เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 273 เดินทางร่วมกัน
“นี่คืออะไร?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองเทียบเชิญที่เต็มไปด้วยภาพวาดดอกฟู่หรงในมือซั่งกวนเจวี๋ย นางดูเหมือนไม่เคยเห็นของเช่นนี้มาก่อน หรือนี่จะเป็นเทียบเชิญงานชมดอกฟู่หรงที่โยวโจว?
“เป็นเทียบเชิญงานชมดอกฟู่หรง!” คำพูดของซั่งกวนเจวี๋ยทำให้มี่เอ๋อร์ประหลาดใจกว่าเดิม งานชมดอกไม้ทั้งหมดล้วนแต่เชื้อเชิญคุณหนูคุณชายตระกูลใหญ่ที่ยังไม่ได้แต่งงาน พวกคุณหนูตระกูลซั่งกวนล้วนออกเรือนกันหมดแล้ว ไฉนเลยตระกูลมู่หรงยังคงส่งเทียบเชิญมาอีก? ปีที่แล้วและสองปีก่อนก็ไม่เห็นพวกเขาส่งเทียบเชิญมาเสียหน่อย!
“เทียบเชิญนี้ไม่ได้เชิญเจ้าไปเข้าร่วมงานชมดอกฟู่หรง แต่หวังให้พวกเราสามารถใช้โอกาสในงานชมดอกฟู่หรงไปเยี่ยนเยียนพวกชิงหวั่นที่โยวโจว ข้าคิดว่านี่ก็เป็นโอกาสที่ดีเช่นกัน” ซั่งกวนเจวี๋ยเผยยิ้มเล็กน้อย “งานชมดอกฟู่หรงโดยปกติจะจัดในวันที่ยี่สิบเดือนสิบ ถัดจากนั้นก็สามารถฝังศพป้าโม่ได้พอดี เจ้าว่าอย่างไร?”
“ก็ดีเหมือนกัน!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะพยักหน้า เถ้ากระดูกของป้าโม่ได้ถูกอินหงหลันสองสามีภรรยานำไปโยวโจวแล้ว นางเอาแต่คิดมาตลอดว่าจะสามารถหาเหตุผลและข้ออ้างที่จะไปได้หรือไม่ และยามนี้โอกาสก็อยู่เบื้องหน้าแล้ว
“ตอนนี้ก็ต้นเดือนเก้าแล้ว หากค่อยๆ เดินทางไปโยวโจวก็คงใช้เวลาประมาณสิบสองวัน แต่หากเร็วหน่อยก็เจ็ดแปดวันเท่านั้น พวกเราค่อยออกเดินทางสักปลายเดือนเถิด” ซั่งกวนเจวี๋ยได้วางแผนและหมายมั่นตั้งใจไว้แล้ว งานชมดอกฟู่หรงครั้งนี้เขาจะพามี่เอ๋อร์ไป ทั้งจะพาตัวปลอมคนนั้นไปด้วย เบื้องลึกเบื้องหลังของตัวปลอมคนนั้นได้ตรวจสอบออกมาชัดเจนแล้วว่า เป็นจอมยุทธ์หญิงคนหนึ่งที่รู้จักกับเฉินเยียนอวี่ อนุภรรยาคนโปรดของมู่หรงปั๋วเย่ ทั้งสกุลเฉินเหมือนกัน นามว่าอวี้
ทั้งสองคนล้วนมาจากครอบครัวที่มีชื่อเสียงเล็กๆ ในละแวกเดียวกัน เพราะว่าบิดาของเฉินอวี้และเฉินเยียนอวี่มีสกุลเดียวกัน จึงเรียกกันเป็นพี่เป็นน้องมาโดยตลอด ยามที่หญิงสาวทั้งสองยังเด็กก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันไม่น้อย หลังจากเฉินเยียนอวี่เข้าพิธีปักปิ่นก็โลดแล่นในยุทธภพ จึงมีโอกาสได้พบกันมู่หรงปั๋วเย่ หลังจากการพยายามทำทุกวิถีทาง ก็ได้กลายเป็นอนุภรรยาของมู่หรงปั๋วเย่ นับได้ว่าเฟื่องฟูขึ้นมาในพริบตาเดียว เหตุใดเฉินอวี้จึงรู้ถึงการมีตัวตนของคุณหนูสุรา อีกทั้งสามารถสวมรอยเป็นคุณหนูสุรามาปรากฏอยู่เบื้องหน้าซั่งกวนเจวี๋ย คงจะมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับเฉินเยียนอวี่คนนั้นเป็นแน่ บางที…
ซั่งกวนเจวี๋ยกลับไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองถูกวางแผน คาดว่าแผนแรกเริ่มของเฉินเยียนอวี่คงจะให้เฉินอวี่สวมรอยเป็นคุณหนูสุราเพื่อดึงดูดความสนใจจากมู่หรงปั๋วอวี่ จากนั้นก็แต่งเข้าตระกูลมู่หรงกลายเป็นผู้ช่วยของนางกระมัง! น่าเสียดายที่ตัวตนของเฉินอวี้ถูกตัวเองล่วงรู้ ดังนั้นจากที่วางแผนหลอกคนอื่น กลับถูกลอบวางแผนเสียเอง เพื่อหลอกลวงตัวเอง ก็ละทิ้งแผนการเดิมไป เปลี่ยนความคิดอย่างจวนตัว ทั้งเปลี่ยนจนกลายมาเป็นสภาพเช่นนี้
ซั่งกวนเจวี๋ยอยากจะเห็นมากว่ายามที่เฉินเยียนอวี่เห็นเฉินอวี้ปรากฏตัวอยู่ข้างกายตัวเองจะแสดงสีหน้าแบบไหน หญิงสาวผู้นี้เป็นภัยร้ายคนหนึ่ง หากให้มู่หรงปั๋วเย่รู้ถึงนิสัยที่แท้จริงของนางเร็วหน่อยก็นับว่าได้ทำความดีอย่างหนึ่งเช่นกัน
“ต้องรอปลายเดือนเท่านั้นหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ว่าปลายเดือนหมายถึงอะไร หนึ่งคือ ออกเดินทางปลายเดือนเป็นเวลาที่พอเหมาะพอดี ไปถึงโยวโจวอย่างไม่เร็วและไม่ช้าเกินไป สองก็คือ สามารถให้ตัวปลอมผู้นั้นรักษาบาดแผลให้หายดี นางนั้นเข้าไปดูอยู่บ้าง ผู้หญิงคนนั้นบาดเจ็บไม่ใช่น้อยเลย หวงฝู่เยวี่ยเอ้อลงมืออย่างไม่ปรานีจริงๆ แต่ว่า นางไม่อยากให้หญิงสาวที่ไม่รู้จักความเหมาะสมผู้นั้นไปด้วย แค่ได้ยินท่าทางเสแสร้งเรียก ‘เจวี๋ย’ อย่างไม่ขาดปากนั้นก็ทำให้ในใจนางรู้สึกไม่สบายเป็นอย่างยิ่ง
“มี่เอ๋อร์หมายความว่า…” ซั่งกวนเจวี๋ยฟังออกถึงความไม่เต็มใจของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ จึงขอให้มี่เอ๋อร์ช่วยแนะนำอย่างใจกว้าง
“ข้าไม่อยากร่วมทางไปกับนาง!” มี่เอ๋อร์กล่าวตรงๆ “และข้าก็คิดว่าในเวลาที่สำคัญเช่นนั้น ให้นางและเฉินเยียนอวี่เผชิญหน้ากันไม่ใช่แผนการที่ฉลาดนัก! ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไรงานชมดอกฟู่หรงก็เป็นงานชุมนุมขนาดใหญ่ที่ตระกูลมู่หรงจัดขึ้นปีละครั้ง หากในยามนั้นเผยเรื่องนี้ออกมา ก็จะทำให้ตระกูลมู่หรงขายหน้าได้ ไม่เป็นเรื่องดีต่อสองตระกูลแต่อย่างใด”
“เช่นนั้นความหมายของมี่เอ๋อร์คือพวกเราเข้าไปเร็วหน่อย ทำให้เรื่องนี้จบลงให้ไวหน่อย?” ซั่งกวนเจวี๋ยกลับไม่ได้คิดมากถึงเพียงนั้น ในสายตาของเขาเฉินเยียนอวี่ก็เป็นเพียงคนไม่สลักสำคัญคนหนึ่งเท่านั้น คนเช่นนี้ แม้จะตายก็ไม่อาจจะก่อระลอกคลื่นอะไรได้
“หากไม่เข้าไปเร็วหน่อย ก็รอหลังจากงานชมดอกฟู่หรงจบค่อยว่ากัน” เยี่ยนมี่เอ๋อร์นั้นคิดได้มากกว่าเล็กน้อย “แต่สำหรับข้าล้วนไม่มีอะไรแตกต่าง ข้าเพียงไม่อยากร่วมทางไปกับนางเท่านั้น ทั้งไม่อยากได้ยินนางเสแสร้งเรียกชื่อเจ้าด้วยคำพูดหวานเลี่ยน”
“นี่มี่เอ๋อร์หึงอย่างนั้นหรือ?” ซั่งกวนเจวี๋ยหัวเราะเสียงดังมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่เผยหน้าเรียบนิ่ง อยากจะเห็นท่าทีหึงหวงของมี่เอ๋อร์เป็นอย่างมาก
“เพียงแค่ไม่ชอบอย่างยิ่ง รู้สึกว่าตัวเองถูกรุกล้ำอาณาเขต” มี่เอ๋อร์กลอกตาใส่ซั่งกวนเจวี๋ยอย่างแง่งอน “ไม่ถึงขั้นหึงหวงหรอก ข้ารู้ว่านอกจากความรังเกียจที่เจวี๋ยมีให้นางก็ไม่มีความรู้สึกอย่างอื่นอีกแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องหึงหวงกับคนเช่นนั้น ไม่คุ้มค่าพอ”
“ต้องการให้สามีปลอบใจสักหน่อยหรือไม่?” ซั่งกวนเจวี๋ยหยอกล้อมี่เอ๋อร์ นี่ก็เป็นความสนุกอย่างหนึ่งระหว่างสามีภรรยา
“เจวี๋ยมีแรงอย่างนั้นหรือ?” ครั้งนี้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่เขินอายแม้แต่น้อย แต่ย้อนถามอย่างสองแง่สองง่าม ซั่งกวนเจวี๋ย ยามนี้ยังอยู่ในช่วงพักฟื้น หมอชีบอกให้เขาพักฟื้นห้าวัน แต่วันนี้เพิ่งจะวันที่สามเอง!
“เจ้ามันตัวแสบ!” ซั่งกวนเจวี๋ยลูบเอวที่เพิ่งจะหายดีของตัวเอง นึกถึงสภาพวันนั้นที่ปวดเนื้อปวดตัวจนแทบจะลงจากเตียงไม่ไหว จึงกล่าวว่าออกมา จากนั้นก็ลากเยี่ยนมี่เอ๋อร์มาคาดคั้น “พูดมา ตกลงเจ้าใช้วิชามารอะไร…”
“นั่นเป็นวิชา…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เล่าเรื่องวิชาหยกร้อนให้ซั่งกวนเจวี๋ยฟังอย่างง่ายๆ ครั้งหนึ่งด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ ซั่งกวนเจวี๋ยย่อมรู้ทันทีว่านั่นเป็นวิชาที่ช่วยฝึกฝนวรยุทธอย่างเก่งกาจให้กับเขาทั้งคู่ ขยับริมฝีปากไปใกล้กับหูของมี่เอ๋อร์ “รอสามีพักฟื้นดีแล้ว ค่อยมาแลกเปลี่ยนกับมี่เอ๋อร์อีกครั้ง…”
——————-
“เจ้าว่าอะไรนะ?” ซั่งกวนฮ่าวขมวดคิ้วแน่นมองหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ ไม่รู้ว่านางมีความคิดแปลกประหลาดอันใด ไฉนจู่ๆ จึงคิดจะไปโยวโจว
“ข้าอยากไปเยี่ยมอวี่ฮ่าวและชิงหวั่น” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อรู้ว่าเหตุผลของตัวเองนั้นไม่มีน้ำหนักเท่าใด ก่อนหน้านี้ไม่ได้คิดจะไปเยี่ยมอวี่ฮ่าวและชิงหวั่น เหตุใดเพียงข้ามคืนก็มีความคิดเช่นนี้เสียแล้ว แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าในเดือนสิบเอ็ดสองพ่อลูกซั่งกวนฮ่าวอาจจะไปโยวโจวเพื่อฝังเถ้ากระดูกของอวี๋ฮวนโทสะก็ปะทุขึ้นมา นางย่อมไม่อยากเห็นสองพ่อลูกซั่งกวนฮ่าวแอบทำเรื่องเช่นนั้นลับหลังตัวเอง แม้จะไม่อาจขัดขวางได้…นางก็รู้ว่าขัดขวางไม่ไหว หากอวี๋ฮวนมีชีวิตอยู่ ซั่งกวนฮ่าวย่อมไม่ทำเรื่องอะไรให้ตัวเองโมโหเพราะนางได้หรอก แต่อวี๋ฮวนได้ตายไปแล้ว คนตายนั้นเป็นเรื่องใหญ่ คนที่มีชีวิตอยู่เอาชนะคนตายไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ซั่งกวนฮ่าวไม่อาจหยุดเรื่องนี้เพราะการคัดค้านของนางอยู่แล้ว นางเพียงอยากจะอยู่ในเหตุการณ์ มองด้วยตาของตัวเองว่าอวี๋ฮวนได้ฝังอยู่ใต้พื้นดินแล้วจริงๆ นางจึงจะวางใจได้
“เหตุผลนี้เพียงพอให้ข้าเชื่ออย่างนั้นหรือ?” ซั่งกวนฮ่าวสั่นศีรษะ แต่ก็กลับวางใจอย่างประหลาด…ภรรยายังคงเป็นคนที่อ่อนต่อโลกเช่นเคย นางบันดาลโทสะโจมตีพวกอนุภรรยาอู๋ ทำให้ซั่งกวนฮ่าวรู้สึกไม่คุ้นเคยด้านนี้ของภรรยา แต่ไหนแต่ไรหวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็ไม่ใช่คนที่ตัดสินใจทำอะไรในทันทีเช่นนี้ ไม่อย่างนั้น อนุภรรยาอู๋ก็คงไม่ได้นั่งเป็นใหญ่ ทั้งไม่อาจทำให้นางตกที่นั่งลำบากอย่างเช่นในอดีตได้หรอก
“เชื่อไม่เชื่อก็เรื่องของเจ้า อย่างไรข้าก็จะไป!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกล่าวอย่างดื้อรั้นอยู่บ้าง จากนั้นก็เผยยิ้มแปลกๆ “เรื่องที่ศิษย์ของอวี๋ฮวนปรากฏตัว ข้าไม่รู้ว่าเจ้าได้บอกพี่ใหญ่ข้าหรือไม่ แต่ข้าได้บอกพี่สะใภ้ใหญ่ไปแล้ว”
“ทางพี่สะใภ้ใหญ่ข้าส่งจดหมายไปแล้ว แต่พี่ใหญ่ข้ากลับไม่ได้บอก!” ซั่งกวนฮ่าวมองภรรยาอย่างจนใจอยู่บ้าง “ข้าเชื่อว่าพี่ใหญ่ย่อมอยากรู้ข่าวนี้ แต่ข้าไม่อยากถูกพี่สะใภ้กล่าวโทษ ดังนั้นจึงบอกเรื่องนี้กับพี่สะใภ้ใหญ่ ส่วนจะบอกหรือไม่บอกพี่ใหญ่นั่นก็เป็นเรื่องของนางแล้ว!”
“ข้ายังคิดว่าเจ้าจะส่งจดหมายให้พี่ใหญ่ จากนั้นก็ปิดบังพี่สะใภ้เสียอีก” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อคาดไม่ถึงว่าการกระทำราวกับ ‘คนต่ำทราม’ ของตัวเองจะถูกซั่งกวนฮ่าวเปิดเผยอย่างไม่ตั้งใจ “ข้ายังบอกพี่สะใภ้ใหญ่อีกว่า โม่จิ้ง ศิษย์ของอวี๋ฮวนในยามนี้รั้งตัวอยู่ที่ตระกูลซั่งกวนไม่ไปไหน จะแต่งงานกับเจวี๋ยให้จงได้!”
ซั่งกวนฮ่าวไร้คำจะพูด แต่ก็รู้ว่านี่เป็นนิสัยของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ จึงไม่กล่าวมากความ ทำเพียงผงกศีรษะเงียบๆ จากนั้นก็ถามอีกประโยค “เช่นนั้นเจ้าเตรียมจะออกเดินทางไปโยวโจวเมื่อใด?”
“อีกสองสามวันก็ออกเดินทาง” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเตรียมจะเข้าไปเร็วหน่อย นางและพี่สะใภ้ใหญ่ได้คุยกันแล้ว หากเข้าไปเร็วหน่อย ก็รวมกลุ่มกัน ถือโอกาสพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องอวี๋ฮวน แต่ว่าอาจจะเพราะจัดการคุณหนูสุราไปอย่างดุเดือดสองครั้งแล้ว โดยเฉพาะไม่กี่วันก่อนที่ถูกคนของนางตบหน้าจนบิดเบี้ยว โทสะในใจ จู่ๆ ก็มลายหายไปไม่น้อย ความแค้นต่ออวี๋ฮวนก็ไม่ได้มากมายถึงเพียงนั้นแล้ว นางรู้สึกว่านี่ก็เป็นวิธีที่ดีที่จะทำให้ทุกคนระบายอารมณ์เช่นกัน หากฮูหยินอีกไม่กี่คนร่วมมือกัน สร้างความลำบากให้นางสักครั้งสองครั้ง คาดว่านางก็อาจจะไม่กล้าคิดเพ้อฝัน แต่งเข้ามาในตระกูลซั่งกวนอีกแล้ว
“เจ้ายังนัดคนอื่นไว้แล้วหรือ?” ซั่งกวนฮ่าวรู้ว่าไม่อาจขัดขวางหวงฝู่เยวี่ยเอ้อได้ แทนที่จะให้นางไปโยวโจวอย่างโมโหทั้งอัดอั้นตันใจ ยังมิสู้ให้นางไปด้วยอารมณ์แจ่มใสเสียหน่อย
“เปล่า!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อส่ายศีรษะ นางไม่ได้มีนิสัยกลัวว่าใต้หล้านี้จะไม่ยุ่งวุ่นวายเสียหน่อย ทั้งไม่อยากทำให้เป็นเรื่องใหญ่จนถึงขั้นที่รู้ไปทั่วกัน ที่แจ้งกับพี่สะใภ้ใหญ่เพราะพวกนางทั้งสองคนมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ทั้งรู้ว่านางได้รับความไม่เป็นธรรมเพราะอวี๋ฮวน ส่วนสะใภ้ของตระกูลมู่หรง จะบอกหรือไม่บอกนางก็อาจจะรู้แล้ว…บ้านเกิดของอวี๋ฮวนอยู่โยวโจว สุสานบิดาและศิษย์พี่ของนางก็อยู่ในการดูแลของตระกูลมู่หรงมาตลอดหลายปี สะใภ้ตระกูลมู่หรงไม่เหมือนกับตัวเอง ที่ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนไม่สนใจ ขอเพียงแค่อินหงหลันและมู่หรงฉวีกุยมีการเคลื่อนไหวอันใด นางย่อมรู้อย่างชัดเจนทันที
“ทางที่ดีเจ้าพามี่เอ๋อร์และเสี่ยวหมิงเอ๋อร์ไปด้วยเถิด” ซั่งกวนฮ่าวกล่าวแนะนำ ฐานะของตัวปลอมผู้นั้นเขาก็รู้แล้ว แผนของซั่งกวนเจวี๋ยก็กระจ่างใจดี เช่นนั้นให้มี่เอ๋อร์ได้ประจักษ์สายตาว่าซั่งกวนเจวี๋ยตัดใจกับ ‘คุณหนูสุรา’ อย่างไร อาจจะมีประโยชน์ในการปรับความเข้าใจระหว่างสองสามีภรรยาที่ยามนี้อยู่ในสถานการณ์เลวร้ายอยู่บ้าง…ส่วนเรื่องของอู๋เลี่ยนเยี่ยน นอกจากสองสามีภรรยาแล้ว ใครก็ล้วนหลงกลหมด ยามที่อนุภรรยาอู๋ถูกส่งไปที่วัดประจำตระกูล ฮูหยินใหญ่ที่เร้นกายใช้ชีวิตบนเรือนพำนักอวี้ฉิงคนนั้นก็อาละวาดเช่นกัน จวบจนรู้เรื่องที่อู๋เลี่ยนเยี่ยนวางยาซั่งกวนเจวี๋ยจึงยอมแพ้! กล้าวางยาซั่งกวนเจวี๋ย อย่าพูดเลยว่าอู๋เลี่ยนเยี่ยนเป็นเพียงเมียบ่าวคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นอนุภรรยาหรือภรรยาเอกก็ล้วนต้องถูกลงโทษอย่างร้ายแรงเช่นกัน ถูกส่งไปที่วัดประจำตระกูลก็ถือว่าเมตตามากแล้ว
“พามี่เอ๋อร์ไปด้วย?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อไม่ได้อยากพาเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไปเท่าใด แต่เมื่อครุ่นคิดอีกที การฝังศพอวี๋ฮวน โม่จิ้งย่อมไปด้วย และเจวี๋ยเอ๋อร์คงไม่พามี่เอ๋อร์เข้าไป หากให้นางรั้งตัวอยู่ในบ้านดูคล้ายจะไม่เหมาะสมอยู่บ้าง นางเป็นคนคิดมาก ย่อมต้องคิดเหลวไหล
“เจ้าก็ครุ่นคิดให้ดีๆ เถิด” ซั่งกวนฮ่าวรู้ว่าหวงฝู่เยวี่ยเอ้อย่อมต้องคิดได้ เขาได้วางแผนไว้แล้ว ยามที่พวกเขาไม่อยู่จะให้ใครมาควบคุมดูแลเรื่องราวในบ้านชั่วคราว…
———————————-