เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 278 ฮูหยินหวงฝู่ผู้เป็นที่เกลียดชัง
ในยามที่งานชมดอกฟู่หรงดำเนินไปอย่างคึกคัก ด้านเยี่ยนมี่เอ๋อร์กลับอุ้มลูกชาย เดินเที่ยวเล่นในสวนดอกไม้ของตระกูลมู่หรงเป็นเพื่อนชิงหวั่น เทียบกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์แล้ว มู่หรงชิงหวั่นน่าสงสารกว่ามาก ตั้งแต่เพิ่งเริ่มตั้งครรภ์จนถึงตอนนี้เป็นเวลาเจ็ดเดือนแล้ว เจ้าตัวเล็กในท้องไม่มีทีท่าว่าจะหยุดอาละวาดแม้แต่น้อย…เดือนแรกถึงเดือนที่สี่ ชิงหวั่นอาเจียนอย่างแทบเป็นแทบตาย ไม่ว่าจะกินอะไรก็ล้วนอาเจียนออกมา หลังจากครบสี่เดือน อาการแพ้ท้องจึงค่อยหายไป แต่เจ้าตัวเล็กกลับเริ่มอาละวาดอีกครั้ง ตอนกลางวันอยู่อย่างสงบเสงี่ยม แต่เมื่อถึงยามเย็นก็ป่วนอยู่ในท้องอย่างไม่หยุดยั้ง ดังนั้นยามที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์พบชิงหวั่นและอวี่ฮ่าวก็ตกอกตกใจยกใหญ่…คิดว่าสงมาว(หมีแพนด้า)สองตัวนี้มาจากที่ไหนกัน!
เสี่ยวหมิงเอ๋อร์นั้นสงสัยท้องที่นูนป่องของชิงหวั่นเป็นอย่างมาก ในความทรงจำของเขาแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยพบคนเช่นนี้มาก่อน หลังจากได้ยินว่าในนั้นมีน้องชายตัวเล็กคนหนึ่ง เขาก็ยิ่งอยากรู้อยากเห็นขึ้นไปอีก ภายใต้การกำชับซ้ำแล้วซ้ำเล่าของมารดา จึงแนบตัวลงบนท้องของชิงหวั่นอย่างระมัดระวัง ใช้เสียงอ่อนเสียงหวานอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาพูดคุยกับน้องชายในท้อง…ไม่รู้ว่าบังเอิญหรืออะไรเจ้าตัวเล็กในท้องจึงเตะเท้าทักทายเสี่ยวหมิงเอ๋อร์ในทันที ทำเอาเขาสะดุ้งตกใจ รีบกลับอ้อมอกของมารดาโดยพลัน มองเห็นมารดาและอาสะใภ้ที่งดงามเหมือนมารดายิ้มตามกันขึ้นมา กล่าวว่าน้องชายชอบเขามาก จึงทักทายเขา เสี่ยวหมิงเอ๋อร์จึงค่อยวางใจ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาก็แนบตัวอยู่บนท้องชิงหวั่นทั้งพูดคุยกับน้องชายในท้องทุกวัน แทบที่จะเป็นภารกิจหนึ่งไปโดยปริยาย สิ่งที่ทำให้ทุกคนแปลกใจคือ ไม่รู้ว่าเพราะเด็กสองคนมีโชคชะตาพันผูกต่อกันอยู่แล้วหรือไม่ หลังจากที่เสี่ยวหมิงเอ๋อร์และเด็กน้อยพูดคุยกัน ในตอนเย็นเจ้าตัวเล็กก็ไม่อาละวาดอีกแล้ว ในที่สุดชิงหวั่นจึงได้นอนอย่างสงบ อวี่ฮ่าวขาดเพียงไม่ได้โขกหัวคารวะเสี่ยวหมิงเอ๋อร์เพราะซาบซึ้งใจเท่านั้น
“ตกลงพวกท่านแม่พูดคุยอะไรอยู่กันแน่ เช้าจรดเย็นก็เอาแต่อยู่ด้วยกัน ราวกับมีอะไรให้พูดไม่จบไม่สิ้น” ชิงหวั่นเห็นฮูหยินทั้งสามของตระกูลนั่งรวมกันอยู่ในศาลาเบื้องหน้าอีกแล้ว ดูเหมือนว่าคนที่อายุน้อยที่สุดคือหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ รอยเหี่ยวย่นบนหน้าของนางส่วนมากล้วนมาจากรอยยิ้ม ผู้ที่น่าเกรงขามที่สุดย่อมเป็นฮูหยินมู่หรง ส่วนฮูหยินหวงฝู่ไม่เพียงแต่ดูชราไปมาก ระหว่างคิ้วนั้นยังขมวดตึงอยู่บ้าง ชิงหวั่นก็ดี มี่เอ๋อร์ก็ดี ล้วนพยายามหลีกเลี่ยงที่จะพบปะกับฮูหยินที่มีชื่อเสียงเรื่องความเข้มงวดในบรรดาฮูหยินของตระกูลใหญ่ผู้นี้
“พวกนางไม่ได้ว่างดั่งเช่นตอนนี้มานานแล้ว ย่อมมีเรื่องให้พูดกันไม่รู้จบ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เดาได้คร่าวๆ อยู่บ้าง พวกนางอยู่ด้วยกันเป็นไปได้ว่าอาจจะพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของอวี๋ฮวนและคุณหนูสุรา แต่ไม่อยากพูดความคิดของตัวเองออกมาตรงๆ ให้ชิงหวั่นว้าวุ่นใจและสงสัย
“ข้าว่าไม่ใช่เช่นนั้น” ชิงหวั่นส่ายศีรษะ “มารดาของข้าและท่านป้าหวงฝู่นั้นมีความสัมพันธ์ธรรมดา แม้ว่าจะไปมาหาสู่กันบ่อยครั้ง แต่ส่วนมากกลับเป็นการทำตามมารยาท แทบไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวแต่อย่างใด นางและท่านแม่มักจะพูดคุยเล่นกันอยู่แล้ว มีมิตรภาพเหมือนเป็นพี่น้องอยู่บ้าง ข้าว่าหากไม่ใช่เพราะท่านแม่อยู่ด้วย มารดาของข้าคงจะไม่นั่งพูดคุยกับท่านป้าหวงฝู่หรอก ข้าคิดว่าย่อมมีเรื่องแปลกๆ ภายในที่พวกเราไม่รู้เป็นแน่!”
“เช่นนั้นเจ้าว่าคืออะไร?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ย้อนถามอย่างไม่ใส่ใจเท่าไรนัก ชั่วพริบตาที่นางพบฮูหยินหวงฝู่ นางจึงค้นพบว่าคนที่เกลียดชังท่านป้าที่สุดย่อมไม่ใช่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อ หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเพียงได้รับผลกระทบจากคนอื่นเท่านั้น ผู้ที่เกลียดชังท่านป้าอย่างแท้จริงคงจะเป็นฮูหยินหวงฝู่มากกว่า สิ่งที่ทำให้นางรู้สึกแปลกใจกว่านั้นคือ ไม่ว่าจะซั่งกวนฮ่าวหรือมู่หรงฉวีกุยล้วนพร้อมใจกันปิดบังนาง(เพียงนางเท่านั้น)เรื่องความจริงที่ว่าเฉินอวี้เป็นตัวปลอม กระทั่งหวงฝู่เยวี่ยเอ้อและฮูหยินมู่หรงก็กล่าวอย่างน่าเชื่อถือว่าเฉินอวี้เป็นศิษย์สายตรงของท่านป้า แต่กลับไม่มีหูตาคิดอยากจะสร้างความขัดแย้งให้กับคุณชายตระกูลต่างๆ เพื่อแก้แค้นแทนอวี๋ฮวนที่ตายไป
มู่หรงฉวีกุยและซั่งกวนฮ่าวพากันกล่าวอย่างปวดหัวว่าเฉินอวี้ถูกการตายของอวี๋ฮวนโจมตีจึงสูญเสียสติ(นั่นเพราะถูกอินหงหลันวางยาต่างหาก ยามที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้ยินซั่งกวนเจวี๋ยเล่าก็อดโต้แย้งออกมาไม่ได้) ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจว่าหลังจากฝังศพอวี๋ฮวน จะสร้างกระท่อมหญ้าหนึ่งหลังไว้ด้านหน้าหลุมศพของอวี๋ฮวน ให้เฉินอวี้อยู่เฝ้าศพอวี๋ฮวนที่นั่น
เวลานั้นฮูหยินหวงฝู่กระโดดขึ้นมาทันที ร้องเอะอะโวยวายว่าหากมีนางก็ย่อมต้องไม่มีตัวเอง หวงฝู่เจิ้นหลงขมวดคิ้วมองภรรยา กล่าวอย่างเรียบง่ายหนึ่งประโยค “คนตายก็เหมือนตะเกียงที่ดับมอด เจ้ายังคิดจะทำอันใดอีก?”
“นางไม่ใช่ศิษย์รักของอวี๋ฮววนหรอกหรือ? ก็ให้อาจารย์ศิษย์อย่างพวกนางตกตายไปตามกันเลยสิ! หลักการหญ้าไม่ถอนโคนเภทภัยที่ตามมาก็จะเกิดขึ้นไม่รู้จบ ใครล้วนรู้ดีทั้งนั้น! หากนางหลบหนีออกมา ล่อลวงลูกชายพวกเราอีก จะไม่เกิดโศกนาฏกรรมที่คาดไม่ถึงหรอกหรือ…” ฮูหยินหวงฝู่แจงจินตนาการที่เลิศล้ำของตัวเองออกมา นำข้อดีข้อเสียที่อาจจะเกี่ยวข้องพรรณนาอย่างไม่รู้จบ ทำให้หวงฝู่เจิ้นหลงที่ฟังถึงกับขมวดคิ้ว ซั่งกวนฮ่าวและมู่หรงฉวีกุยต่างก็สบสายตากัน ล้วนรู้สึกดีใจอยู่ลึกๆ ว่า…ยังดีที่ฮูหยินของตัวเองไม่ได้มีนิสัยเช่นนี้!
ดังนั้น ภายใต้ความเงียบงันไม่ปริปากพูดของสามผู้นำตระกูล ฮูหยินมู่หรงและหวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็ช่วยกล่าวเติมให้ว่า เดิมทีชะตาของเฉินอวี้ได้ถูกตัดสินมาครั้งหนึ่งแล้ว นั่นก็คือฝังร่วมกับศพ ย่อมไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว
หลังจากการตัดสินชะตากรรมของเฉินอวี้ ฮูหยินหวงฝู่ก็คล้ายได้ปลดปล่อยภาระที่แบกไว้นานหลายปี ความมืดมนที่ครอบคลุมใบหน้านั้นสลายหายไปกว่าครึ่ง ทั้งเห็นฮูหยินมู่หรงที่ ‘ยืนยันหนักแน่น’ และยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับนางเป็นดั่งสหายสนิท แน่นอนว่าเดิมทีความสัมพันธ์พี่สะใภ้น้องสามีของนางและหวงฝู่เยวี่ยเอ้อที่ไม่เลวก็ยิ่งดีขึ้นไปอีก ทั้งสามคนย่อมมีเรื่องให้พูดไม่จบไม่สิ้น
“ข้าไม่เข้าใจอยู่ดี” ชิงหวั่นยักไหล่อย่างไม่ได้กังวลมาก “ฮูหยินหวงฝู่ในสายตาของผู้น้อย แต่ไหนแต่ไรก็เป็นคนที่อย่าได้ย่างกรายไปเข้าใกล้ ความสัมพันธ์ของนางและท่านลุงหวงฝู่เป็นที่รู้ทั่วกันว่าย่ำแย่เป็นอย่างมาก นางมีลูกชายสองคนลูกสาวหนึ่งคน แต่ตามที่ข้าได้ทราบมาก็มีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีเท่าใดกับนาง แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไรนางก็เป็นผู้ใหญ่ ไม่อาจจะวิจารณ์ได้”
“ข้าว่าท่านลุงมู่หรงและท่านป้ามู่หรงกลับมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเป็นอย่างมาก ในบรรดาท่านป้าทั้งหลาย ก็เป็นท่านป้ามู่หรงที่งดงามที่สุด ชิงหวั่นจึงได้รับสืบทอดความงามของท่านป้ามาเช่นกัน” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ชื่นชมด้วยใจจริง ความสัมพันธ์ของสองแม่ลูกก็ดีเช่นกัน เห็นพวกเขารักใคร่กลมเกลียว เยี่ยนมี่เอ๋อร์อดเศร้าสลดไม่ได้อยู่บ้างเช่นกัน หากท่านแม่ยังอยู่ ตัวเองก็คงจะเป็นอย่างนี้เหมือนกันกระมัง!
“พวกเขามีความสัมพันธ์ที่ดี?” ชิงหวั่นสั่นศีรษะ “ที่จริงพวกเขาไม่ได้ดีเหมือนที่เห็นถึงเพียงนั้น แต่เพราะพวกเขาต่างใจกว้างแก่กัน เคารพให้เกียรติกันจึงสามารถทำได้ในจุดนี้ ท่านพ่อและท่านแม่แทบที่จะเกี่ยวดองกันเพราะผลประโยชน์ของตระกูลโดยสิ้นเชิง เพียงแต่พวกเขากระจ่างใจในหน้าที่และความรับผิดชอบของตัวเอง จึงสามารถเดินอย่างราบรื่นมาถึงทุกวันนี้ บางครั้งข้าและพี่ใหญ่ก็มีอารมณ์หุนหันพลันแล่นอย่างไร้เหตุผล เพราะได้รับสืบทอดมาจากพวกเขา ทั้งเป็นเพราะได้รับความประนีประนอมจากพวกเขาเช่นกัน”
ยามนี้ชิงหวั่นนึกถึงอดีตที่หุนหันพลันแล่นโดยไม่ยั้งคิดก็เพียงรู้สึกขบขันเท่านั้น อวี่ฮ่าวดีต่อนางมาก ดีจนทำให้นางมักรู้สึกว่าตัวเองใช้ชีวิตท่ามกลางน้ำผึ้งแสนหวานก็มิปาน อดีตทั้งหมดนั้นนับวันก็ยิ่งห่างจากนางขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่นางดีใจมากที่สุดในยามนี้คือไม่ได้พลาดพลั้งจากสามีผู้นี้!
“มี่เอ๋อร๋ อุ้มเสี่ยวหมิงเอ๋อร์เข้ามาเถิด” ฮูหยินมู่หรงทักทายพวกนางอยู่ไกลๆ นางในยามนี้ไม่ว่าจะมองมี่เอ๋อร์อย่างไรล้วนรู้สึกรื่นหูรื่นตาไปหมด นิสัยดี มักจะยิ้มหวานทำให้คนชื่นชอบ ดูอ่อนโยน แต่กลับไม่ใช่นิสัยอ่อนแอที่ไม่อาจเชิดหน้าชูตาได้เช่นนั้น มาที่ตระกูลมู่หรงหนึ่งเดือน ก็ล้วนเผยท่าทีอบอุ่นต่อผู้คน ไม่ต่ำต้อยหรือสูงส่งเกินไป ไม่เหมือนกับมีชาติกำเนิดมาจากตระกูลเล็กๆ แม้แต่น้อย เรื่องของเฉียนเยียนอวี่ทำให้นางยิ่งเข้าใจ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ดูเหมือนบอบบาง ภายในจิตใจกลับเป็นบุคคลเก่งกาจคนหนึ่ง เพียงแค่ไม่กี่ประโยค ก็ทำให้เฉินเยียนอวี่ละทิ้งอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างหมดสภาพ…การร้องไห้ รวมถึงนางที่ให้ความสนิทสนมกับหยางหานหยวนทั้งกล่าวแนะนำบางครั้งบางคราว ชื่นชอบอี้เฉินด้วยความจริงใจ ทั้งยังเป็นห่วงเป็นใยชิงหวั่น ยิ่งทำให้นางชมชอบในตัวของหลานสะใภ้ผู้นี้ขึ้นไปอีก
“ท่านย่า อุ้มๆ!” เสี่ยวหมิงเอ๋อร์ไม่ได้พบหน้าหวงฝู่เยวี่ยเอ้อตั้งแต่เช้า จึงยื่นมือทองคำของเขาไปยังหวงฝู่เยวี่ยเอ้ออย่างใจกว้างทันที ทำให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้ออุ้มเขามาจูบกอดอย่างดีใจ
“หลานสะใภ้เดินเล่นเป็นเพื่อนชิงหวั่นหรือ” ฮูหยินหวงฝู่ทักทายมี่เอ๋อร์อย่างห่างเหิน ไม่รอให้มี่เอ๋อร์พยักหน้า ก็กล่าวอย่างเรียบนิ่ง “น้องหญิงชอบหลานชายเสียจริงๆ!”
“แน่นอนอยู่แล้ว” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อหอมหลานชายสุดที่รัก กล่าวอย่างตรงๆ “ความสุขที่สุดในยามนี้ของข้าก็คือการได้อุ้มหลาน ฮูหยินมู่หรงก็คงไม่ต่างกัน”
“เสี่ยวหมิงเอ๋อร์เป็นคนสนุกสนาน ความสัมพันธ์ของอี้เฉินและเขาก็ดีเสียยิ่งกว่าอะไร” ฮูหยินมู่หรงก็ชอบเสี่ยวหมิงเอ๋อร์เป็นอย่างมากเช่นกัน อี้เฉินอายุมากกว่าเสี่ยวหมิงเอ๋อร์หนึ่งปี แต่กลับไม่ได้ซุกซนเหมือนเจ้าตัวเล็ก ทั้งไม่ได้ร่าเริงขนาดนั้น ช่วงเวลาที่ทั้งสองอยู่ด้วยกันนี้ เห็นได้ชัดว่าอี้เฉินสดใสขึ้นไม่น้อย ทั้งรู้จักออดอ้อนเลียนแบบเสี่ยวหมิงเอ๋อร์
“ชอบหลานชายก็ให้เจวี๋ยเอ๋อร์ให้กำเนิดเพิ่มอีกหน่อยเถิด” ฮูหยินหวงฝู่กล่าวอย่างธรรมชาติ “ยามนี้หลินจี้มีลูกชายสามคนลูกสาวสี่คนแล้ว มีเด็กเยอะๆ จึงจะเรียกได้ว่าครื้นเครง!”
หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกล่าวยิ้มๆ “ไม่นานชิงหวั่นก็จะมีน้องชายและน้องสาวเพิ่มให้เสี่ยวหมิงเอ๋อร์แล้ว เจ้าคงไม่รู้ เจ้าตัวเล็กในท้องชอบฟังคำพูดของเสี่ยวหมิงเอ๋อร์เป็นอย่างมาก ภายหลังหากเกิดออกมา เด็กชายตัวเล็กทั้งสองย่อมมีความสัมพันธ์กลมเกลียวเป็นพิเศษแน่”
“นั่นก็ไม่ใช่พี่น้องสายเลือดเดียวกัน” ฮูหยินหวงฝู่มองหวงฝู่เยวี่ยเอ้อด้วยคิดต่าง “ข้าหมายถึงว่าเพิ่มอนุภรรยาให้เจวี๋ย เอ๋ออีกสองสามคน ไม่ว่าจะคุณชายใหญ่ตระกูลใดต่างก็มีภรรยาอนุอยู่เต็มบ้าน หากเจวี๋ยเอ๋อร์มีภรรยาเอกคนเดียว พูดออกไปกลับจะเป็นที่น่าขัน”
“มีอะไรน่าขันกัน” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อสีหน้าแข็งทื่อเล็กน้อย “เจวี๋ยเอ๋อร์และมี่เอ๋อร์มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ไม่ยินดีจะรับอนุก็นับเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง มีอะไรให้น่าขัน มี่เอ๋อร์ในยามนี้มีหมิงเอ๋อร์แล้ว รออีกสักครึ่งปี มีน้องสาวหรือน้องชายเพิ่มให้หมิงเอ๋อร์ก็เพียงพอแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องรับผู้หญิงเหล่านั้นเข้าตระกูล มาสร้างบรรยากาศอึมครึมในบ้าน”
บางทีก่อนหน้านี้หวงฝู่เยวี่ยเอ้ออาจจะยังมีความคิดรับอนุภรรยาให้ซั่งกวนเจวี๋ย แต่หลังจากเรื่องของชุยอวี่เฟย นางได้รับการสั่งสอนจากซั่งกวนฮ่าว จึงเข้าใจว่า ‘อะไรที่ไม่ชอบ ก็จงอย่าทำกับคนอื่น’ มี่เอ๋อร์กตัญญูต่อนาง ทั้งยังกำเนิดหลานสุดที่รักแก่นาง ภายหลังอาจจะให้กำเนิดหลานสาวและหลานชายเพิ่มขึ้นอีก นางมีความจำเป็นต้องเป็นคนที่น่ารังเกียจผู้นั้นด้วยหรือ? อีกอย่าง ในยามนี้ หากนางเอ่ยปากจะให้เจวี๋ยเอ๋อร์รับอนุภรรยา เจวี๋ยเอ๋อร์ถือโอกาสรับโม่จิ้งตัวจริงเข้าตระกูลมาจะทำอย่างไร? นางยอมที่จะมีมี่เอ๋อร์เป็นลูกสะใภ้เพียงคนเดียว หมิงเอ๋อร์เป็นหลานชายเพียงคนเดียว ดีกว่าปล่อยให้เกิดเรื่องไม่ดีซ้ำซ้อน ทั้งไม่อยากกลายเป็นทั่วป๋าซู่เยวี่ยคนที่สอง
“ภรรยาและอนุเต็มบ้านใช่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไป!” ฮูหยินมู่หรงกลับยินดีที่จะเห็นท่าทีเช่นนี้ของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ…กระทั่งลูกภรรยาเอกล้วนไม่แทรกแซงเรื่องรับอนุภรรยา ลูกอนุภรรยาก็คงไม่ก้าวก่ายเช่นกัน นางไม่อยากเห็นอวี่ฮ่าวมีภรรยาอนุเต็มบ้าน อีกอย่าง เห็นเฉินเยียนอวี่ผู้นั้นก็คุ้มค่าให้ระวังตัวแล้ว หากให้ซั่งกวนเจวี๋ยพาคนที่เหมือนผู้หญิงคนนั้นกลับตระกูลมา จะไม่ตายเอารึ!
“หรือหลานสะใภ้ไม่เต็มใจ?” ฮูหยินหวงฝู่มองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่เผยใบหน้าประดับรอยยิ้มไม่เปลี่ยนแปลง “นี่เจ้าก็ไม่ถูกแล้ว เจ้าให้กำเนิดลูกภรรยาเอกแก่เจวี๋ยเอ๋อร์แล้ว ก็ควรเลี้ยงดูลูกอย่างสงบเสงี่ยม ปรนนิบัติรับใช้พ่อแม่สามี ดูแลเรื่องภายในบ้าน อย่าได้คิดอย่างนั้นอย่างนี้กับเจวี๋ยเอ๋อร์ให้มากมาย เอาอย่างนี้ดีกว่า คุณหนูลูกอนุภรรยาของตระกูลหวงฝู่มีหลายคนที่อายุเหมาะสมจะออกเรือนแล้ว ข้าว่าเลือกที่เหมาะสมให้เจวี๋ยเอ๋อร์สักคนเถิด”
“ขอบคุณท่านป้าที่ใจกว้าง!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เกลียดชังฮูหยินหวงฝู่ที่พูดเองเออเองผู้นี้เป็นอย่างมาก นางกำลังเลียนแบบทั่วป๋าซู่เยวี่ยอย่างนั้นหรือ? หวงฝู่เยวี่ยเอ้อไม่มีความคิดจะแต่งคุณหนูของตระกูลหวงฝู่กลับเข้าบ้าน กลับเป็นนางเสียอีกที่เกิดความคิดเช่นนี้
“ข้าว่าไม่เหมาะสม!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเผยสีหน้าดำคล้ำอยู่บ้าง นางไม่อยากให้หลานสาวตระกูลหวงฝู่แต่งเข้าตระกูล แม้เจวี๋ยเอ๋อร์และมี่เอ๋อร์เห็นด้วย นางก็ไม่ยอม นี่นับเป็นเรื่องอันใดกัน!
“มีอะไรไม่เหมาะสม!” ฮูหยินหวงฝู่ไม่คิดว่าจะมีอะไรไม่เหมาะสม กล่าวทั้งเผยยิ้ม “บางทีน้องหญิงอาจจะกังวลว่าหลานสาวจะแต่งเข้าตระกูลมาในฐานะต่ำต้อย? นั่นที่จริงก็ง่ายเป็นอย่างมาก ไม่ว่าตำแหน่งเช่อชีหรือภรรยารองก็ดีทั้งนั้น ไม่อาจกระทบอะไรได้หรอก”
“ข้าว่าเรื่องนี้พูดไปแล้วก็แล้วไปเถิด ทุกคนไม่มีความจำเป็นต้องจริงจัง คิดเสียว่าเป็นเรื่องตลกแล้วกัน” สีหน้าของฮูหยินมู่หรงนับว่าไม่ดีอยู่บ้าง แม้ว่าจะเป็นพี่สะใภ้น้องสามี แต่นางเป็นนายหญิงของตระกูลหวงฝู่ หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเป็นนายหญิงของตระกูลซั่งกวน นางถือสิทธิ์อันใดมาตัดสินพลการเช่นนี้ ยังจะพูดว่า ‘ภรรยารองหรือเช่อชีก็ดีทั้งนั้น’ มองความสัมพันธ์ของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อและเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็รู้แล้วว่า แม้ว่าจะตำแหน่งอนุภรรยายังแทบเป็นไปไม่ได้
“พี่สะใภ้มู่หรง เรื่องนี้จะเป็นเรื่องตลกไปได้อย่างไรกัน?” ฮูหยินหวงฝู่ได้วางแผนที่จะเกี่ยวดองกับตระกูลซั่งกวนใหม่อีกครั้งเมื่อนานมาแล้ว หนึ่งคือหวงฝู่หลินจี้ไม่เห็นด้วย อีกทั้งหวงฝู่อวี๋หลิงก็มีการหมั้นหมายกับตระกูลอิ๋ง ไม่มีความจำเป็นต้องโลภมาก สองคือหวงฝู่เยวี่ยเอ้อไม่รู้ไปกินยาผิดอะไรมา ได้กำหนดงานแต่งให้ซั่งกวนเจวี๋ยไว้นานแล้ว จึงทำได้เพียงดูว่าจะสามารถส่งลูกอนุภรรยาเข้าไปได้หรือไม่เท่านั้น
“เรื่องนี้อย่าพูดถึงเลยดีกว่า!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อฝืนยิ้มออกมา “ข้าเคยพูดไว้นานมาแล้ว ไม่ว่าจะลูกภรรยาเอกหรือลูกอนุ ขอเพียงแค่พวกเขาไม่เต็มใจ ข้าก็ย่อมไม่เพิ่มคนข้างกายให้พวกเขา…เอาใจเขามาใส่ใจเรา ข้าเป็นคนที่มีลูกสาวสุดที่รักถึงสองคน ข้าก็ไม่อยากให้แม่สามีของพวกนางเอาแต่พยายามส่งคนมาเข้ามาอยู่ข้างกายลูกเขยเช่นกัน”
“หลานสะใภ้เจ้าว่าอย่างไร? หรือไม่เต็มใจที่จะเพิ่มอนุให้เจวี๋ยเอ๋อร์เช่นกัน?” ฮูหยินหวงฝู่เห็นท่าทีของหวงฝู่เยวี่ยเอ้ออย่างชัดเจน นางก็ยากที่จะไล่ต้อนให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อรับปากอะไร จึงพุ่งเป้าไปทางเยี่ยนมี่เอ๋อร์แทน “ความขี้อิจฉาไม่ใช่สิ่งที่สะใภ้ใหญ่ของตระกูลพึงมี”
“หลานไม่มีความเห็นอันใด” เยี่ยนมี่เอ๋อร์อยากจะตบหน้านางสักฉาด แต่ยังคงรักษารอยยิ้มเป็นมารยาทออกไป “แม้กล่าวว่าไม่มีหญิงสาวคนใดยินดีให้สามีมีภรรยาอนุเต็มบ้าน แต่หลานก็กระจ่างใจดี เรื่องพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่หลานตัดสินใจได้ ขอเพียงสามียินดี หลานย่อมทำได้เพียงยิ้มยอมรับเท่านั้น”
“ข้าว่าเจวี๋ยเอ๋อร์ย่อมไม่ยินดี เรื่องนี้ให้จบเพียงเท่านี้เถิด!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อยากที่จะมีท่าทีแข็งทื่อเช่นนี้ จู่ๆ นางก็รู้สึกว่าพี่ใหญ่เย็นชาต่อพี่สะใภ้ใหญ่ก็นับว่าปรานีมากแล้ว แข็งข้อเช่นนี้ ไร้เหตุผลเช่นนี้ พี่ใหญ่คงทนต่อนางไม่น้อยแล้วกระมัง!
“ข้าก็คิดเช่นนี้!” ฮูหยินมู่หรงชื่มชมท่าทีและการแก้ต่างของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ กล่าวอย่างอบอุ่น “หากเยวี่ยเอ้อยามนี้ไม่ส่งคนไปข้างกายเจวี๋ยเอ๋อร์ ภายหลังก็คงส่งคนไปข้างกายอวี่ฮ่าวใช่หรือไม่? หากเป็นเช่นนั้นข้าไม่ยอมแน่!”
“นั่นภายหลังค่อยพูดเถิด” ฮูหยินหวงฝู่คาดไม่ถึงว่าทั้งสองคนจะพูดถึงขนาดนี้ แม้จะไม่พอใจนัก แต่ก็ไม่อาจจะกล่าวอะไรได้ ทำได้เพียงมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ด้วยสายตาที่ไม่ดีกว่าเดิม
“ชิงหวั่นคงเหนื่อยแล้วกระมัง! มี่เอ๋อร์ รบกวนเจ้าเดินกลับเป็นเพื่อนชิงหวั่นหน่อยเถิด!” ฮูหยินมู่หรงกังวลว่านางจะพูดอะไรไม่เหมาะสมอีกครั้ง รีบส่งทั้งสองคนออกไปทันที เสี่ยวหมิงเอ๋อร์ก็ย่อมตามมารดาไปด้วยเช่นกัน
“ท่านป้าหวงฝู่เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด พี่สะใภ้อย่าได้เคืองโกรธไป” ชิงหวั่นมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่เผยท่าทีไม่ชัดเจนอย่างกังวลอยู่บ้าง
“ข้าไม่โกรธแม้แต่น้อย” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดความจริง กล่าวยิ้มๆ “มีท่านแม่และท่านป้ามู่หรงปกป้องข้าถึงเพียงนี้ ข้ายังมีความจำเป็นต้องโกรธเคืองคนที่ไม่สลักสำคัญคนหนึ่งด้วยหรือ?”
แต่ว่า บางเรื่องยังคงต้องวางแผนป้องกันและครุ่นคิดไว้…มี่เอ๋อร์หรี่ตา ในใจเริ่มตรึกตรองใคร่ครวญขึ้นมา…