีชีวิตชีวาขึ้นมาก็นั่งจับกลุ่มสามถึงห้าคนในเรือน พูดถึงกิจกรรมของวันนี้ บางคนก็บ่นถึง คนบางคนที่นับว่า ‘เป็นคนเริ่มเล่นโคลนคนแรก’ กระนั้นคนส่วนมากต่างก็สนุกครื้นเครงเป็นอย่างมาก ตั้งแต่เล็กจนโตคนเหล่านี้ก็ไม่เคยทำตัวสบายๆ เล่นอะไรเช่นนี้มาก่อน รู้สึกว่าแปลกใหม่ ทั้งมีความสนุกแบบเด็กๆ นานๆ ทีจะทำกิจกรรมเช่นนี้ก็นับว่าไม่เลวเลย อีกด้านหนึ่ง คนไม่กี่คนที่มีชะตาได้พบกับพวกจิงอิ๋งกลับพูดคุยกันอยู่ในห้อง ไม่อยากจะออกมาคุยเล่นอย่างใดแม้แต่น้อย
“จื่อชิง เจ้าว่าคุณหนูพวกนั้นเป็นใครกันแน่?” จางอี๋หยางขอเพียงแค่มีชะตาได้พบคุณหนูไม่กี่คนก็ไม่อาจลืมเลือนได้อยู่บ้างแล้ว ไม่ใช่ว่าพวกนางล้วนรูปโฉมงดงามจนทำให้ผู้คนตื่นตะลึง แต่เขาเชื่อว่าคุณหนูพวกนั้นย่อมมีฐานะที่ไม่ธรรมดาเป็นแน่ ก่อนที่เขาจะมาก็รู้แล้ว คุณหนูทั้งสองของตระกูลซั่งกวนได้ถึงวัยที่จะพูดถึงเรื่องการแต่งงานแล้ว จึงพยายามที่จะแสดงตัวเสมอมา หากสามารถผูกสัมพันธ์กับคนใดคนหนึ่งได้ ไม่เพียงแต่เขา ยังมีตระกูลที่จะได้รับแรงสนับสนุนด้วย ไม่รู้ว่าหนึ่งในนั้นจะมีคุณหนูของตระกูลซั่งกวนหรือไม่?
อิ๋งอี้หังมีท่าทีที่ไม่ชัดเจน จงใจไม่แนะนำให้พวกเขารู้จัก (หากอิ๋งอี้หังแนะนำพวกจิงอิ๋งให้พวกเขารู้จัก นับว่าเสียมารยาทแล้ว) แนะนำเพียงเด็กสาวอายุน้อยที่สุดผู้นั้นว่ายังไม่มีคู่หมั้น ทั้งเป็นคุณหนูตระกูลหวงฝู่ และผู้ที่เล่นหูเล่นตากับอิ๋งอี้หังผู้นั้นแปดถึงเก้าส่วนย่อมเป็นว่าที่คู่หมั้นของเขา คุณหนูลูกภรรยาเอกจากตระกูลหวงฝู่ ล้วนกล่าวกันว่ากาเข้าฝูงกา หงส์เข้าฝูงหงส์ ผู้ที่สามารถสนิทสนมกับคุณหนูภรรยาเอกของตระกูลหวงฝู่ได้ถึงขนาดนี้ หากไม่ใช่คุณหนูทั้งสองของตระกูลซั่งกวน ก็เป็นไปได้ว่าจะเป็นคุณหนูตระกูลหวัง ตระกูลหลี่หรือตระกูลมู่หรง อีกทั้งคุณหนูพวกนี้ล้วนแต่พิถีพิถัน น้อยครั้งที่จะรวมกลุ่มกับลูกอนุภรรยา คิดมาถึงตรงนี้เขาก็รู้สึกแสบร้อนในใจขึ้นมา รู้สึกว่าตัวเองนั้นพลาดพลั้งโอกาสที่ดีไป
“ข้าจะรู้ได้อย่างไร!” ซย่าจื่อชิงสั่นศีรษะ ในหัวนั้นยังคงมีใบหน้าคนงามวูบวาบไปมา รอยยิ้มของนางดูช่างบริสุทธิ์เสียจริง น้อยครั้งที่จะได้เห็นคนยิ้มได้อย่างจริงใจเช่นนั้น พวกคุณหนูคล้ายมักจะยิ้มอย่างถือตัว ทั้งยังแฝงไปด้วยความเสแสร้ง ทำให้คนยากที่จะมองออกว่าภายใต้รอยยิ้มนั้นซ่อนอะไรไว้อยู่ แต่นางกลับไม่เหมือนกัน เป็นการยิ้มออกมาเพราะมีความสุขอย่างแท้จริง
“เจ้าว่าพวกนางจะเป็นคุณหนูของตระกูลซั่งกวนหรือไม่?” จางอี๋หยางและซย่าจื่อชิงไม่ได้สนิทสนมกันเท่าใด แต่คนที่มาจากจิ้นหยาง นอกจากหลินไต้เจี๋ยแล้ว คนอื่นๆ ก็ล้วนแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ชอบใจเขา และหลินไต้เจี๋ยกับซย่าจื่อชิงก็เป็นสหายสนิทกัน ดังนั้นเขาจึงพยายามฝืนใจสนิทสนมกับซย่าจื่อชิง…แน่นอนว่าคนที่ลำบากใจกว่าเขาก็คือซย่าจื่อชิง ยามที่ซย่าจื่อชิงเริ่มจะรู้จักก็ไม่ชอบสหายที่เลือกปฏิบัติผู้นี้แล้ว จะคบค้าสมาคมก็ใครก็แบ่งเป็นสาม หก เก้าประเภทนับไม่ถ้วน แน่นอนว่าท่าทีก็ย่อมไม่เหมือนกัน กับพวกอิ๋งอี้หังต้องเรียกว่าเคารพพอตัว กับพวกตนเองแล้วก็สบายๆ แต่หากพบตระกูลที่ด้อยกว่าเขาหรือพอๆ กับเขา มีชาติกำเนิดต่ำกว่าเล็กน้อย ก็จะหยิ่งผยองถือตัวเป็นอย่างมาก
“ข้าไม่รู้!” ซย่าจื่อชิงก็ทราบข่าวเล็กๆ มาว่า คุณหนูทั้งสองของตระกูลซั่งกวนได้ถึงวัยที่เหมาะสมแล้ว อาจจะเลือกตัวเจ้าบ่าวในงานชมดอกบัว แต่ก็เป็นเพียงข่าวเล็กๆ เท่านั้น ไม่มีคนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงกล้าไปยืนยันข่าวนั้นจากคนของตระกูลซั่งกวนจริงๆ ได้หรอก แต่ผู้ที่มาเพราะจุดประสงค์นี้ก็มีไม่น้อย เขาก็นับว่ามาด้วยจุดประสงค์บางอย่างเช่นกัน เพียงแต่สิ่งที่เขาคิดคือ พอจะสามารถถูกตาต้องใจกับคุณหนูที่มีชาติกำเนิดใกล้เคียงกันในงานชมดอกบัวบ้างหรือไม่ กลับไม่ได้คิดใฝ่สูงไกลเกินตัว…ตระกูลซย่าก็นับว่าเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงไม่เป็นสองรองใคร แต่เมื่อเทียบกับตระกูลซั่งกวนที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ก็เห็นได้ชัดว่าด้อยไปกว่ามาก คำสั่งสอนหนึ่งบทของบรรพบุรุษตระกูลซย่าก็ทำให้ลูกหลานตระกูลซย่ามีความคิดความสามารถเช่นกัน แต่ย่อมไม่อาจเทียบกับตระกูลซั่งกวนที่เล่าขานกันว่ามีลูกหลานสายตรงสืบสกุลมาหลายชั่วอายุคนได้
“เจ้าจะรู้อะไรบ้างเนี่ย?” จางอี๋หยางมองซย่าจื่อชิงที่ ‘ไม่มีความคิดทะเยอทะยาน’ อย่างดูแคลน แม้ว่าซย่าจื่อชิงจะไม่ใช่ลูกคนโตตระกูลซย่า แต่พี่ชายคนโตของเขาตั้งแต่เล็กก็ซุกซน คนใช้ดูแลไม่ดี จึงล้มขาหักหนึ่งข้าง แม้ว่าจะเชิญหมอจากที่ต่างๆ มารักษา ท้ายที่สุดก็อยู่ในสภาพพิกลพิการอยู่ดี ตำแหน่งผู้นำตระกูลซย่าคนต่อไปแทบที่จะไม่เกินกำลังเขาเลย แต่เขากลับไม่มีความทะเยอทะยานแม้แต่น้อย ไม่หาโอกาสทำความรู้จักกับหญิงสาวตระกูลสูงส่งดีๆ ทำให้สิ้นเปลืองโอกาสเสียเปล่า
ซย่าจื่อชิงเผยยิ้มเล็กน้อย ไม่ใส่ใจเขาอีก แต่เบนความสนใจไปมองหลินไต้เจี๋ยที่กำลังแกะสลักตราประทับให้ตัวเองอยู่ จางอี๋หยางรู้สึกเบื่อหน่าย คิดไปคิดมา จึงตัดสินใจไปหยั่งเชิงทางพี่น้องตระกูลอิ่นแทน ตระกูลอิ่นและตระกูลอิ๋งมีความ สัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา คาดว่าคงจะพอรู้เรื่องภายในได้อยู่กระมัง!
“หลินไต้เจี๋ย ภายหลังไม่อยู่กับคนผู้นี้อีกแล้วได้หรือไม่?” ซย่าจื่อชิงรอจนจางอี๋หยางออกไป เงี่ยหูฟัง เมื่อมั่นใจว่าเขาไปไกลแล้วก็ถอนหายใจ สำหรับคนผู้นี้ นับว่ารำคาญใจจนแทบทนไม่ไหวจริงๆ
“ข้ามีทางเลือกหรือ?” หลินไต้เจี๋ยก็ทอดถอนหายใจ วางหินเลือดไก่ในมือไว้อีกด้าน เขาอุตส่าห์ใช้การแกะสลักตราประทับกลบเกลื่อน เพื่อหลีกหนีจากการพูดคุยกับคนผู้นี้ แต่ไหนเลยจะเอาชนะการพูดเองเออเองของเขาได้!
“เจ้าว่า คุณหนูที่พวกเราเห็นในวันนี้เป็นคุณหนูที่มีชาติตระกูลใกล้เคียงกับพวกเราหรือเปล่า?” ซย่าจื่อชิงนั้นคิดไม่เหมือนกับจางอี๋หยางโดยสิ้นเชิง สิ่งที่เขาคิดคือ หากคุณหนูที่มีรอยยิ้มงดงามนั้นมีชาติตระกูลไม่ห่างชั้นกับเขามากก็นับเป็นเรื่องดี หลังจากกลับไปเขาก็สามารถขอร้องให้บิดามาสู่ขอให้เขาได้
“เจ้าหมายถึงคนไหน?” หลินไต้เจี๋ยถามอย่างแปลกใจ เวลานั้นบนเรือสองลำมีคุณหนูหกคน ไม่รู้ว่าเขากำลังพูดถึงคนไหน
“ก็คนที่พูดคุยกับพวกเราคนนั้นไง!” คำพูดของซย่าจื่อชิงทำให้สาวใช้สองคนที่เพิ่งยกผลไม้เข้ามาในเรือนเล็กชะงักไปเล็กน้อย หนึ่งในนั้นทำสัญญาณมือ คนใช้คนอื่นๆ ก็ผ่อนลมหายใจกันอย่างแผ่วเบา ไม่กล้าจะขยับแม้แต่น้อย
“อิ๋งอี้หังไม่ใช่บอกแล้วหรือ นั่นเป็นน้องภรรยาของเขา!” หลินไต้เจี๋ยกล่าวไปตามจริง เด็กแสบผู้นั้นย่อมเป็นคุณหนูของตระกูลหวงฝู่ ยามนี้ยังดูไม่ออกเท่าไร แต่โตขึ้นมาย่อมต้องสวยแน่
“ไม่ใช่ อีกคนหนึ่ง คนที่สวยมากๆ ทั้งยิ้มอย่างใสซื่อผู้นั้น!” ซย่าจื่อชิงร้อนใจอยู่บ้าง คนที่เขาพูดถึงไม่ใช่เด็กสาวที่ไม่โตดีผู้นั้นเถอะ
“เจ้าหมายถึงหญิงสาวในชุดสีเหลืองที่อยู่ข้างเด็กสาวคนนั้นหรือ นางงดงามจริงๆ เพียงแต่ดูท่าแล้วจะคุ้นเคยกับอิ๋งอี้หังเป็นอย่างดี มีความเป็นไปได้อย่างมากว่าจะเป็นว่าที่คู่หมั้นของอิ๋งอี้หัง” บางครั้งหลินไต้เจี๋ยก็ทึมทื่อไปบ้าง แต่ยามนี้กลับจงใจหยอกล้อสหายสนิทเท่านั้น
“เจ้าอย่ามาแสร้งโง่ที่นี่ เจ้ากระจ่างใจดีว่าข้าหมายถึงคุณหนูที่สวมชุดสีเข้ม คนแรกที่พูดคุยกับข้าคนนั้น!” ซย่าจื่อชิงจัดการสหายสนิทอย่างโมโหไปที “เจ้าไม่รู้สึกเลยหรือว่านางงดงามอย่างมาก รอยยิ้มก็ยังสดใสถึงเพียงนั้น ไม่มีความรู้สึกเสแสร้งแม้แต่น้อย เจ้าว่านางจะเป็นคุณหนูของตระกูลใด?”
สาวใช้ที่แอบอยู่เงียบๆ ในเรือนคนหนึ่งตีเบาๆ ไปที่อีกคน ดวงตานั้นแฝงด้วยรอยยิ้มแปลกประหลาด ด้านคนที่ถูกตีก็กลอกตาใส่นางอย่างไม่เกรงใจไปที
“ข้าว่านางสนิทสนมกับคุณหนูตระกูลหวงฝู่ขนาดนั้น เริ่มแรกก็เป็นนางที่พูด หากไม่เป็นพวกคุณหนูตระกูลใหญ่ๆ จำพวกตระกูลซั่งกวนละก็ คงจะเป็นสาวใช้ใหญ่ของคุณหนูสูงส่งพวกนั้น เจ้าคิดว่าเป็นแบบไหนล่ะ?” หลินไต้เจี๋ยไม่อยากจะโจมตีสหายสนิท แต่ยามนี้โจมตีเสียหน่อยก็ดี คิดว่าเขานั้นคิดเพ้อฝันเกินความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ล้วนไม่อาจมีความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาความสัมพันธ์กับพวกตนทั้งนั้น
“แต่เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า บางทีนางอาจจะมีชาติกำเนิดใกล้เคียงกับข้า แต่แค่บังเอิญไปร่วมวงกับพวกคุณหนูหวงฝู่เท่านั้น ก็เหมือนพวกเราที่เข้าไปร่วมวงอยู่กับพวกอิ๋งอี้หังโดยไม่คาดคิดอย่างไร?” ซย่าจื่อชิงรู้ว่านี่แทบจะเป็นไปไม่ได้ คุณหนูพวกนั้นตกปลาในท่าทีสบายๆ หากไม่ได้มีมิตรภาพอันดีต่อกัน คาดว่าก็คงไม่อยู่ด้วยกันได้หรอก
“เจ้าก็ตื่นเสียหน่อยเถิด” หลินไต้เจี๋ยเพียงไม่อยากแสดงตัวให้โดดเด่นเกินไป ให้เกิดความหมางใจอะไรกับพี่ชายใหญ่ที่ขี้ระแวงเขาคนนั้น แต่เมื่ออยู่เบื้องหน้าสหายสนิทของตัวเองผู้นี้จึงไม่คิดปิดบัง “หากเป็นเช่นนั้น เจ้าและนางก็ยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้ หากนางมีท่าทีที่เหมือนรู้จักกันมานานกับคุณหนูตระกูลหวงฝู่หรือมีไมตรีที่ดีต่อกัน ก็มีความเป็นไปได้ว่า นางมีความคิดจะแต่งเข้าตระกูลหวงฝู่ และยิ่งไปกว่านั้นก็คงไม่สนใจเจ้า!”
“แต่ว่า…” ซย่าจื่อชิงรู้สึกโดยสัญชาตญาณว่าหญิงสาวที่มีรอยยิ้มเช่นนั้น ย่อมไม่อาจหลงใหลในเกียรติยศ ความมั่นคั่งอันใดหรอก หากเป็นเช่นนั้น นางก็คงไม่เหมาะกับรอยยิ้มแบบนั้น
“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น!” หลินไต้เจี๋ยอยากจะตีหัวสหายสนิทแรงๆ สักที เพียงแค่พบหน้าครั้งเดียวคุยกันสองประโยค ทั้งเพราะอิ๋งอี้หังจึงติดอยู่กับพวกนางเป็นเวลาเสียครึ่งก้านธูป คุณหนูนั่นไม่ได้มองเขาสักนิด ไฉนจึงพาสติหลุดลอยไปไกลจนแทบไม่เห็น เจ้าสหายเพ้อฝันผู้นี้นี่!
“ข้าอยากรู้ว่าจะสามารถสืบข่าวของฐานะนางได้หรือไม่!” ซย่าจื่อชิงคิดว่าตัวเองได้พบกับคนที่โชคชะตาลิขิตไว้คนนั้นแล้ว แม้ว่าจะไม่สามารถผูกสัมพันธ์กันได้ แต่ก็ต้องการรู้ถึงฐานะของนาง
“จะสืบข่าวอย่างไร?” หลินไต้เจี่ยถลึงตามองเขา “ไปหาคุณหนูหวงฝู่อย่างนั้นหรือ? อย่าว่าคนอื่นจะไม่สนใจเจ้าเลย แต่ข้อจำกัดระหว่างชายหญิงเช่นนี้ข้ามไปไม่พ้นหรอก หากทำให้อิ๋งอี้หังเข้าใจผิด คิดว่าเจ้าคิดใฝ่สูงอันใดกับคุณหนูหวงฝู่ นั่นก็ไม่ดีแล้ว”
“ข้าเพียงอยากจะสืบข่าวเล็กน้อยว่าคุณหนูที่สนิทกับคุณหนูหวงฝู่เป็นใครก็เท่านั้น สาวใช้ของตระกูลซั่งกวนมีมาก มายขนาดนี้ ย่อมต้องรู้เป็นแน่!” คำพูดของซย่าจื่อชิงทำให้พวกสาวใช้ที่ลอบฟังพากันกลั้นหัวเราะขึ้นมา หนึ่งในนั้นยิ่งเผยหน้าแดงระเรื่ออย่างขวยเขิน
“เจ้า…” ในยามที่หลินไต้เจี๋ยได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินในเรือนก็กลืนคำพูดลงท้องไปทันที สิ่งที่พวกเขาเห็นคือสาวใช้เจ็ดแปดคนกำลังยกผลไม้เข้ามาอย่างระมัดระวัง คำนับให้พวกเขาหนึ่งที ก่อนจะเปลี่ยนผลไม้ในห้องให้พวกเขา
นี่เป็นโอกาสดี! ซย่าจื่อชิงไม่สนใจหลินไต้เจี๋ยที่พยายามส่งสายตาเตือนให้เขาอย่างสุดชีวิต ทำเรื่องที่ไม่เข้ากับนิสัยเขาแม้แต่น้อย…เขาเดินไปประสานมือเบื้องหน้าสาวใช้คนหนึ่ง สาวใช้คนนั้นแปลกใจอยู่บ้าง กระนั้นก็หยุดการกระทำในมือลง กล่าวอย่างยิ้มๆ “คุณชายมีคำสั่งอันใดหรือเจ้าคะ?”
“ข้าชื่อซย่าจื่อชิง….” จู่ๆ ซย่าจื่อชิงก็พูดไม่ออกอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อไปดี ยามนี้พลันค้นพบขึ้นมาว่าตัวเองนั้นหุนหันพลันแล่นเกินไปจริงๆ แต่หากคิดจะถอยกลับก็คงไม่ได้แล้ว
“ที่แท้ก็เป็นคุณชายซย่าจากหยวนโจว!” สาวใช้ผู้นั้นใช้เล็บจิกเนื้อแรงๆ จึงค่อยกลั้นหัวเราะลงได้ คนผู้นี้น่าสนุกจริงๆ!
“ข้าอยากจะถามหน่อยว่า…” ซย่าจื่อชิงกัดฟัน กระแอมหนึ่งครั้ง กล่าวด้วยความรู้สึกราวกับจะขึ้นบนลานประหารก็มิปาน “แม่นางรู้จักคุณหนูสวมชุดสีเข้มที่กลับมาพร้อมคุณหนูหวงฝู่ในวันนี้หรือไม่ คุณหนูผู้นั้นมักจะยิ้มอยู่ตลอดเวลา”
“แค่กๆ…” สาวใช้ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงไอขึ้นมาอย่างแรง (นางนั้นรู้ว่าตัวเองสำลักน้ำลายเข้า) แต่ค่อนวันจึงค่อยหยุดลงได้ กล่าวด้วยยิ้มบาง “นั่นเป็นคุณหนูรองของตระกูลพวกเรา คุณชายซย่ามีเรื่องอันใดอยากจะพูดกับคุณหนูเราหรือไม่?”
คุณหนูรองของตระกูลซั่งกวน? ซย่าจื่อชิงราวกับถูกฟ้าฝ่าอย่างจังๆ เวียนหัวอยู่พักใหญ่ ค่อนวันจึงค่อยฝืนยิ้มออกมาได้ “ไม่มีอะไร เพียงแค่ถามไปเท่านั้น!”
เห็นสหายสนิทมีท่าทีราวกับสติหลุดลอย หลินไต้เจี๋ยก็ลอบถอนหายใจกับตัวเอง ควักเงินยี่สิบตำลึงให้สาวใช้ที่พูดคนนั้น กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณแม่นางทุกคนที่แนะนำ อย่างไรขอให้แม่นางทุกคนปิดปากเงียบด้วย!”
“ย่อมเป็นเช่นนั้น” สาวใช้เก็บเงินนั้นไปอย่างไม่คุ้นชินอยู่บ้าง หลังจากเปลี่ยนผลไม้แล้วก็ออกไปอย่างเงียบๆ ด้านซย่า จื่อชิงก็ถอนหายใจ ไฉนเขาจึงเกิดรักแรกพบกับคุณหนูที่สูงเกินเอื้อมตัวเองได้กัน?