เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 292 แสดงละครระบายความในใจได้อย่างยอดเยี่ยม
“ป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หาย?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของหยางมู่หลินอย่างเยียบเย็น กล่าวทั้งเผยยิ้มเรียบนิ่ง “หากเจ้าสามารถหาสิ่งของที่ทำให้ลุงอินหวั่นไหวได้ บางทีลุงอินอาจจะช่วยชีวิตเจ้าครั้งหนึ่ง ส่วนข้า…ไม่ใช่หมอ ไม่ได้มีวิชาแพทย์ชั้นสูง เกรงว่าจะช่วยเจ้าไม่ได้!”
เห็นได้ชัดว่าหยางมู่หลินคาดไม่ถึงว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะเลี่ยงประเด็นหลักเลือกหัวข้อนี้มาพูด แต่ใบหน้าที่แฝงความรู้สึกของเขาก็ไม่ได้แสดงความอ้ำอึ้งอะไรออกมา แต่กลับเป็นความละอายใจและเสียใจ กล่าวอย่างเศร้าโศก “ข้ารู้ว่าหลายปีมานี้ ไม่ได้ยอมรับเจ้า ทำให้เจ้าโศกเศร้าเสียใจ ทั้งรู้ว่าหลายปีมานี้เจ้าใช้ชีวิตได้ไม่ดีเท่าใด แต่ว่า…ข้าที่เป็นพ่อทนเห็นเจ้าก้าวลงไปข้องเกี่ยวกับราชวงศ์ไม่ได้ หากฮ่องเต้รู้ว่าเสวี่ยฉิงในปีนั้นไม่ได้ตัดความสัมพันธ์เด็ดขาดกับข้า รู้ว่าเจ้าเป็นลูกสาวของข้า ก็ไม่รู้จริงๆ ว่าเขาจะทำเรื่องไร้เหตุผลอะไรออกมา…เพื่อให้แม่ของเจ้าได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ทั้งเพื่อให้เจ้าสามารถเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและมีความสุข ข้าทำได้เพียงข่มกลั้นความเจ็บปวด ทุกครั้งเอาแต่มองเจ้าอยู่ไกลๆ ฟ้าย่อมรู้ว่า ทุกครั้งข้าอยากจะกอดเจ้าในไว้อ้อมอก ให้คนทั้งใต้หล้าล้วนรู้ว่าเจ้าเป็นลูกสาวที่ล้ำค่าของข้า แต่ข้าไม่อาจทำได้ ข้าทำไม่ได้จริงๆ…”
เห็นใบหน้าที่เจ็บปวด ละอายใจ ถึงกระทั่งเริ่มปรากฏหยาดน้ำตาของหยางมู่หลิน เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็เกิดความขยะแขยงในใจอยู่พักใหญ่ ทว่าใบหน้ากลับเผยท่าทีเรียบนิ่ง ไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
“ท่านพ่อ ท่านอย่าได้ตำหนิตัวเองถึงเพียงนี้เลย น้องสาวย่อมต้องสามารถเข้าใจความลำบากของท่านได้แน่!” หยางรุ่ยหนานพยุงหยางมู่หลินที่คล้ายกับไร้เรี่ยวแรงไปหมด มองกล่าวกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ “น้องสาวคงสืบทอดความฉลาด เข้าใจในเหตุผลของน้าเสวี่ยฉิงมา ย่อมสามารถเข้าใจความทุกข์ระทมของท่าน ทั้งคงยินดีจะยอมรับท่านเช่นกัน”
ใครสนใจที่พวกเขาพูดเองเออเองกัน! เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ซาบซึ้งแม้แต่น้อย แต่เบนสายตาไปหานายท่านเยี่ยน ด้านนายท่านเยี่ยนยามที่สัมผัสถึงสายตาของมี่เอ๋อร์ ใบหน้าก็เผยท่าทีประจบประแจงทั้งแฝงความร้อนตัวเล็กน้อยทันที ถอยหลังไปหนึ่งก้าว ปิดมือไว้ที่ส่วนหนึ่งของร่างกายอย่างไม่เป็นตัวเองเท่าใด กล่าวทั้งหัวเราะ “มี่เอ๋อร์ เจ้าอย่ามองข้าเช่นนั้น…เหอะๆ…”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ชะงักในใจเล็กน้อย แต่ไหนแต่ไรนางก็ไม่เคยพบท่าทีเช่นนี้ของนายท่านเยี่ยนมาก่อน เดิมทีนางคิดว่าหยางมู่หลินจับจุดอ่อนอะไรของนายท่านเยี่ยนไว้หรือใช้วิธีบางอย่างข่มขู่เขา แต่ดูเหมือนไม่ใช่แบบนั้น เช่นนั้นเป็นเหตุใดที่ทำให้นายท่านเยี่ยนเต็มใจร่วมมือกับพ่อลูกหยางมู่หลินถึงขนาดนี้?
“น้องสาวไม่เห็นหรือว่าท่านพ่อเสียใจจนกลายเป็นเช่นนี้แล้ว?” ใบหน้าของหยางรุ่ยหนานแฝงความไม่พอใจอย่างเลือนราง ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้าจะร่ำไรกับคนไม่สำคัญผู้นั้นทำไม ยังไม่เข้ามาหาท่านพ่ออีก!”
“ท่านโหวน้อยกระมัง!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กวาดสายตามองผู้อาวุโสทุกคนที่สังเกตการณ์อยู่เงียบๆ ไปหนึ่งที ก่อนจะมองหยางรุ่ยหนานอย่างเรียบเย็น “ท่านโหวน้อยเป็นคนที่ไม่มีสมองถึงเพียงนั้น? มีคนที่เจ้าไม่เคยรู้จักมาก่อนกล่าวว่าเป็นพ่อของเจ้า เจ้าก็จะร้องห่มร้องไห้ถลาเข้าไปยอมรับเขาแล้วรึ? ช่างน่าขันเสียจริง!”
“เจ้าคิดว่าท่านพ่อมีความจำเป็นต้องโกหกเจ้ารึ?” คิ้วของหยางรุ่ยหนานขมวดกันแน่นขึ้นเรื่อยๆ มองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ด้วยแววตาที่ไม่พอใจทั้งแฝงโทสะอยู่บ้าง “เซียวเหยาโหวผู้ยิ่งใหญ่มีความจำเป็นต้องหลอกลวงเจ้าอย่างนั้นรึ? หรือเจ้าคิดว่าการเป็นลูกสาวพ่อค้านั้นควรค่าให้คนนับถือมากกว่าบุตรสาวสูงส่งของท่านโหว?”
“เห็นได้ชัดว่าจำเป็น!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองเขาอย่างเยือกเย็น ไม่ตกใจแววตาของเขาแม้แต่น้อย กลับกล่าวอย่างเหน็บแนมเป็นอย่างยิ่ง “หากไม่มีความจำเป็นเช่นนั้น ท่านและบิดาที่สูงส่งของท่านจะมาปรากฏตัวที่นี่รึ?”
หยางรุ่ยหนานอ้ำอึ้งกับคำพูดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ บทที่เตรียมมาอย่างดีพูดไม่ออกไปชั่วขณะ แต่หยางมู่หลินกลับยิ้มขมขื่นออกมา กล่าวทั้งสั่นศีรษะ “หนานเอ๋อร์ ไฉนเจ้าจึงพูดกับน้องเจ้าเช่นนี้ล่ะ? พ่อไม่เคยทำหน้าที่ของบิดาได้สักวัน หลังจากพบหน้าแล้วจะร้องขอเกินตัวให้มี่เอ๋อร์ยอมรับได้อย่างไร?”
“แต่ว่าท่านพ่อ…” หยางรุ่ยหนานชะงักเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องให้หยางมู่หลินตักเตือนก็ดึงสติกลับมา หันไปหาหยางมู่หลิน “ลูกเพียงแต่นึกถึงโรคที่รักษาไม่หายของท่าน…”
เห็นพ่อลูกคู่นี้แสดงเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยให้คนได้ซาบซึ้งประทับใจอยู่ตรงนั้น เยี่ยนมี่เอ๋อร์อดพะอืดพะอมไม่ไหว นานแล้วที่ไม่ได้รู้สึกคลื่นไส้เช่นนี้ หากไม่ใช่ท่านบรรพชนและผู้อาวุโสอยู่ที่นี่ นางก็คงอดไม่ไหว อาเจียนออกมาแล้ว แต่สีหน้าของนางทำให้ซั่งกวนเจวี๋ยที่จับสังเกตนางอยู่ตลอดเวลาเห็นความผิดปกติ ซั่งกวนเจวี๋ยถามอย่างกังวล “มี่เอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไร?”
“คลื่นไส้อยู่บ้าง อยากอาเจียน!” สีหน้าขื่นขม ทั้งขมวดคิ้วของเยี่ยนมี่เอ๋อร์พาให้ท่านบรรพชนอยากหัวเราะ เรื่องที่กังวลที่สุดในใจของเขา สุดท้ายก็หมดห่วงแล้ว อดสั่นศีรษะไม่ได้
“ไม่ไหวแล้ว…” ในที่สุดมี่เอ๋อร์ก็ทนไม่ไหว ทั้งไม่สนใจคนในห้องโถงที่ล้วนแต่มองนางอยู่ ปิดปากก่อนจะถลาออกไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้คนทั้งห้องโถงมองหน้ากันปริบๆ ได้ยินเสียงอาเจียนดังลั่นของนางจากด้านนอก แววตาของทุกคนก็เผยรอยยิ้มขำขันออกมา พวกเขาล้วนคาดไม่ถึงว่ามี่เอ๋อร์พบฉากที่ ‘น่าซาบซึ้งประทับใจ’ ทั้ง ‘อดน้ำตาไหลไม่ได้’ จึงได้มีปฏิกิริยาเช่นนี้ พ่อลูกสองคนที่กำลังอินกับบทละครยิ่งตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
“ขออภัยด้วย มี่เอ๋อร์เสียมารยาทแล้ว!” รอจนอาเจียนของในกระเพาะออกมาแล้ว บ้วนปากอย่างง่ายๆ มี่เอ๋อร์ก็เดินเข้ามาอย่างอ่อนแรง กล่าวขอโทษทุกคนอย่างรู้สึกผิด
“เจ้าตั้งครรภ์อยู่ มีอาการเช่นนี้ก็เป็นเรื่องปกติ!” ท่านบรรพชนสรุปให้เป็นอาการ ‘แพ้ท้อง’ ของมี่เอ๋อร์อย่าง ‘เข้าอกเข้าใจ’ ทำให้สองพ่อลูกตระกูลหยางไม่ได้กระอักกระอ่วนขนาดนั้นแล้ว ด้านเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ไม่ได้พลาดแววตาของนายท่านเยี่ยนมี่วาบผ่านความขบขันขึ้นมา
“ท่าทีของมี่เอ๋อร์ไม่ค่อยดีแล้วจริงๆ ไม่อาจอยู่ดูละครเป็นเพื่อนท่านบรรพชนและผู้อาวุโสทุกคนแล้ว เรื่องนี้อย่างไรแก้ไขให้เร็วที่สุดจะดีกว่า!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่อยากเห็นสองพ่อลูกนั้นแสดงละคร ‘ลึกซึ้ง’ ออกมาอีกแล้ว สำหรับนางแล้วนั่นเป็นการทรมานอย่างหนึ่ง นางหวังให้สามารถจบเรื่องได้เร็วที่สุด “อย่างไรขอท่านบรรพชนและผู้อาวุโสทุกคนอนุญาตมี่เอ๋อร์ให้ถามคำถามท่านโหวสองพ่อลูกเสียหน่อยเถิด!”
“เรื่องนี้เดิมทีก็ควรเป็นมี่เอ๋อร์ที่จัดการด้วยตัวเอง พวกเราทำได้เพียงเป็นผู้ชมอยู่ด้านข้างและพยานเท่านั้น มี่เอ๋อร์สนใจถามอย่างเดียวก็พอแล้ว!” ท่านบรรพชนพยักหน้า ทั้งเขาเอ่ยปากออกไปแล้ว ย่อมไม่มีผู้ใดกล่าวคัดค้าน
“ขอบคุณท่านบรรพชน!” หลังจากมี่เอ๋อร์ขอบคุณท่านบรรพชนก็หันไปหาสองพ่อลูกหยางมู่หลิน เห็นหยางมู่หลินใช้ท่าที ‘รักใคร่ลึกซึ้ง’ ‘เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกบิดาที่มีเมตตา’ ทั้งใช้แววตา ‘ละอายใจและเสียใจ’ ‘อยากจะเข้าใกล้แต่ก็เกรงกลัวอยู่บ้าง’ มองตัวเอง เมื่อเจอตัวจริงของหยางมู่หลิน ในที่สุดมี่เอ๋อร์ก็เข้าใจ เหตุใดปีนั้นมารดาจึงถูกเขาหลอกอย่างน่าสงสาร ปีนั้นมารดายังเด็ก ไม่อาจตัดสินได้ถูกย่อมเป็นเรื่องหนึ่ง และทักษะการแสดงขั้นสูงของคนเบื้องหน้าผู้นี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งเช่นกัน
ก่อนจะมองสีหน้าที่เผยความสนิทสนมทั้งไม่พอใจอยู่บ้างของหยางรุ่ยหนาน ฝีมือการแสดงของพ่อลูกคู่นี้นับว่าอยู่ในระดับสุดยอดจริงๆ หากตัวเองไม่มีจดหมายสั่งเสียฉบับนั้นของท่านแม่ ไม่ได้เข้าใจความจริงของปีนั้นอย่างละเอียดหลังจากที่พวกอ๋องรุ่ยมา ก็อาจจะถูกพ่อลูกคู่นี้หลอกจริงๆ แล้ว
“ข้าอยากถามท่านโหวหน่อย ท่านกล่าวว่าท่านเป็นโรคไร้ทางรักษา โรคที่ว่าคือโรคอะไรรึ? หรือเหมือนกับฮูหยินของท่าน กล่าวว่าเป็นโรคป่วยติดเตียง แต่กลับสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างราบรื่นถึงยี่สิบกว่าปี?” มี่เอ๋อร์ไม่ได้ลืมที่เฉาซื่ออี๋เคยบอกไว้ ปีนั้นชายาของอ๋องเหยี่ยนก็ป่วยเป็น ‘โรคที่รักษาไม่หาย’ มักจะกล่าวว่าอยู่ได้อีกไม่นาน ผลกลับปรากฏว่ายามนี้ก็ยังมีชีวิตอยู่ดี
หยางมู่หลินนิ่งอึ้งกับคำถามของนาง แต่เขาก็เผยยิ้มขมขื่น “ข้ารู้ว่าในใจมี่เอ๋อร์ย่อมโกรธเคืองเป็นอย่างมาก แต่เจ้าไม่ควรถามคำถามเช่นนี้ ทำร้ายจิตใจของพ่อเป็นเรื่องเล็ก แต่หากให้คนอื่นพูดว่าเจ้าอกตัญญูก็ย่อมไม่ดีแล้ว!”
“ความสามารถในการเลี่ยงประเด็นสำคัญของท่านโหวช่างเก่งกล้าจริงๆ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองหยางมู่หลินอย่างเรียบเย็น พูดมาเช่นนี้ โรครักษาไม่หายของเขาก็คงเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น ดูท่าเขาจะเหนือชั้นกว่าพวกของจงฉิงเฟิง เหตุใดพวกเขาจึงไม่ได้นึกถึงข้ออ้างให้ใครป่วยหนักจนเกินเยียวยา หวังจะได้พบหน้าตัวเองเป็นครั้งสุดท้ายมาหลอกตัวเองกันนะ?
“ท่าน ‘มั่นใจ’ เมื่อใดว่า ‘ข้า’ ‘อาจจะ’ เป็นลูกสาวของท่าน?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวถามอย่างเยือกเย็น “ตอนนี้หรือว่าเมื่อก่อน?”
“ที่จริงยามที่แม่ของเจ้าเพิ่งจะตั้งท้องเจ้า ข้าก็รู้แล้ว!” หยางมู่หลินมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างเจ็บปวด น้ำตาคลอเบ้า “ปีนั้นข้าหลบหลีกหูตาของฮ่องเต้ที่ส่งมาสอดส่องข้าอย่างยากลำบาก ลอบพบกับมารดาของเจ้าเป็นการส่วนตัว พวกเราไม่ได้พบหน้ากันมาหลายปี เมื่อพบกันก็อดใจ…ภายหลัง แม่เจ้าก็มีเจ้า แต่ยามนั้นข้างกายข้าเต็มไปด้วยคนของฮ่องเต้ เพื่อความปลอดภัยของเจ้าและแม่ของเจ้า ข้าจึงจำเป็นต้องล้มเลิกความคิดที่จะรับพวกเจ้าแม่ลูกมา ทำได้เพียงเฝ้ามองพวกเจ้าอยู่ห่างๆ ข้าเคยสัญญากับแม่ของเจ้าไว้ว่า ชั่วชีวิตนี้จะไม่มาผูกสัมพันธ์กับเจ้า ไม่ให้เจ้าแบกรับชื่อเสียงลูกสาวนอกสมรส ยิ่งไม่อาจให้เจ้าล่วงสู่สายตาของฮ่องเต้ พวกเรากังวลว่าเขาจะจัดการกับเจ้าอย่างไม่เลือกวิธี…”
“ท่านพ่อ ท่านไม่ต้องพูดแล้ว!” หยางรุ่ยหนานประคองหยางมู่หลินที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นจนพูดต่อไปไม่ได้ ใช้สายตาตำหนิถลึงมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ “ก่อนหน้านี้ท่านพ่อไม่กล้ามาหาเจ้าโดยตลอด เพื่อให้เจ้าเติบโตได้อย่างสงบสุข แต่ท่านพ่อเอาแต่คะนึงหาเจ้าและแม่ของเจ้าอยู่ตลอดเวลา วันเกิดของพวกเจ้าแม่ลูกทุกปี ท่านพ่อมักจะเพ้อรำพันกับดวงจันทร์…แม้ว่าเขาจะคิดถึงพวกเจ้าจนแทบบ้า แต่ก็ไม่ยอมให้เรื่องของพวกเจ้าถูกเปิดเผยจนต้องเป็นอันตราย ไฉนเจ้าจึงยังไม่เข้าใจความทุกข์ทนของท่านพ่ออีก?”
“ข้าเป็นคนใจแข็งไร้ความรู้สึก ย่อมไม่อาจเข้าใจได้!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้ถูกพวกเขาที่คนหนึ่งเล่นบทพระเอก อีกคนเล่นบทตัวร้ายทำให้ซาบซึ้งใจได้ กลับกล่าวอย่างเรียบเย็น “ในเมื่อทำเพื่อปรารถนาดีต่อข้า ในเมื่อสัญญาว่าชั่วชีวิตจะไม่มาหาข้า แล้วเหตุใดจู่ๆ จึงออกมารบกวนการใช้ชีวิตของข้าล่ะ? พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าในยามนี้ข้าใช้ชีวิตได้อย่างดีมาก มีความสุขมาก ทั้งราบรื่นอย่างมาก? เหตุใดต้องปรากฏตัว เพื่อจะทำลายชีวิตที่สงบสุขของข้าหรืออย่างไร?”
“เจ้ามันคนอกตัญญู…” หยางรุ่ยหนานโมโหจนคิ้วตั้งตรงขึ้นมา หยางมู่หลินขัดขวางเขาไว้ทันที ส่ายหัวทั้งยิ้มขมขื่น “หนานเอ๋อร์ ไม่อนุญาตให้เสียงดังกับน้อง เป็นข้าที่ทำผิดต่อนาง นางไม่อาจรับได้ ไม่อาจอภัยให้ข้าในทันทีก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ หากเจ้ายังทำเช่นนั้นกับน้องก็กลับไปให้ข้าเสีย!”
“ท่านพ่อ…” หยางรุ่ยหนานหยุดปากลงอย่างโกรธเคือง กลับถูกท่าทีที่เยือกเย็นขึ้นมาของหยางมู่หลินหยุดความไม่ธรรมที่อยู่ในใจ (ถ้าหากเขามี) จึงปิดปากลงไป
“มี่เอ๋อร์ ที่จริงยามที่ข้ารู้ว่าตัวเองเป็นโรคที่รักษาไม่หาย มีชีวิตได้อีกไม่นาน ก็คิดที่จะรับเจ้ากลับมาอยู่ข้างกายแล้ว แต่ข้าไม่ได้ทำเหิมเกริมเช่นนั้น เพราะข้ารู้ว่าเจ้าได้หมั้นหมายกับซั่งกวนเจวี๋ย ข้าไม่อยากให้ฐานะของเจ้ารบกวนกับตำแหน่งของเจ้าในตระกูลซั่งกวน ทั้งไม่อยากพาภัยร้ายที่ไม่คาดคิดมาให้เพราะฐานะของเจ้า” หยางมู่หลินไม่ใช่พวกจงฉิงเฟิง วางแผนมาหลายปีขนาดนี้ ย่อมไม่ง่ายที่จะปรากฏช่องโหว่ ทอดถอนหายใจ “แต่สิ่งที่พ่อคาดไม่ถึงคือแม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ พวกเขาก็ไม่อาจปล่อยเจ้าไป ฮ่องเต้สั่งการรัชทายาทให้ส่งมือสังหารมาฆ่าเจ้า สนมจงกุ้ยเฟยบงการตระกูลจงให้ดึงเจ้าเป็นพวก…เรื่องล้วนมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าก็ไม่อยากให้เจ้าถูกปิดบังไปชั่วชีวิต ดังนั้นจึงตัดสินใจมา พ่อไม่ร้องขอเกินตัวให้เจ้ายอมรับในทันที เพียงหวังให้เจ้าสามารถเข้าใจความจริง สามารถเรียกว่าพ่อสักคำในยามที่พ่อยังมีชีวิตอยู่…”
“คำพูดไม่อาจเชื่อถือได้ ข้าต้องการหลักฐาน!” แต่ไหนแต่ไรเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ไม่อาจถูกคนสั่นคลอนอย่างง่ายดาย ยามที่นางพูดประโยคนี้ก็อดเหลือบมองนายท่านเยี่ยนมี่ทำคล้ายเรื่องไม่เกี่ยวกับตนไปอีกทีไม่ได้ และนายท่านเยี่ยนก็ถอยหลังไปหนึ่งก้าว ปิดมือไว้ที่บางส่วนของร่างกายอีกครั้ง หัวเราะฮ่าๆ ออกมา…
———————————–