เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 285 เรื่องในอดีตที่ไม่เคยรู้
“เรื่องนี้มี่เอ๋อร์ทำได้ดี!” หลังจากซั่งกวนฮ่าวรู้ถึงท่าทีของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ชื่นชมเป็นอย่างมาก “ดูท่าพวกเขาคงเตรียมละครตลกนี้มานานแล้ว สิ่งที่นึกไม่ถึงคือมี่เอ๋อร์กลับไม่ทำตามที่พวกเขาคาดไว้แม้แต่น้อย พวกเขาในยามนี้ย่อมเสียใจไม่น้อยกระมัง!”
“คนโง่พวกนี้!” ซั่งกวนเจวี๋ยเค้นเสียง กล่าวอย่างเยือกเย็น “พวกเขาคิดว่ามี่เอ๋อร์ไม่ค่อยได้ออกจากบ้านก็คงเป็นหญิงสาวประเภทที่ไม่มีความรู้กระมัง? ช่างโง่เขลาเสียจริงๆ!”
“ดูท่า พวกเขาคงอยากจะฉวยโอกาสยามที่พวกเราไม่อยู่ ให้มี่เอ๋อร์ยอมรับเป็นญาติก่อนกระมัง!” ซั่งกวนฮ่าวยิ้มอย่างเรียบเย็น “ดูเหมือนว่ารัชทายาทและอ๋องรุ่ยในยามนี้คงเตรียมตัวที่จะช่วงชิงตำแหน่งฮ่องเต้แล้ว!”
“รัชทายาทอาจจะรู้เรื่องราวของมี่เอ๋อร์อยู่นานแล้ว อ๋องรุ่ยก็คงจะทราบนานแล้วเช่นกัน เพียงแต่ไฉนพวกเขาจึงประวิงเวลามาจนถึงตอนนี้เล่า?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกล่าวอย่างไม่เข้าใจ “หากพวกเขาเข้ามาผูกสัมพันธ์ยามที่มี่เอ๋อร์เพิ่งจะแต่งเข้าตระกูลซั่งกวน ย่อมมีแนวโน้มที่จะสำเร็จมากกว่ามิใช่หรือ? เวลานั้นมี่เอ๋อร์นับว่าตัวคนเดียว การช่วยเหลือของพวกเขาย่อมสร้างความมั่นใจให้มี่เอ๋อร์ ทั้งสามารถทำให้มี่เอ๋อร์ซาบซึ้งใจ แต่ยามนี้…มี่เอ๋อร์ยอมผูกสัมพันธ์กับพวกเขาก็นับว่าแปลกแล้ว!”
“พวกเขามาผูกสัมพันธ์กับข้า สิ่งที่คิดก็คือจะใช้ประโยชน์กับข้าอย่างไร กลับไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์ฉันญาติมิตรอะไร จึงได้ปรากฏตัวมาในเวลานี้!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กลับมองทะลุปรุโปร่ง สำหรับนาง พวกเขาก็คือตัวตลกที่เห็นญาติอัตคัดขัดสนมีเงินมีทองขึ้นมาชั่วพริบตาจึงอยากกระโดดออกมาขอแบ่งผลประโยชน์เท่านั้น ไม่มีเรื่องอื่นใดอีกแล้ว ดังนั้นนางจึงกล่าววิเคราะห์ด้วยยิ้มสดใส “หากพวกเขากระโดดออกมาตั้งแต่ตอนแรกจะได้อะไร? ท่านแม่อย่าลืมว่า ยามที่ข้าเข้าตระกูล นอกจากท่านแล้ว มีคนจำนวนเท่าใดที่ขมวดคิ้วใส่ข้า ทั้งคิดว่าจะจัดการกับข้าอย่างไร! ท่านพ่อสนับสนุนท่าน แต่คนอื่นกลับไม่ใช่! ฮูหยินใหญ่อยากจะให้ข้าหายไปทั้งเดี๋ยวนั้น มอบตำแหน่งให้แก่ทั่วป๋าฉินซินแทน เจวี๋ยก็ไม่อยากให้มีการคงอยู่ของข้า หากเขาสามารถแต่งกับคนที่ชอบได้ ย่อมไม่มีใครสนใจข้าที่ยืนมั่นคงในตระกูลซั่งกวน แล้วพวกเขาจะไม่เป็นอย่างนั้นได้อย่างไร? พวกเขายังจะกังวลว่านอกจากไม่ได้ประโยชน์อะไรจากข้าแล้ว กลับกันยังจำต้องเป็นที่พึ่งพิงให้ข้า ล่วงเกินตระกูลทั่วป๋าและฮูหยินใหญ่ แต่ยามนี้ไม่เหมือนกัน ท่านและท่านพ่อยังดีต่อข้าเหมือนอย่างเคย เจวี๋ยก็เอาใจใส่ข้า หลานคนโตภรรยาเอกยังคงเป็นข้าที่ให้กำเนิด ยามนี้ในท้องก็มีลูกอีก ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ล้วนมั่นคง ข้าในยามนี้ควรค่าที่จะใช้ประโยชน์ ไม่ได้คิดแต่จะพึ่งพิงพวกเขา!”
“ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้นเสียหน่อย!” ซั่งกวนเจวี๋ยไม่ได้แก้ตัวอย่างจริงจังนัก เขาเคยบอกความรู้สึกของตนเองในยามนั้นกับมี่เอ๋อร์แล้ว แค่ยามนั้นทั้งสองคนต่างรู้สึกหวานซึ้งก็เพียงพอแล้ว
“ไม่คิดก็ดี!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อถลึงตาใส่เขา ยังคงพะว้าพะวงในใจเรื่องที่เขาออกจากโยวโจวไปปลอบใจโม่จิ้งอยู่บ้าง แต่ว่าเรื่องนี้ไม่อาจจะเอ่ยถึงอย่างเรื่อยเปื่อยได้ หลีกเลี่ยงไม่ให้เขานึกถึงผู้หญิงคนนั้นอีก
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าอยากรู้อย่างมากว่าปีนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างจริงจัง “แต่ไหนแต่ไรท่านแม่ของข้าก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้กับข้ามาก่อน แม่นมฉินและป้าเซียงก็เอาแต่ปิดปากเงียบกับเรื่องในปีนั้นเช่นกัน ไม่เคยบอกกับข้ามาโดยตลอด เมื่อก่อน ข้ากลับไม่อยากถามถึงเรื่องที่ผ่านมาหลายปีเหล่านั้น เปิดเผยออกมาก็ทำให้คนเจ็บปวดเท่านั้น แต่ยามนี้ข้าจำเป็นต้องรู้ความจริงเสียหน่อย ไม่อยากจะถูกคนของตระกูลจงหลอกลวง”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยังมีความกังวลอย่างอื่น…คนของตระกูลจงปรากฏตัวแล้ว อ๋องเหยี่ยนจะยังไกลตัวอย่างนั้นหรือ? บางทีคนผู้นั้นอาจจะกำลังมุ่งหน้ามายังลี่โจว ในจดหมายสั่งเสียของจงเสวี่ยฉิง คนผู้นั้นเป็นภัยเงียบอย่างแท้จริง!
“ปีนั้นหรือ…” หลังจากซั่งกวนฮ่าวทราบถึงความสัมพันธ์ของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อและจงเสวี่ยฉิงรวมถึงเรื่องที่ตัดสินใจหมั้นหมายพวกลูกๆ โดยพลการ จึงให้คนไปเก็บรวบรวมข้อมูลของจงเสวี่ยฉิงอย่างละเอียด นับว่ารู้เรื่องนั้นอย่างชัดเจนเช่นกัน
พูดถึงแล้วก็เป็นเรื่องที่นานมากแล้วจริงๆ อำมาตย์จงในปีนั้นให้กำเนิดบุตรชายสามคนบุตรสาวหนึ่งคน ตระกูลจงมีความพิเศษอย่างหนึ่ง นั่นก็คือไม่ว่าชายหรือหญิงล้วนมีรูปลักษณ์หน้าตาที่สง่างาม ลูกชายคนโตตระกูลจงมีภรรยาอนุมากมาย ลูกสาวคนโตเป็นลูกภรรยาเอก ตั้งแต่ยังเล็กก็มีชื่อเสียงพอตัวแล้ว ยามที่อายุสิบห้าในปีนั้นได้รับสมรสพระราชทานแต่งเป็นเช่อเฟยให้รัชทายาทในเวลานั้น ทำให้นับแต่นั้นมาลูกชายคนโตภรรยาเอกของตระกูลจงทำได้เพียงสนับสนุนรัชทายาทเท่านั้น
ลูกคนที่สองให้กำเนิดเพียงลูกสาวคนเดียว ภรรยาของเขาประสบภาวะคลอดยากตอนกำเนิดบุตรสาว ทั้งยากที่จะตั้งครรภ์แล้วเช่นกัน แต่สามีภรรยาคู่นี้มีความสัมพันธ์รักใคร่กลมเกลียว จึงไม่ได้รับอนุภรรยาหรือเมียบ่าวแต่อย่างใด และลูกสาวผู้นี้ก็คือจงเสวี่ยฉิง ตั้งแต่จงเสวี่ยฉิงถือกำเนิดก็ถูกพ่อแม่ให้ความสำคัญและประคบประหงมเหมือนของล้ำค่า และนางไม่เพียงได้สืบทอดรูปลักษณ์ที่โดดเด่นของตระกูลจง แต่ยังฉลาดเป็นกรด เริ่มเรียนครั้งแรกตอนอายุสามปีก็ได้แสดงพรสรรค์ที่ไม่ธรรมดาออกมา อาจารย์ที่เคยสอนนางล้วนไม่มีใครคิดว่านางเกิดเป็นผู้หญิงเสียเปล่าแม้แต่น้อย
หญิงสาวเช่นนี้หลังจากได้พบอ๋องเหยี่ยนในงานแต่งลูกผู้พี่ของนาง ก็ถูกอ๋องเหยี่ยนเห็นเป็นเทพธิดา ทั้งรำพึงรำพันออกมาว่า ‘นอกจากชาติบ้านเมืองแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะประทานอะไรเป็นของขวัญให้’ นับแต่นั้นมา อ๋องเหยี่ยนและรัชทายาทก็เริ่มห้ำหั่นในที่ลับและที่แจ้งมาถึงสองปี ปีนั้น จงเสวี่ยฉิงอายุเพียงสิบปี นางอายุเพียงสิบปีก็มีใบหน้าที่งามล่มเมืองแล้วหรือ? เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่! หญิงสาวอายุสิบปีผู้หนึ่ง ไม่ว่าหน้าตาจะสะสวยจนเป็นภัยต่อบ้านเมืองขนาดไหน ก็ทำได้เพียงพาให้คนรู้สึกว่าเป็นสาวงามโดยกำเนิด เป็นตุ๊กตาหยกแกะสลักเท่านั้น ไม่อาจทำให้เกิดความคิดเช่นนั้นมาได้หรอก
แท้จริงแล้วแม้อ๋องเหยี่ยนจะไม่ใช่ลูกชายสายตรงของฮ่องเต้องค์ก่อน แต่กลับเป็นหลานแท้ๆ ของไทเฮาองค์ก่อน เทียบกับรัชทายาทและฮ่องเต้แล้ว นับว่าอ๋องเหยี่ยนได้รับความโปรดปรานจากไทเฮามากที่สุด ในความคิดของไทเฮา ฮ่องเต้นั้นไม่เลว รัชทายาทก็ไม่เลวเช่นกัน แต่ลูกชายของนางเพราะพิการแต่กำเนิดจึงได้มอบบัลลังก์มังกรให้กับฮ่องเต้ เช่นนั้นหลังจากฮ่องเต้สวรรคต ก็ควรมอบบัลลังก์ให้อ๋องเหยี่ยนจึงจะถูก
แต่ว่า ฮ่องเต้จะมอบตำแหน่งให้หลานแทนลูกได้อย่างไร? แรกเริ่มจึงไม่ใช่รัชทายาทและอ๋องเหยี่ยนที่แก่งแย่งชิงบัลลังก์กัน แต่เป็นฮ่องเต้และไทเฮา แม้อ๋องเหยี่ยนจะมีใจอยากชิงตำแหน่งฮ่องเต้กลับมา แต่เขารู้ดีว่าหากเผยความคิดเช่นนั้นออกมายามที่ด้อยประสบการณ์ ฮ่องเต้ย่อมจัดการเขาอย่างราบคาบโดยไม่ปรานี ยามที่จงเสวี่ยฉิงปรากฏตัวเป็นตอนที่เขาปีกกล้าขาแข็งแล้ว เขาที่กำลังลังเลว่าจะแตกหักกับรัชทายาทดีหรือไม่ เมื่อพบจงเสวี่ยฉิงปรากฏตัว จึงทำให้สมองแล่นปราดอย่างว่องไว เผยความคิดเช่นนั้นออกมา
การกระทำของอ๋องเหยี่ยนนับว่าทำให้ลูกคนรองของตระกูลจงไม่พอใจ ในความคิดของเขา ในเมื่ออ๋องเหยี่ยนมีชายาเอกแล้ว ก็ไม่ควรมีความคิดอะไรกับลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของเขา เขาและภรรยาต่างก็ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา โดยไม่มีผู้ใดข้องเกี่ยว ย่อมหวังให้ลูกสาวสามารถหาคนรักที่ยินดีจะ ‘ใช้ชีวิตครองคู่กันตลอดไป’ ได้ ไม่ใช่กลายเป็นของตกแต่งในงานแต่งของคนอื่น
แต่ว่า อำมาตย์จงไม่ได้คิดเช่นนั้น! เขาคิดว่าหลานสาวคนโตแต่งให้กับรัชทายาท เช่นนั้นจงเสวี่ยฉิงแต่งให้กับอ๋องเหยี่ยนก็ไม่เลว ตำแหน่งฮ่องเต้มีเพียงหนึ่งเดียว ยามนี้รัชทายาทที่กำเนิดโดยฮองเฮาได้เปรียบมากกว่า แต่อ๋องเหยี่ยนก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน! รัชทายาทได้สืบทอดบัลลังก์ ย่อมเป็นเรื่องดีต่อตระกูลจง แต่หากอ๋องเหยี่ยนได้ตำแหน่งดเล่า? ตระกูลจงกลับไม่มีคนที่สามารถข้องเกี่ยวกับอ๋องเหยี่ยน ดังนั้นยามที่จงเสวี่ยฉิงยังสับสนมึนงง นางก็ถูกปู่ตัดสินอนาคตแล้ว นั่นก็คือกลายเป็นเช่อเฟยให้อ๋องเหยี่ยน
ยามที่สงครามแย่งชิงบัลลังก์ของรัชทายาทและอ๋องเหยี่ยนมาถึงจุดที่สำคัญและอันตรายที่สุด อ๋องเหยี่ยนอาศัยทุกความสัมพันธ์ ขุนนางในราชสำนักส่วนมากล้วนถูกเขาควบคุม เขาและไทเฮาวางแผนจะแย่งบัลลังก์ บีบฮ่องเต้ให้สละตำแหน่งแก่เขาตรงๆ
ใต้หล้าย่อมไม่มีความลับอันใดที่สามารถปิดบังได้ ยามที่อ๋องเยี่ยนบีบบังคับฮ่องเต้และรัชทายาทอย่างสบายใจ จงเสวี่ยฉิงก็ถูกผลักออกมา นางถูกลูกผู้พี่ที่แต่งให้กับรัชทายาทผู้นั้นหลอกล่อให้กลับวังบูรพา ก่อนที่อ๋องเหยี่ยนยังไม่ได้เริ่มแผนชิงบัลลังก์ จงเสวี่ยฉิงที่มัดมือไพล่หลังถูกลูกผู้พี่ใช้กริชสั้นจี้คอ ปรากฏอยู่เบื้องหน้าพวกฮ่องเต้ ฮ่องเต้กล่าวกับอ๋องเหยี่ยนที่พยายามบีบให้เขาออกจากตำแหน่งว่า ขอเพียงแค่เขาล้มเลิกการกบฏเสียตอนนี้ ย่อมไม่ตำหนิต่อเรื่องความผิดในอดีต ไม่อย่างนั้นละก็ จะทำให้จงเสวี่ยฉิงกลายเป็นของสังเวยชิ้นแรกของการต่อสู้ครั้งนี้
ยามที่จงเสวี่ยฉิงมั่นใจว่าอ๋องเหยี่ยนจะละทิ้งแผนการเพื่อนาง อ๋องเหยี่ยนกลับมองฮ่องเต้และรัชทายาทอย่างเหลือเชื่อ กล่าวออกมาประโยคหนึ่งว่า ‘คาดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะใสซื่อถึงเพียงนี้ คิดว่าข้าจะยอมละทิ้งเรื่องทั้งหมดเพื่อผู้หญิงคนเดียวได้เชียวหรือ?’
คำพูดของอ๋องเหยี่ยนโจมตีจงเสวี่ยฉิงที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาอย่างถึงที่สุด เวลานั้นนางจึงเข้าใจ ตัวเองเป็นเพียงข้ออ้างของอ๋องเหยี่ยน เป็นจุดอ่อนที่เขาจงใจนำออกมาให้คนอื่นเห็นเท่านั้น เวลานั้นนางก็ล้มพับไปทันที!
ยามที่อ๋องเหยี่ยนคิดไปเองว่าเรื่องทั้งหมดล้วนอยู่ในกำมือ ตัวเองเพียงแค่รอขึ้นครองบัลลังก์เท่านั้น แม่ทัพอวี๋ ผู้ที่ฮ่องเต้ไว้ใจที่สุดก็นำกองกำลังทหารรักษาพระองค์ที่เฝ้าระวังใกล้ๆ เซิ่งจิงมาโดยตลอดเข้าวังมาคุ้มกัน แผนทั้งหมดของอ๋องเหยี่ยนจึงล้มเหลวจากการโจมตีของทหารรักษาพระองค์ครั้งนั้น เมื่อจบเรื่อง ไทเฮาก็ถูกฮ่องเต้กักบริเวณโดยใช้ข้ออ้างพักผ่อนสงบจิตใจในวังหลัง อ๋องเหยี่ยนถูกคุมขังในคุก เตรียมที่จะประหารชีวิตหลังจากเรื่องทั้งหมดสงบลง เพราะจงเสวี่ยฉิงเป็นเพียงคนเดียวที่ถูกใช้ประโยชน์อย่างน่าสงสารจึงไม่ติดร่างแหไปด้วย แต่มีคำสั่งให้ออกจากเซิ่งจิงภายในเวลาหนึ่งเดือน ไม่อาจกลับมาได้อีกชั่วชีวิต อำมาตย์จงเป็นคนแรกที่ตัดความสัมพันธ์กับลูกชายของตัวเอง เวลานั้นเขาขับไล่คนบ้านรองทั้งหมดออกจากตระกูลจง ทั้งประกาศอย่างชัดเจนว่าไม่ขอรู้จักลูกชายและหลานสาวผู้นี้ชั่วชีวิต
หลังจากนั้นหนึ่งเดือน จงเสวี่ยฉิงที่เคยเป็นหญิงสาวน่าภาคภูมิใจก็ออกจากเซิ่งจิงภายใต้การปกป้องของบิดามารดา ผู้ที่ตามพวกเขาไปด้วยมีบ่าวใช้อีกเจ็ดแปดคน ระหว่างทาง จงเสวี่ยฉิงที่ทำตัวร่าเริงขึ้นมาก็ใช้อุบายหลอกล่อ ให้ผู้ที่ติดตามมาค่อยๆ จากไปทีละคน นับจากนั้นก็หายไปจากสายตาของผู้มีอำนาจในเซิ่งจิง กลายเป็นเพียงเรื่องเล่าเรื่องหนึ่ง
คืนก่อนที่อ๋องเหยี่ยนจะถูกประหาร ไม่รู้ว่าไทเฮาใช้วิธีอันใดจึงมาปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าฮ่องเต้และพวกขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่กำลังหารือเรื่องสำคัญได้ นางไม่ลังเลที่จะใช้ชีวิตของตัวเองมาแลกเปลี่ยนกับชีวิตของอ๋องเหยี่ยนแม้แต่น้อย แม้ฮ่องเต้จะไม่อยากเหลือภัยร้ายไว้ แต่สายตาของพวกขุนนางกลับทำให้เขาเข้าใจ หากเขาดันทุรังจะเอาชีวิตอ๋องเหยี่ยนให้ได้ ย่อมต้องแบกรับมลทินที่ยากจะสลัดพ้น ดังนั้น แม้จะเกลียงชังมากขนาดไหน ฮ่องเต้ก็ยังคงปล่อยตัวอ๋องเหยี่ยนออกมาจากคุก แต่กลับลบชื่อเขาออกจากราชวงศ์ ให้นามใหม่ว่าเซียวเหยาโหว กักบริเวณให้อยู่ใกล้ๆ เมืองเซิ่งจิง เมื่อฮ่องเต้สวรรคต ยามที่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันครองราชย์แทน ไม่รู้เพราะสาเหตุใด จึงปล่อยเขาออกมา ทั้งยังพระราชทานที่ดินให้เขาแห่งหนึ่ง ส่งเขาออกไปไกล จวบจนถึงทุกวันนี้
มิน่าเล่าท่านแม่จึงไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องในอดีต ที่แท้ล้วนเป็นอดีตที่ทำให้นางเจ็บปวดเสียใจ! ในที่สุดเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็เข้าใจว่าความคิดที่รุนแรงของมารดามาจากไหน ทั้งสุดท้ายก็เข้าใจว่าเหตุใดท่านแม่จึงกำชับไว้เช่นนั้น ที่แท้ทุกคำล้วนมาจากน้ำตาที่ไหลเป็นสายเลือด!
“พรุ่งนี้จงฉิงเฟิงย่อมมาหาถึงหน้าประตูอย่างไม่ยอมแพ้อีกแน่ มี่เอ๋อร์คิดจะทำอย่างไร?” แม้ซั่งกวนเจวี๋ยจะรู้เรื่องทั้งหมดนานแล้ว แต่ก็ยังคงสนใจท่าทีของภรรยา
“ในเมื่อคนเขายื่นหน้ามา ไม่ตบแรงๆ สักหน่อย คนเขาจะยอมกลับไปได้อย่างไร!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์แย้มยิ้มเล็กน้อย กล่าวอย่างเรียบเย็น “แต่ว่า หากพวกเขาหงุดหงิดจนโมโหขึ้นมา ไม่รู้ว่าจะพยายามทุกวิธีทางเพื่อเป็นศัตรูกับตระกูลซั่งกวนหรือไม่?”
“ผู้ที่สามารถเป็นศัตรูกับตระกูลซั่งกวนนั้นมีมากมาย แต่ย่อมไม่ใช่ตระกูลจงและอ๋องรุ่ยผู้นั้น” ซั่งกวนฮ่าวกล่าวอย่างเยือกเย็น “ฮองเฮาองค์ปัจจุบันมาจากตระกูลบุญหลักศักดิ์ใหญ่ แม้ทางเครือญาติจะไม่เย่อหยิ่งถือตัว แต่กลับเป็นผู้ช่วยให้ฮ่องเต้สามารถปกครองใต้หล้าได้อย่างราบรื่น เดิมทีตำแหน่งรัชทายาทก็มั่นคงอย่างมาก ทั้งมีการสนับสนุนของตระกูลมู่หรง อ๋องรุ่ยย่อมเป็นเพียงตัวตลกที่ออกมากระโดดโลดเต้นเท่านั้น แม้ว่าจะล่วงเกินก็ไม่เป็นอันใด ส่วนตระกูลจง หากจำเป็น สามารถทักทายไปทางพี่หรูหลิน ขุนนางคุณธรรมพวกนั้นย่อมสามารถกดหัวเขาให้จมได้!”
“ก็หมายความว่าครั้งนี้มี่เอ๋อร์สามารถทำตามอำเภอใจได้?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กระจ่างในความหมายของซั่งกวนฮ่าว ดูท่าซั่งกวนฮ่าวคงไม่อยากไปมาหาสู่อะไรกับพวกเขาแม้แต่น้อย ยิ่งไม่อยากให้ตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรมอันใด
“แต่ว่าระวังหน่อยเถิด อย่าให้กระทบกับลูกในท้อง” สิ่งที่ซั่งกวนฮ่าวกังวลก็มีเพียงคนในครอบครัว คนอื่นๆ เขาล้วนไม่สนใจ!
———————————–