เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 287 ตบคนก็ต้องตบที่หน้า (2)
“ย่อมไม่ได้!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ปฏิเสธไปอย่างตรงๆ
“ทำไมล่ะ?” ผู้ที่ถามประโยคนี้ไม่ใช่จงฉิงเฟิง แต่เป็นจงอิ้งซีที่เพิ่งเผยรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง กลับไม่ทันจะยิ้มอย่างเบิกบานเสียด้วยซ้ำ หญิงสาวผู้นี้ไม่ได้มีท่าทีอ่อนลงแล้วหรอกรึ? ไฉนจึงปฏิเสธอย่างไม่อ้อมค้อมขนาดนั้น
“ง่ายมาก!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวทั้งรอยยิ้มที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย “ปีนั้นท่านแม่ถูกอ๋องเหยี่ยนหลอกใช้อย่างโง่เขลา เสียใจไปชั่วชีวิต ข้าไม่อาจทำผิดซ้ำรอย ถูกตระกูลจงหลอกใช้อย่างโง่งมได้หรอก หากเป็นเช่นนั้น มารดาของข้าย่อมกระโดดออกมาจากหลุมศพ บีบคอข้าให้ตายเป็นแน่ ข้าไม่อยากให้นางกระทั่งตายไปแล้วก็ยังตายตาไม่หลับ!”
อันใดที่เรียกว่าถูกตระกูลจงหลอกใช้? หากไม่ใช่เพราะร้อนตัว จงอิ้งซีคงจะตะโกนออกมาแล้ว แต่นางในยามนี้ก็ทำได้เพียงมองจงฉิงเฟิง ให้เขาออกหน้าแก้ไขปัญหา
“แค่กๆ…” จงฉิงเฟิงไม่ได้จงใจอยากจะไอ แต่เขาคาดไม่ถึงว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะพูดตรงๆ ขนาดนี้ ไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย ทั้งไม่สงวนท่าทีสักนิด ดังนั้นจึงตกใจไป
“เรื่องนี้ยังไม่ถึงขั้นหลอกใช้อะไรหรอกกระมัง!” หยางรุ่ยเฟิงกล่าวด้วยยิ้มสดใส “พวกเรามาลี่โจวครั้งนี้เพียงอยากจะพบสะใภ้ใหญ่ ทำความรู้จักซึ่งกันและกันเท่านั้น สะใภ้ใหญ่ตัดรอนกันก่อน ทั้งยังคาดเดาเช่นนี้ จะเป็นการ…” ภายใต้การจับตามองของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ยิ้มเหมือนไม่ยิ้มนั้น ท้ายที่สุดหยางรุ่ยเฟิงก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นตัวตลกคนหนึ่ง กำลังเล่นละครอยู่เบื้องหน้าคนที่รู้อยู่แล้วว่าตัวเองกำลังจะแสดงอะไร รู้สึกอัดอั้นตันใจเป็นอย่างมาก
“เช่นนั้นท่านต้องการให้ข้าใช้สายตาเช่นไรมองเรื่องนี้?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ย้อนถามด้วยยิ้มเย็น “ยามที่มารดาของข้าอยู่ในช่วงที่ลำบากที่สุด คนของตระกูลจงไม่เคยปรากฏตัว ยามที่ท่านตาและท่านยายของข้าลาขาดจากโลกนี้ไปตลอดกาล ตระกูลจงไม่เคยปรากฏตัว ยามที่มารดาล่วงลับ ยามที่โลกทั้งใบของข้าพังทลาย ตระกูลจงไม่เคยปรากฏตัว ยามที่ข้าเพิ่งเข้าตระกูลซั่งกวน ไม่มีญาติคนใดที่สามารถพึ่งพาได้ ตระกูลจงก็ไม่เคยปรากฏตัว และตอนนี้ ข้าได้ใช้ชีวิตอย่างมั่นคงสงบสุขแล้ว ตระกูลจงโผล่หน้าออกมา ท่านว่าข้าควรจะคิดอย่างไร?”
“เวลานั้นก็เพราะไม่รู้ฐานะของเจ้า!” หยางรุ่ยเฟิงกล่าวแก้ตัวทั้งรอยยิ้ม เขารู้ว่าพวกตัวเองปรากฏตัวในโอกาสที่ไม่ดีนัก แต่ก่อนหน้านี้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้ยืนหยัดอย่างมั่นคงในตระกูลซั่งกวน ไม่รู้ว่าจะอาจจะถูกคนมาแทนที่เมื่อใด เดิมทีพวกเขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องผูกสัมพันธ์ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน นางไม่เพียงเป็นสะใภ้ใหญ่ของตระกูลซั่งกวน นายหญิงของตระกูลซั่งกวนในอนาคต แต่ยังเป็นมารดาของผู้นำตระกูลซั่งกวนรุ่นต่อต่อไป นับว่าคุ้มค่า หากไม่หยั่งเชิงเสียหน่อย พวกเขาย่อมเสียใจไปตลอดชีวิต
“ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ตอนนี้ก็ควรต้องแสร้งไม่รู้อะไร ไม่ใช่วิ่งโร่มาไกลพยายามจะตีสนิทเช่นนี้!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มเย็น พูดจนถึงขั้นนี้แล้ว พวกเขายังทนได้อย่างนั้นรึ?
หน้าของทั้งสามคนแทบจะแขวนไว้ที่เดิมไม่ได้ พวกเขายามนี้จึงค่อยพบว่า คำพูดก่อนหน้านี้ของเยี่ยนมี่เอ๋อร์เพียงแค่ทำให้พวกเขาอับอายเท่านั้น แต่ยามนี้กลับเริ่มรู้สึกว่าแค่อับอายคงไม่พอ ต้องเหยียบซ้ำๆ ที่หน้าหลังจากทำพวกเขาอับอายขายหน้าอีก
“ยามที่ท่านพี่พูดจา ครุ่นคิดเสียหน่อยดีหรือไม่?” จงอิ้งซีขาดเพียงไม่ได้กล่าวว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไร้มารยาท ปากไม่มีหูรูด น้ำเสียงของนางเย็นเยียบขึ้นมา “บางทีท่านพี่อาจจะคิดว่ายามนี้ตัวเองเป็นสะใภ้ใหญ่ของตระกูลซั่งกวนแล้ว ไม่มีที่ใดต้องขอความช่วยเหลือจากตระกูลจง?”
“เดิมทีข้าก็ไม่ต้องการความช่วยเหลือของตระกูลจง หากข้าต้องการตระกูลจงจริงๆ พวกเจ้ายังจะปรากฏตัวรึ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ย้อนถามอย่างเยือกเย็น ก่อนหน้านี้ได้พูดอย่างชัดเจนแล้ว ยามที่ตัวเองต้องการแรงสนับสนุนที่แข็งแกร่ง ตระกูลจงก็ทำเพียงเป็นผู้ชมไม่ใช่รึ? ยามนี้มาพูดว่าต้องการหรือไม่ต้องการ ช่างเป็นเรื่องน่าขันเสียจริง!
“เจ้า…” จงอิ้งซีถูกคำพูดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ตอกกลับอย่างไม่ไว้หน้า อยากจะปะทุอารมณ์คุณหนูออกมา กลับต้องสะกดไว้ นางยังไม่ลืม ยามนี้ผู้ที่มาขอความช่วยเหลือคือพวกเขา ไม่ใช่เยี่ยนมี่เอ๋อร์
ช่วงครึ่งปีมานี้ ร่างกายของฮ่องเต้ทรุดโทรมลงเรื่อยๆ แม้จะปิดตาคนทั้งหมดได้ แต่จะสามารถปิดบังสนมจงกุ้ยเฟยได้อย่างไร?พวกเขาล้วนมั่นใจว่า บางทีครึ่งปีหรือหนึ่งปี ไม่ก็ในเวลาสองสามปี คงจะถึงขีดจำกัดของฮ่องเต้แล้ว ตำแหน่งรัชทายาทในยามนี้นับวันก็มั่นคงขึ้นเรื่อยๆ ขอเพียงรัชทายาทรับตำแหน่งต่อ ตระกูลจงก็ดี อ๋องรุ่ยก็ดี ย่อมไม่อาจมีหน้ามีตาดั่งตอนนี้แน่ เว้นเสียแต่ว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้
มหาเสนาบดีจงนับได้ว่ามีอำนาจมากมายในช่วงหนึ่ง แต่ก็เพียงนับได้ว่าเท่านั้น ผู้ที่ไปมาหาสู่กับตระกูลจง ส่วนมากล้วนเป็นขุนนางฝ่ายปกครอง พวกเขาควบคุมความเห็นของประชาชนในมือ สามารถประโคมข่าวความองอาจมีเมตตาของอ๋องรุ่ยไปทุกที่ได้ แต่ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นความเพ้อฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง กองทัพทหารถูกควบคุมในมือฮ่องเต้ และผู้ที่ฮ่องเต้ยินดีจะให้สืบทอดก็มีเพียงรัชทายาทคนเดียวอยู่เรื่อยมา ดังนั้นแม่ทัพทางทหารแปดส่วนย่อมต้องเลือกรัชทายาท แต่ไหนแต่ไรก็ปฏิบัติกับอ๋องรุ่ยและสนมจงกุ้ยเฟยอย่างพอเป็นพิธีเท่านั้น โอกาสชนะของพวกเขานับว่ามีไม่มากจริงๆ
หากว่า ตระกูลซั่งกวนสามารถสนับสนุนอ๋องรุ่ยได้ สถานการณ์ย่อมแตกต่างโดยสิ้นเชิง
ตระกูลซั่งกวนพูดได้ว่าเป็นตระกูลที่เกี่ยวโยงกับแปดตระกูลใหญ่มากที่สุด ภรรยาของซั่งกวนฮ่าวเป็นลูกภรรยาเอกของตระกูลหวงฝู่ ลูกสาวคนโตของซั่งกวนฮ่าวเป็นลูกสะใภ้ของตระกูลชุย ลูกอนุของซั่งกวนฮ่าวได้สะใภ้เป็นคุณหนูซึ่งเป็นที่รักและเอ็นดูที่สุดของตระกูลมู่หรง อีกคนก็ลูกภรรยาเอกของตระกูลทั่วป๋า แค่ความสัมพันธ์พวกนี้ หากตระกูลซั่งกวนกระโดดออกมาสนับสนุนอ๋องรุ่ย ตระกูลหวงฝู่ ตระกูลมู่หรง ตระกูลชุยและตระกูลทั่วป๋า อย่างน้อยที่สุดย่อมไม่อาจตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับตระกูลซั่งกวน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงซั่งกวนฮ่าวที่เดิมทีก็เป็นคนเก่งกาจ นอกจากมีความสัมพันธ์ธรรมดากับทั่วป๋าเชียนเย่า ผู้นำตระกูลทั่วป๋า ก็ยังมีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกับผู้นำตระกูลสามคนอื่นๆ อย่างน้อยพวกเขาย่อมทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับเรื่องบางอย่างเพื่อไว้หน้าแน่นอน
มีเส้นสายที่ดีถึงขนาดนี้จะไม่ใช้ อ๋องรุ่ยและตระกูลจงย่อมต้องเสียใจภายหลัง พวกเขาก็คิดมาก่อนว่าสายสัมพันธ์นี้ยากที่จะใช้ประโยชน์ ซั่งกวนเจวี๋ยอย่าเพิ่งพูดถึง ซั่งกวนฮ่าวกลับเป็นบุคคลที่เก่งกาจอย่างถึงที่สุดคนหนึ่ง แต่สิ่งที่พวกเขาคาดไม่ถึงคือ แม้แต่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ด่านนี้พวกเขาก็ผ่านไปไม่ได้เช่นกัน
“สามปีก่อน สะใภ้ใหญ่เคยถูกลอบสังหารมาครั้งหนึ่ง ตอนที่อยู่ช่วงงานประลองยุทธ์ในปีนั้น ไม่รู้ว่าสะใภ้ใหญ่ยังจำเรื่องนั้นได้หรือไม่!” จงฉิงเฟิงเหลือเพียงไม้ตายสุดท้าย
“ย่อมต้องจำได้!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผงกศีรษะ
“สะใภ้ใหญ่รู้หรือไม่ว่าใครเป็นคนส่งคนพวกนั้นมา?” จงฉิงเฟิงได้ยินมาว่า ยามที่นางเข้าใกล้ความตายได้ถูกอินหงหลัน หมอเทวดาช่วยกลับมา หากนางรู้มือมืดที่อยู่เบื้องหลัง คงไม่ยอมวางมือยุติเรื่องราวเป็นแน่
“ไม่อยากรู้!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์สั่นศีรษะ ในความเป็นจริงนางรู้ที่มาของคนพวกนั้นแล้ว ย่อมไม่สนใจคำถามของจงฉิงเฟิงแม้แต่น้อย
จงฉิงเฟิงที่เดิมทียังคิดจะหลอกล่อ กลับชะงักกับคำตอบของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ เขาคาดไม่ถึงว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะมีท่าทีเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่านางแสดงภาพลักษณ์ใจกว้างถึงเพียงนั้นหรอกรึ!
“คนพวกนั้นเป็นรัชทายาทที่ส่งมา!” ไม่ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะแสดงท่าทีไม่สนใจเช่นไร จงฉิงเฟิงก็จำเป็นต้องพูดเรื่องนี้ออกมา กล่าวอย่างเรียบนิ่ง “หลังจากรัชทายาทรู้ว่าเจ้าเป็นลูกสาวของท่านน้าก็วางแผนเรื่องนั้นขึ้นมา ผ่านพ้นจากเรื่องเช่นนี้แล้วคงจะปรากฏตัวอีก อย่างไรเจ้าระวังตัวให้มากจะดีกว่า!”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มอย่างเยือกเย็น นี่พวกเขาคิดจะเอาตัวเองเป็นเครื่องมือในการโจมตีคนอื่นอยู่รึ?
หลังจากเปิดเผยฐานะที่ชัดเจนกับซั่งกวนเจวี๋ย ซั่งกวนเจวี๋ยเคยถามนางว่าเวลานั้นเหตุใดต้องทำตามคำสั่งของคนผู้นั้น และนางก็เล่าถึงความคิดของตัวเองในยามนั้นให้ซั่งกวนเจวี๋ยฟัง ซั่งกวนเจวี๋ยเคยวิเคราะห์ผู้บงการเรื่องนั้นเช่นกัน ยามที่นางอยู่โยวโจวเคยพูดถึงเรื่องนี้กับมู่หรงปั๋วเย่ นางไม่อยากให้ตัวเองเอาแต่ถูกเป็นห่วง และมู่หรงปั๋วเย่ย่อมยินดีที่จะคลี่คลายสถานการณ์ภายใน ก่อนหน้านี้ไม่นานก็มอบคำตอบเรื่องนั้นให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์
เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายของทุกคน คนพวกนั้นไม่ใช่เขี้ยวเล็บของอ๋องรุ่ยที่อยู่ตรงหน้า ไม่ใช่คนสนิทของรัชทายาท ยิ่งไม่ใช่อ๋องเหยี่ยนหรือเซียวเหยาโหวในเวลานี้เป็นคนส่งมา (เดิมทีเขาก็เป็นคนที่เป็นไปไม่ได้มากที่สุด) แต่กลับเป็นองครักษ์ลับของฮ่องเต้ หลังจากฮ่องเต้ทราบเรื่องฐานะของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ก็ออกคำสั่งสังหารอย่างไม่ลังเลทันที เขาอยากจะใช้โอกาสในยามที่คนของตระกูลซั่งกวนยังไม่เห็นความสำคัญของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ กำจัดภัยเงียบทั้งหมดตั้งแต่ต้นลม หากเยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้รับการยอมรับจากตระกูลซั่งกวน ทั้งมีทายาทสืบทอดให้กับตระกูลซั่งกวน เป็นไปได้ว่าจะถูกอ๋องรุ่ยหรือเซียวเหยาโหวใช้ประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด ล้วนส่งผลเสียต่อชาติบ้านเมืองของเขา ดังนั้น เขาจึงส่งคนมา
สิ่งที่คาดไม่ถึงคือ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ดวงแข็ง ไม่ได้ตาย! แต่ว่า โจมตีครั้งเดียวไม่สำเร็จ ก็ยอมถอยไปเป็นแผนการเดิมของเขาอยู่แล้ว เขาไม่อยากให้เรื่องนี้ลุกลามใหญ่โต จนถึงขั้นที่ไม่อาจจัดการได้…หากพวกผู้นำตระกูลใหญ่รู้ว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของเขา พวกเขาไม่อาจจะไตร่ตรองว่าเหตุใดเขาถึงทำอย่างนั้น แต่จะคิดว่าฮ่องเต้คิดจะชี้ไม้ชี้มือควบคุมเรื่องของตระกูลใหญ่ อยากใช้อำนาจทหารแทรกแซงเรื่องในตระกูลใหญ่ คิดหยั่งเชิงขีดจำกัดของตระกูลใหญ่…ดังนั้น หลังจากเยี่ยนมี่เอ๋อร์มีชีวิตรอด เขาจึงทำได้เพียงฆ่าปิดปากคนที่รู้เรื่องนี้ จากนั้นก็ไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรอีกแล้ว
แต่ว่า เรื่องนี้ยังคงมีผู้รู้เหตุการณ์ นั่นก็คือรัชทายาท! ผู้ที่มู่หรงปั๋วเย่เป็นคนถามก็คือเขา (เขาเป็นคนที่อยู่ในหมู่คนที่ซั่งกวนเจวี๋ยสงสัย) มู่หรงปั๋วเย่ไปถามเขาถึงตรงๆ ขนาดนั้น เขาย่อมพูดต้นสายปลายเหตุภายในอย่างกระจ่าง ดึงตัวเองออกมา ดังนั้น เยี่ยนมี่เอ๋อร์จึงรู้เรื่องนี้ตั้งนานแล้ว
เพียงแต่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยังคงเข้าใจผิดไปเล็กน้อย นั่นก็คือจงฉิงเฟิงไม่ได้มีใจคิดโกหกนาง แต่พวกเขาหาผู้บงการเบื้องหลังไม่ได้ว่าคือใคร แต่รู้ว่าไม่ใช่ตัวเอง ทั้งรู้ว่าไม่ใช่เซียวเหยาโหว เช่นนั้นคนเดียวที่เป็นไปได้ก็มีเพียงรัชทายาท ดังนั้นจึงโยนความผิดไปให้รัชทายาทอย่างไม่ลังเล
“ข้าค่อนข้างสนใจอีกเรื่องหนึ่งมากกว่า!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองจงฉิงเฟิงอย่างเรียบเย็น “สามปีก่อนรัชทายาทรู้ถึงเรื่องราวของข้าแล้ว เหตุใดตระกูลจงกลับไม่รู้อะไรเลยล่ะ?”
“เรื่องนี้…” ในที่สุดจงฉิงเฟิงก็พูดไม่ออก ความจริงแล้วยามที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์เพิ่งแต่งเข้าตระกูลซั่งกวน พวกเขาก็ทราบถึงฐานะของนางแล้ว…สะใภ้ใหญ่ของตระกูลใหญ่เป็นใครล้วนอยู่ในความสนใจของผู้มีอำนาจแต่ละฝ่ายอยู่แล้ว แต่เวลานั้นใครล้วนไม่เห็นนางในสายตา ล้วนคิดว่าภายในเวลาปีสองปี นางย่อมเลือนหายไปแน่ ตระกูลจงจึงไม่มาผูกสัมพันธ์กับนาง
“ดังนั้น พวกเจ้าถือสิทธิ์อะไรมานับญาติถึงหน้าประตูในยามนี้?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ย้อนถามอย่างเยียบเย็น “บางทีพวกเจ้าอาจจะคิดว่าหากพวกเจ้าทำท่าทีราวกับเป็นผู้ให้ ข้าคงจะซาบซึ้งน้ำใจคว้าโอกาสไว้? ขอพวกเจ้ามองให้ชัดเจน ข้าคือภรรยาเอกของตระกูลซั่งกวน เป็นสะใภ้ใหญ่ของตระกูลซั่งกวน ยามที่ข้างกายข้าไม่มีแรงสนับสนุนจากตระกูลมารดา ข้าไม่ได้ถูกโจมตีจนล้มลง ยามนี้ข้ายืนหยัดอย่างมั่นคงแล้ว ยิ่งไม่ต้องการญาติมิตรที่จู่ๆ ก็โผล่หน้าออกมาเพิ่มลายดอกไม้บนผ้าดิ้น[1]…พูดว่าเพิ่มลายดอกไม้บนผ้าดิ้นคงจะยกยอพวกเจ้าเกินไป ทำได้เพียงกล่าวว่าประจบประแจงผู้มีอำนาจเท่านั้น!”
“เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถพึ่งตัวเองได้ตลอดชีวิตอย่างนั้นรึ?” จงอิ้งซีอยากแผดเสียง อยากกระโดดเร่า แต่นางยังคงควบคุมความคิดชั่ววูบนั้นได้ กล่าวถาม “เจ้ามั่นใจถึงเพียงนั้น?”
“ข้าไม่ได้มั่นใจว่าสามารถพึ่งตัวเองได้ตลอดชีวิต แต่ชั่วชีวิตนี้ของข้า มีสามีและลูกชายที่สามารถพึ่งพิงได้ ข้าไม่อาจถูกคนแปลกหน้าใช้ประโยชน์ เพียงเพราะกล่าวคำพูดหลอกล่อไม่กี่ประโยคได้!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองพวกเขาอย่างเยือกเย็น “ดังนั้น หากทุกคนยังมีคำพูดจากใจอยากจะพูดก็อย่าได้พูดอีกเลย จดหมายนี้ก็ขอเอากลับไปให้มหาเสนาบดีจง กล่าวว่าจงเสวี่ยฉิงได้ถูกคนหลอกใช้ไปแล้ว เจ็บปวดรวดร้าวไปชั่วชีวิต ลูกสาวของนางย่อมไม่อาจซ้ำรอยเดิมเป็นแน่!”
———————————–
[1] เพิ่มลายดอกไม้บนผ้าดิ้น อุปมาว่าทำเรื่องเกินความจำเป็น