เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 283 ‘ญาติ’ มาหาถึงหน้าประตู
“สะใภ้ใหญ่ ฮูหยินเชิญท่านที่ห้องรับแขกเจ้าค่ะ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เพิ่งตื่นจากการนอนกลางวัน ยังไม่ทันได้หวีเผ้าสางผม จื่อหลัวก็เข้ามาถ่ายทอดคำสั่งของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ
“มีแขกสำคัญคนใดมาหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์อดขมวดคิ้วไม่ได้ ช่วงนี้นางอ่อนเพลียง่ายเป็นพิเศษ ทั้งยังต้องการเวลานอนมากกว่าปกติ หากไม่ใช่เรื่องที่นางจำเป็นต้องทำ หวงฝู่เยวี่ยเอ้อล้วนลงมือทำเองทั้งหมด หรือเป็นแขกคนสำคัญที่นางต้องไปพบให้ได้จริงๆ?
“ได้ยินแม่นมสีกล่าวว่าเป็นแขกที่มาจากเซิ่งจิง ยังพูดอีกว่าเป็นคนของตระกูลจงจากเมืองหลวงเจ้าค่ะ!” จื่อหลัวลดน้ำเสียงลง “บ่าวได้ลอบรายงานแม่นมฉินแล้วเจ้าค่ะ อีกเดี๋ยวนางจะตามมา”
ตระกูลจง? เยี่ยนมี่เอ๋อร์ขมวดคิ้ว คนของตระกูลจงมาทำอะไร? คงไม่ใช่ว่ารู้ว่าตัวเองได้เป็นสะใภ้ใหญ่ซั่งกวน ทั้งมีลูกชายที่ถูกยอมรับจากบรรดาผู้อาวุโสของตระกูลซั่งกวน ดังนั้นจึงคิดอยากจะมาสานสัมพันธ์กระมัง? ช่างน่าขันจริงๆ!
“แม่นม ท่านช้าหน่อยเจ้าค่ะ!” แม่นมฉินพาลี่เซียงเข้ามาอย่างร้อนใจ นางเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์หวีผมแต่งตัวด้วยสีหน้าปกติ ท่าทีก็ผ่อนคลายลง ส่งสายตาเป็นนัยให้ลี่เซียง ลี่เซียงจึงยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูไม่ให้ใครได้ยินบทสนทนาของพวกนางทันที
“แม่นม เจ้าว่าเป็นตระกูลจงผู้ใดที่มา?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวถามด้วยยิ้มเย็นชา นางไม่มีความรู้สึกดีใดๆ ต่อคนของตระกูลจง ปีนั้นมารดากล่าวอย่างเรียบง่ายประโยคเดียว ตระกูลจงเคยเป็นตระกูลของตาเจ้า ยามนี้ไม่ใช่คนที่สลักสำคัญอันใด แค่เพียงประโยคเดียว ก็ทำให้มี่เอ๋อร์รู้ว่า มารดาเห็นตระกูลจงเป็นคนแปลกหน้าเท่านั้น ในเมื่อเป็นคนแปลกหน้า ก็อย่าได้ข้องเกี่ยวอะไรจะดีกว่า
“ไม่แน่ใจนักเจ้าค่ะ แต่ว่า…” แม่นมฉินเผยยิ้มอย่างเยือกเย็น “พวกเขาย่อมอยากให้ท่านรู้จักญาติผู้นี้ ภายหลังจะได้ดูแลปกป้องกันและกันได้ ความหมายที่ว่าปกป้องคงเป็นท่านที่ปกป้องดูแลพวกเขา เพราะพวกเขาไม่อาจจะสอดมือยุ่งเรื่องระหว่างตระกูลใหญ่ได้ ดังนั้นจึงได้อยากดูแลท่านเป็นอย่างมาก แต่ก็อาจเป็นเพราะเข้าตาจนเช่นกัน”
“พูดให้กระจ่างก็คืออยากจะมาพึ่งใบบุญสินะ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คิดว่าย่อมเป็นดั่งที่แม่นมฉินกล่าว ผงกศีรษะ กล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นข้าก็รู้แล้วว่าควรทำอย่างไร แม่นม เจ้าอย่ากังวล ข้าสกุลเยี่ยน ไม่ใช่สกุลจง ไม่รู้จักตระกูลจงอะไรทั้งนั้น!”
“นี่ก็ถูกแล้วเจ้าค่ะ!” แม่นมฉินพยักหน้า “ตระกูลจงสามารถมีตำแหน่งในวันนี้ได้ นอกจากกำลังของตัวเองที่ไม่ธรรมดาแล้ว การอาศัยอำนาจของคนอื่นเพื่อใช้ประโยชน์ทั้งหมดที่พอจะใช้ได้ก็เป็นเคล็ดลับความสำเร็จอย่างหนึ่ง ไม่ว่าผู้ที่มาจะเป็นใคร ล้วนจะคิดวิธีหว่านล้อมท่านด้วยคำพูด ท่านต้องระมัดระวังนะเจ้าคะ”
“ข้าเข้าใจแล้ว แม่นม” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผงกศีรษะ เวลานี้จื่อหลัวจัดแต่งผมเผ้าให้นางเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว นางเผยยิ้มบางก่อนจะลุกตามการประคองของจื่อหลัว “แม่นม ข้าจะไปแล้ว อย่างไรเจ้าหลบพวกเขาเสียหน่อยเถิด ข้าไม่อยากให้ในนั้นมีใครที่รู้จักเจ้า ทั้งพูดอะไรออกมาให้เจ้าต้องโกรธเคือง”
“พรุ่งนี้เช้าตรู่ข้าจะไปไหว้พระที่อารามสัตตบุษย์ เซียงหลิงก็จะไปกับข้าเจ้าค่ะ” แม่นมฉินพยักหน้า ก่อนจะกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ท่านให้พ่อบ้านจิ่นส่งหญิงแก่ที่ใช้การได้มาให้พวกเราหน่อย อย่าให้คนที่ไม่ควรพบ พบเจอกับพวกเรา ทั้งอย่าได้ให้พวกเราพบคนที่ไม่ควรพบ”
“แม่นมหมายความว่า…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ขมวดคิ้ว หรือแม่นมฉินกังวลว่าเซียงหลิงและคนของตระกูลจงยังติดต่อกันอยู่? ท่านแม่ไม่ได้กล่าวหรือว่าเซียงหลิงอาจจะเป็นคนของอ๋องเหยี่ยน?
“ป้องกันเสียหน่อยก็ไม่มีผลเสียอะไร!” แม่นมฉินไม่เชื่อ หากไม่ใช่เพราะคนในเปิดเผยข่าวออกไป ตระกูลจงจะรู้ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นลูกสาวของคุณหนูฉิงได้อย่างไร และคนที่สามารถส่งข่าวให้คนตระกูลจงได้ก็มีเพียงตัวเองและเซียงหลิงเท่านั้น ในเมื่อไม่ใช่ตัวเอง เช่นนั้นย่อมเป็นไปได้ว่าคือเซียงหลิง เซียงหลิงเป็นบ่าวที่เกิดในตระกูลจง แม้จะกล่าวว่าปีนั้นนางจงรักภักดีระหกระเหินตามคุณหนูจากเซิ่งจิงที่รุ่งเรืองมาอยู่อู๋โจว แต่ก็ไม่กล้ารับประกันว่านางจะมีใจคิดคดหรือไม่เช่นกัน? พ่อแม่และพวกน้องๆ ของนางล้วนยังอยู่ที่เซิ่งจิง!
“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะจัดการให้!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้า ในใจมีแผนแล้ว ทั้งรู้ว่าควรจะทำอย่างไร
แม่นมฉินผงกศีรษะ เยี่ยนมี่เอ๋อร์เตรียมแผนไว้แล้ว นางก็วางใจ นางยังต้องกลับไปดูเซียงหลิง ย่อมไม่อาจให้นางออกมาทำให้มี่เอ๋อร์เสียเรื่องในเวลาที่สำคัญเช่นนี้
ยามที่มี่เอ๋อร์ตามไปที่ห้องรับแขกของตระกูลซั่งกวน ในนั้นมีผู้ชายสองคนและผู้หญิงหนึ่งคนที่ไม่รู้จักนั่งอยู่ ดูท่าก็คือผู้ที่กล่าวว่าเป็นคนของตระกูลจง ผู้หญิงคนนั้นคล้ายมีอายุห่างจากมี่เอ๋อร์สองสามปี หน้าตาก็คล้ายมี่เอ๋อร์ถึงห้าหกส่วน เพียงแต่มี่เอ๋อร์กลับไม่ได้มองพวกเขามากมาย เบนสายตาไปกล่าวยิ้มๆ กับหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ “ท่านแม่ เรียกหามี่เอ๋อร์อย่างรีบเร่งเช่นนี้ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใด?”
“มี่เอ๋อร์ ผู้นี้คือหลานชายคนโตของมหาเสนาบดีจง คุณชายใหญ่จง จงฉิงเฟิง เขาตั้งใจมาพบเจ้าเป็นพิเศษ!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเผยยิ้มอย่างพอเหมาะพองาม “คุณชายใหญ่จงกล่าวว่าเจ้าคือลูกผู้น้องที่เขาตามหามาหลายปี จึงตั้งใจเข้ามาหาเจ้า”
“หลานคนโตของมหาเสนาบดีจง?” มี่เอ๋อร์เลิกคิ้ว ก่อนกล่าวอย่างตกใจ “ท่านแม่ไปเอาคำพูดนี้มาจากที่ใดกัน มี่เอ๋อร์เกิดในตระกูลพ่อค้าวานิชธรรมดา จะมีความสัมพันธ์เกี่ยวพันกับมหาเสนาบดีของราชสำนักได้อย่างไร คุณชายใหญ่น่าจะมาผิดที่แล้วกระมัง”
จงฉิงเฟิงเป็นชายหนุ่มรูปงามอายุประมาณยี่สิบสามยี่สิบสี่ปีคนหนึ่ง ใบหน้าเผยรอยยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ “สะใภ้ใหญ่อาจจะไม่ค่อยชัดเจนนัก มารดาของเจ้า จงเสวี่ยฉิงเป็นลูกสาวคนเดียวของลูกชายคนรองตระกูลจง ทั้งเป็นคุณหนูที่น่าภาคภูมิใจที่สุดของตระกูลจง เจ้าเป็นลูกสาวของนาง ย่อมเป็นลูกผู้น้องของข้า!”
“อย่างนั้นหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยังคงเผยสีหน้าไม่เชื่อ “ข้าคิดว่าคุณชายใหญ่อาจจะจำผิดแล้ว! ท่านตาของข้าเป็นเพียงบัณฑิตซิ่วไฉที่สอบตกเท่านั้น มารดาของข้าก็เป็นหญิงงามที่พบเจอได้ทั่วไป จะมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับมหาเสนาบดีตระกูลจงของราชสำนักได้อย่างไร? ข้าว่าอย่างไรคุณชายใหญ่ตรวจสอบให้แน่ชัดก่อนดีกว่า อย่าได้สรุปตามใจเช่นนี้!”
“ดูคำพูดนี้ของท่านพี่สิ” หญิงสาวคนนั้นกล่าวทั้งรอยยิ้มอย่างชัดเจน “แค่เห็นใบหน้าของเจ้าก็รู้แล้วว่าเจ้าคือคนตระกูลจงของพวกเรา ดูแล้วเหมือนกุ้ยเฟยถึงแปดเก้าส่วน! ได้ยินท่านพ่อกล่าวว่า ปีนั้นท่านน้าและกุ้ยเฟยยืนอยู่ด้วยกันราวกับพี่น้องฝาแฝดก็มิปาน ท่านพี่ย่อมหน้าตาเหมือนท่านน้าเป็นอย่างมาก!”
“คุณหนูคนนี้คือ…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองหญิงสาวที่เหมือนจะไม่มีพิษมีภัยผู้นี้ ยิ้มเย็นในใจ ‘กุ้ยเฟย’ จะใช้ผู้หญิงคนนั้นมากดดันตัวเองหรืออย่างไร?
“นี่คืออิ้งซี ลูกผู้น้องของเจ้า ปีนั้นเพิ่งเข้าพิธีปักปิ่น ได้ยินว่าพวกเราหาลูกสาวของท่านน้าพบแล้ว ก็ดึงดันจะตามมาให้ได้” จงฉิงเฟิงกล่าวยิ้มๆ เขามั่นใจว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ย่อมยอมรับญาติตระกูลจงผู้นี้ ลูกสาวตระกูลพ่อค้าและหลานสาวมหาเสนาบดีของราชสำนัก แทบที่จะอยู่คนละชั้นโดยสิ้นเชิง
“คุณชายใหญ่จงตรวจสอบดูอีกครั้งเถิด!” คำพูดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำให้จงฉิงเฟิงที่เปี่ยมด้วยความมั่นใจตกตะลึงอยู่ในใจทันที เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มอย่างมีมารยาท กล่าวเรียบนิ่ง “ข้าได้พูดชัดเจนแล้ว มารดาของข้าสกุลจงก็จริง แต่ไม่ได้ข้องเกี่ยวอันใดกับตระกูลของท่านหรอก…อืม หากจะพูด คงทำได้เพียงต้องใช้สำนวนกล่าวเปรียบเปรยแล้ว นั่นก็คือเป็นครอบครัวกันตั้งแต่เมื่อห้าร้อยปีก่อน อย่างไรขอคุณชายใหญ่จงและคุณหนูจงอย่าได้เรียกข้าว่าน้องหรือพี่เลย ข้ารับไว้ไม่ไหวหรอก!”
“ข้าก็พูดไปแล้วว่าคุณชายใหญ่จงอาจจะเข้าใจผิด” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกล่าวยิ้มๆ นางจำได้อย่างชัดเจน ปีนั้นนางเคยถามจงเสวี่ยฉิงว่าจะกลับตระกูลจง กลับเซิ่งจิงหรือไม่ และจงเสวี่ยฉิงก็กล่าวอย่างไม่ลังเลว่า ไม่ว่าจะชาตินี้หรือชาติหน้าล้วนไม่อาจเกี่ยวข้องอันใดกับตระกูลจงนั่นอีก นางไม่อยากหวนถึงฝันร้ายแล้ว ดังนั้น แม้ว่านางจะไม่เคยเอ่ยเรื่องนี้กับมี่เอ๋อร์ แต่ก่อนที่มี่เอ๋อร์จะมาก็ยังคงแสดงออกไปว่าตระกูลจงอาจจะตามหาผิดคน
“หรือท่านพี่กลายเป็นสะใภ้ใหญ่ตระกูลซั่งกวนก็ลืมบ้านเกิดไปแล้ว?” จงฉิงเฟิงยังไม่ทันพูดอะไร จงอิ้งซีก็กล่าวลากเสียงอยู่บ้าง ในความคิดของนางพวกเขาเป็นฝ่ายมาหาถึงหน้าประตูก็ไว้หน้าเยี่ยนมี่เอ๋อร์มากแล้ว หากไม่ใช่ว่านางมีตำแหน่งที่มั่นคงในตระกูลซั่งกวน คิดจะกลับตระกูลจงคงไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น
“ข้าสกุลเยี่ยน!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวเรียบง่ายหนึ่งประโยค ทำให้จงฉิงเฟิงที่เดิมก็หนาวสั่นอยู่ในใจยิ่งหนาวเหน็บขึ้นไปอีก เดิมทีคิดว่าจะทำให้เรื่องนี้สำเร็จในยามที่สองพ่อลูกซั่งกวนฮ่าวไม่อยู่ กลับคาดไม่ถึงว่าแม่สามีลูกสะใภ้คู่นี้จะเป็นคนที่เรื่องเยอะเช่นกัน
“อีกทั้ง…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มอย่างสดใส “ลูกสาวอยู่ในบ้านต้องเชื่อฟังบิดา ออกเรือนแล้วต้องเชื่อฟังสามี แม้ข้าจะสกุลเยี่ยน จะยอมรับญาติที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ทั้งไม่เคยไปมาหาสู่อันใดกันเลย ก็ไม่ใช่เรื่องที่ข้าตัดสินใจเองได้!”
“ท่านพี่ไม่มีความคิดของตัวเองสักนิดเลยหรือ?” จงอิ้งซีมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์คล้ายกับเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก “หรือท่านพี่ไม่อาจครุ่นคิดเองได้?”
“สรรพนามที่เรียกว่าท่านพี่นั้น อย่างไรขอคุณหนูจงอย่าได้ใช้มั่วซั่วเลย!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่คุ้นชินที่คนแปลกหน้าใช้คำเรียกอย่างสนิทสนมขนาดนั้น ทั้งรับคำเรียกเช่นนี้จากคุณหนูตระกูลมหาเสนาบดีจงไม่ไหวเช่นกัน”
จงอิ้งซีชะงักกับคำพูดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ คาดไม่ถึงว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะใช้น้ำเสียงที่อ่อนโยนถึงขนาดนั้นมาทำให้คนตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากได้ จงอิ้งซีเป็นใครกัน เรียกนางว่าท่านพี่ นั่นก็ไว้หน้านางมากแล้วยังไม่ดีหรือ!
“ที่ข้ายังมีจดหมายฉบับหนึ่งจากท่านปู่ ไม่อย่างนั้นสะใภ้ใหญ่อ่านแล้วค่อยว่ากันดีหรือไม่?” จงฉิงเสวี่ยหนาวเหน็บในใจขึ้นเรื่อยๆ ดูท่าท่านปู่พูดไม่ผิด หลังจากครอบครัวน้องชายของปู่ออกจากเซิ่งจิงก็อาจจะตัดขาดความสัมพันธ์กับตระกูลจง ดูเหมือนว่าจะไม่มีใจคิดกลับตระกูลจงแล้ว ใช้ความสัมพันธ์มาช่วยไม่แน่ว่าจะเกิดประโยชน์อันใด ควรจะว่าตามเหตุผลจึงจะเหมาะสมกว่า
“จดหมายของปู่ท่านคาดว่าคงจะมอบให้ลูกผู้น้องคนนั้นจากปากของท่านมากกว่ากระมัง!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ในใจรู้สึกเย็นเยียบ คิดจะล่อตนให้ติดกับอย่างนั้นหรือ? น่าเสียดายที่ตัวเองไม่ใช่คนที่ใครจะมาวางแผนง่ายๆ นางกล่าวทั้งคลี่ยิ้ม “ข้ามั่นใจว่าตัวเองไม่ใช่คนที่พวกท่านตามหา จะดูจดหมายที่เขียนด้วยมือของมหาเสนาบดีของราชสำนักตามใจได้อย่างไร? หากอ่านแล้ว ไม่ใช่จะเป็นการทึกทักเอาเองหรือว่าเป็นลูกผู้น้องของท่าน?”
ช่างเป็นคนที่ทิฐิสูงอะไรเช่นนี้! ความมั่นใจที่เดิมมีอยู่เต็มเปี่ยมของจงฉิงเฟิงกลับหลงเหลือเพียงเล็กน้อย จู่ๆ เขาก็นึกถึงท่านพ่อที่วิจารณ์ท่านน้าที่ไม่มีความประทับใจผู้นั้น ฉลาดเหนือคน ไม่ด้อยไปกว่าบุรุษ! แต่ว่า…ใบหน้าของเขาเผยรอยยิ้มขึ้นมาทันที หรือตัวเองจะเอาชนะหญิงสาวที่แทบจะไม่ก้าวออกจากประตูไม่ได้เชียว?
———————————