เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 294 ‘ลูกอกตัญญู’
“มี่เอ๋อร์…” ใบหน้าของหยางมู่หลินเต็มไปด้วยความตื้นตันใจ ผละตัวออกจากการประคองของหยางรุ่ยหนาน ถลาไปทางเยี่ยนมี่เอ๋อร์ คิดอยากแสดงฉากโอบกอดร่ำไห้ของสองพ่อลูก แต่เยี่ยนมี่เอ๋อร์กลับมองเขาอย่างเรียบเย็น มองซั่งกวนเจวี๋ยที่พุ่งตัวเข้ามาขัดขวางเขาอย่างไม่ลังเลสักนิด เจวี๋ยจะยอมให้คนที่ขยะแขยงเช่นนี้มาโดนตัวเองได้อย่างไร!
“ท่านบรรพชน มี่เอ๋อร์อยากถามท่านบรรพชนหนึ่งคำถาม!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คุกเข่าลงเบื้องหน้าท่านบรรพชนอย่างนอบน้อม ใบหน้าไร้ซึ่งความเยือกเย็น กลับเปลี่ยนเป็นสีหน้าจริงจังแทน
“เจ้าพูดมาเถิด!” ท่านบรรพชนกล่าวอย่างหมดอารมณ์อยู่บ้าง ก่อนหน้านี้เยี่ยนมี่เอ๋อร์วางตัวได้อย่างน่าชม ทำให้เขาพอใจเป็นอย่างมาก แต่ยามนี้…เห็นได้ชัดว่ามีวิธีหลบเลี่ยง เหตุใดนางกลับยอมรับอย่างง่ายดายเช่นนี้เล่า?
“หลักฐานที่เพียงพอให้เชื่อถือของท่านโหวหยาง มี่เอ๋อร์ไม่อาจปฏิเสธได้ แต่หากจะกตัญญูกับ ‘พ่อ’ ที่มี่เอ๋อร์ไม่เคยผูกพันมาก่อน ทั้งจู่ๆ ก็โผล่ออกมาเช่นนี้ มี่เอ๋อร์สะอิดสะเอียนและคลื่นไส้จริงๆ มี่เอ๋อร์ยอมแบกชื่อเสียงเป็นลูกอกตัญญู ดีกว่าต้องมาเกี่ยวพันใดๆ กับคนที่ถูกแม่นมฉินกล่าวว่าเป็นคนเลวในคราบผู้ดี ใบหน้าเป็นมนุษย์จิตใจเดรัจฉานเช่นนี้” เยี่ยนมี่เอ๋อร์จริงจังเป็นอย่างมากและคำถามของนางกลับทำให้ท่านบรรพชนตาใสกระจ่างขึ้นมา “มี่เอ๋อร์อยากถามท่านบรรพชนว่า หากมี่เอ๋อร์ไม่กตัญญูต่อ ‘บิดา’ ผู้นี้ ตระกูลซั่งกวนจะยังยอมรับมี่เอ๋อร์หรือไม่?”
“มี่เอ๋อร์ นี่มันคำพูดอะไรกัน!” ท่านบรรพชนเป็นใคร เข้าใจสิ่งที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์อยากจะพูดทันที เผยยิ้มเล็กน้อย “เจ้าเป็นภรรยาเอกของซั่งกวนเจวี๋ย เป็นสะใภ้ของตระกูลซั่งกวน หลังจากเจ้าแต่งให้เจวี๋ยเอ๋อร์แล้ว ก็เป็นได้เพียงคนของตระกูลซั่งกวน กตัญญูต่อตระกูลเก่าเดิมทีก็เป็นเรื่องที่สมควร แต่ยามที่ไม่อาจดูแลตระกูลสามีและตระกูลเก่าพร้อมๆ กันได้ ย่อมต้องเลือกดูแลตระกูลสามีอยู่แล้ว!”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยรอยยิ้มออกมา “เช่นนั้นมี่เอ๋อร์ก็วางใจแล้ว!”
“มี่เอ๋อร์ นี่มันคำพูดอะไรกัน!” หยางมู่หลินคาดไม่ถึงเป็นอย่างมาก ล้วนดำเนินอย่างราบรื่นมาจนถึงขั้นนี้แล้ว เยี่ยนมี่เอ๋อร์ใจอ่อนยอมรับเขาแล้ว แต่จู่ๆ กลับ ‘ยอมเป็นคนอกตัญญู’ หากเป็นเช่นนั้น เขายังมีความจำเป็นต้องยอมรับ ‘ลูกสาว’ ผู้นี้อีกอย่างนั้นหรือ?
“คำพูดของคน!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์โขกศีรษะให้ท่านบรรพชนหนึ่งครั้ง ก่อนจะหยัดกายขึ้นอย่างเยือกเย็น “ไม่อย่างนั้นท่านโหวหยางจะฟังออกได้อย่างไร?”
“ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้ากำลังพูดอะไร!” หยางมู่หลินกล่าวอย่างเสียใจ อันใดที่เรียกว่ายอมแบกรับชื่อเสียงเป็นลูกอกตัญญู ดีกว่าต้องมาเกี่ยวพันกับ…เจ้าทำเช่นนี้ไม่กังวลว่าจะทำให้พ่อเสียใจหรอกหรือ? แค่กๆ…”
“หากทำเช่นนี้สามารถทำให้ท่านเสียใจได้ข้ายิ่งจะดีใจ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองหยางมู่หลินอย่างเยียบเย็น “ไม่ว่าหลักฐานของท่านจะเพียงพอหรือไม่ มีความจนใจยากจะกล่าวอย่างไร แต่ข้าเชื่อเพียงเรื่องเดียว นั่นก็คือเพื่อจะใช้ประโยชน์ข้า ใช้ประโยชน์ตระกูลซั่งกวน ท่านจึงได้โผล่หน้าออกมา ข้าไม่อาจยอมให้ท่านหลอกใช้ ไม่ว่าท่านจะมีฐานะอะไรก็ล้วนเหมือนกัน”
“มี่เอ๋อร์ เจ้าคิดเช่นนี้ได้อย่างไร?” หยางมู่หลินมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างเจ็บปวดรวดร้าว ทำท่าราวกับว่าหากเยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดมากกว่านี้ เขาอาจจะอกแตกตายเพราะโทสะแล้วจริงๆ
หยางรุ่ยหนานที่เห็นท่าไม่ค่อยดีรีบเข้ามาพยุงหยางมู่หลินทันที กล่าวตำหนิด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “มี่เอ๋อร์ เจ้าพูดเช่นนี้กับท่านพ่อได้อย่างไร เจ้าอยากจะให้ท่านพ่ออกแตกตายหรือ! ยังไม่ยอมรับผิด ขอโทษต่อท่านพ่ออีก!”
“หากสามารถทำให้เขาอกแตกตายได้กลับเป็นเรื่องดี!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองหยางรุ่ยหนานอย่างเยียบเย็น กล่าวอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย “กระทั่ง ‘บิดา’ ที่เพิ่งจะยอมรับผู้นี้ ข้ายังสามารถ ‘อกตัญญูไม่รู้คุณได้’ ย่อมยิ่งไม่อาจเกรงใจอะไรเจ้าได้ ทางที่ดีเจ้าปิดปากเจ้าไว้ให้ดีเถิด อย่าได้พูดอะไรทำให้ข้าไม่พอใจ!”
“เจ้า…” หยางรุ่ยหนานโมโหจนพูดแทบไม่เป็นคำ กล่าวอย่างเยือกเย็น “หากทำให้เจ้าไม่พอใจ เจ้าคิดจะทำอย่างไร?”
“ท่านโหวหยางน้อย แม้จะกล่าวว่าท่านโหวหยางถูกถอดชื่อออกจากราชวงศ์แล้ว แต่ตามที่ได้ยินมามีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น ชื่อของเจ้ายังอยู่ในทำเนียบราชวงศ์!” จู่ๆ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็เผยยิ้มออกมา ราวกับร้อยบุปผาเบ่งบานพากันอวดโฉม ทำให้หยางรุ่ยหนานคล้ายถูกดึงดูดสายตา
“ไม่ผิด!” หยางรุ่ยหนานรู้ว่าเรื่องนี้ ไม่อาจเป็นความลับอะไรกับตระกูลซั่งกวนได้อยู่แล้ว จึงไม่คิดปิดบัง…หากไม่ใช่ความหวังเล็กๆ นี้ ท่านพ่อคงไม่วางแผนมาหลายสิบปี คิดจะใช้ประโยชน์จากแม่ลูกที่ยังควรค่าให้ใช้ประโยชน์คู่นี้ ทั้งหลังจากรู้ว่านางได้ยืนหยัดอย่างมั่นคงในตระกูลซั่งกวนก็คงไม่อาจดำเนินแผนทั้งหมดนี้หรอก
“ล้วนกล่าวกันว่าราชวงศ์นั้นโหดร้าย หากท่านโหวน้อยยังพูดอะไรไม่เข้าหูข้าละก็ ข้าอาจจะให้ลองสัมผัสดูว่าอันใดที่เรียกว่าราชวงศ์ไม่มีคำว่าพ่อลูก ทั้งอะไรที่เรียกว่าราชวงศ์ไม่มีคำว่าญาติพี่น้อง” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ข่มขู่อย่างไม่ปิดบังแม้แต่น้อย พูดมาถึงขั้นนี้แล้ว แม้หยางรุ่ยหนานจะเป็นคนโง่ก็ต้องเข้าใจอยู่บ้าง
“มี่เอ๋อร์ เจ้า…” หยางมู่หลินมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างยากที่จะเชื่อ เขาตกใจเป็นอย่างมาก นางที่ยอมตายเพื่อแม่นมฉินและเซียงหลิงอย่างใจกว้างไปอยู่ที่ใดแล้ว เหตุใดชั่วพริบตาก็เปลี่ยนเป็นเลือดเย็นได้ถึงขนาดนี้?
“นายท่านเยี่ยนไม่ได้บอกนิสัยข้ากับท่านหรือ? เขาควรจะเข้าใจนิสัยข้าดีสิ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองหยางมู่หลินอย่างเรียบเย็น “นายท่านเยี่ยนเลี้ยงดูข้ามาสิบเจ็ดปี ข้าล้วนไม่เคยเชื่อฟังทำตามเขามาก่อน หากจะเคารพนอบน้อมท่านที่โผล่มากลางทางเช่นนี้ก็แปลกแล้ว นายท่านเยี่ยนว่าหรือไม่”
“เรื่องนี้หรือ…” นายท่านเยี่ยนยังคงหัวเราะฮ่าๆ ออกไป กล่าวอย่างลำบากใจอยู่บ้าง “ท่านโหวอย่าได้ตำหนิเลย ตั้งแต่เล็กมี่เอ๋อร์ก็ไม่สนิทสนมกับข้า ย่อมไม่มีความเคารพกับข้าเท่าใด จุดนี้ แม่นางเซียงหลิงกระจ่างใจดี คาดว่านางคงจะบอกท่านไปแล้ว ดังนั้นข้าจึงไม่ได้กล่าวเพิ่มเติมอะไร…”
หยางมู่หลินอยากจะบีบคอเจ้าอ้วนตรงหน้านี้ให้ตาย แต่เขาไม่อาจทำเช่นนั้น ทำได้เพียงยิ้มขมขื่นเล็กน้อย “มี่เอ๋อร์ ข้าเป็นพ่อโดยกำเนิดของเจ้า เจ้าจะใช้เขามาเปรียบเทียบได้อย่างไร?”
“ข้ากลับคิดว่าเขาคือพ่อโดยกำเนิดของข้าอยู่เรื่อยมา” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ขัดคำพูดของหยางมู่หลินไปตรงๆ กล่าวอย่างเย็นชา “แม้ว่าเขาจะไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของข้า แต่เป็นท่าน แล้วอย่างไร? อย่างน้อยเขาก็อบรมเลี้ยงดูข้า แต่ท่านเล่า? นอกจากปรากฏตัวในยามที่ไม่ควรปรากฏ ยามที่ควรจะหายไปกลับปรากฏตัวแล้ว ยังทำเรื่องอันใดอีก?”
“เจ้าอยากให้พ่อหายไป?” หยางมู่หลินมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ด้วยใบหน้าเจ็บปวด กล่าวอย่างโศกเศร้า “เจ้าโกรธเกลียดพ่อถึงเพียงนี้เลยหรือ? มี่เอ๋อร์ วันเวลาที่เหลืออยู่ไม่มากของข้า อยากจะใกล้ชิดกับเจ้า สัมผัสความรู้สึกการอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาของครอบครัวที่คนแก่ทุกคนล้วนคาดหวังก็เป็นความผิดอย่างนั้นหรือ? มี่เอ๋อร์ เจ้าไม่เหมือนเสวี่ยฉิงแม้แต่น้อย…”
“ท่านพ่อ ท่านยังต้องพูดดีอะไรกับนางอีก!” หยางรุ่ยหนานถลึงตามองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างเยือกเย็น “ลูกสาวเช่นนี้ ท่านทำเป็นไม่เคยมีมาก่อนก็ดีแล้ว เดิมทีย่อมไม่มีความจำเป็นต้องเดินทางไกลมาหานางถึงที่นี่…”
“ท่านโหวเล็กเอาหูทวนลมกับคำพูดของข้าอย่างนั้นหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้หงุดหงิดใจ กลับยิ้มขึ้นมาอย่างเริงร่า กล่าวกับซั่งกวนเจวี๋ยอย่างไม่พอใจ “มีคนกล่าวคำให้ข้าระคายหู เหตุใดเจ้าไม่แสดงท่าทีอะไรหรือเคลื่อนไหวแม้แต่น้อยเล่า?”
ซั่งกวนเจวี๋ยคลี่ยิ้ม เข้าไปใกล้หยางรุ่ยหนานทันที ไม่รอให้หยางรุ่ยหนานพูดอะไร ก็ถลาถีบเขาจนลอยกระเด็นออกไป ตกอยู่ที่หน้าธรณีประตูห้องโถง มุมปากนั้นมีเลือดไหล เห็นได้ชัดว่าเท้านี้ของซั่งกวนเจวี๋ยใช้แรงไปไม่น้อยจริงๆ
“เจ้า…” เดิมทีหยางมู่หลินก็คาดไม่ถึงว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวว่าจะหักหน้าก็หักหน้า ทั้งคาดไม่ถึงว่าซั่งกวนเจวี๋ยจะตรงไปตรงมาเช่นนี้ ใบหน้าที่เผยท่าทีเสียใจจึงเก็บคืนมา แววตาปรากฏความแค้นเคือง หากหยางรุ่ยหนานเป็นอะไรไป แม้เยี่ยนมี่เอ๋อร์จะเปลี่ยนแปลงท่าที เชื่อฟังเขาขึ้นมาก็นับว่าได้ไม่คุ้มเสียเช่นกัน
“เหตุใดท่านโหวหยางไม่ถลาเข้าไปคร่ำครวญกับลูกชายสุดที่รักของท่าน แล้วตำหนิว่าข้าเลือดเย็นเล่า?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยใบหน้าประหลาดใจมองหยางมู่หลิน พูดเชือดเฉือนราวกับคมมีด กล่าวเสียดสี “จากนั้นยังสามารถขอให้ท่านบรรพชนและผู้อาวุโสทุกคนช่วยตัดสินใจ นอกจากขึ้นชื่อว่าเป็นลูกอกตัญญูแล้ว ก็ให้พวกเขาเพิ่มโทษฐาน ‘สังหารพี่น้องอย่างโหดเหี้ยม’ ให้ข้าอีก ข้ากลับไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย!”
“มี่เอ๋อร์…” แววตาของนายท่านเยี่ยนมีรอยยิ้มวาบหวามอยู่ลึกๆ แต่ใบหน้าเขากลับประดับรอยยิ้มประจบประแจงและลังเลเล็กน้อย กล่าวทั้งหัวเราะ “เจ้ายอมรับท่านโหวหยางแล้ว ก็เปลี่ยนคำเรียกขานหน่อยเถิด เอาแต่เรียกว่า ‘ท่านโหว’ ห่างเหินเกินไปแล้ว”
“ข้ายอมรับเขา แต่ข้าอยากเรียกว่า ‘ท่านโหว’ มากกว่า เพื่อแสดงความเคารพต่อเขา ท่านไม่พอใจอย่างนั้นหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ในยามนี้อยากจะถีบนายท่านเยี่ยนออกไปเช่นกัน แต่นางยังคงข่มกลั้นอารมณ์อยากถีบคนเอาไว้ได้ ฝืนยิ้มพูดกับเขาออกไป
“เจ้าพอใจก็ดีแล้ว! เจ้าพอใจก็ดีแล้ว!” นายท่านเยี่ยนคล้ายกับตกใจท่าทีเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นก็อดวางมือปิดบางแห่งบนร่างกายไม่ได้อีกครั้ง ถอยหลังไปก้าวใหญ่
นั่นคือ…เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองการกระทำของนายท่านเยี่ยนอย่างสงสัย เขาเอาแต่ทำเช่นนั้นอยู่ซ้ำๆ ล้วนปิดจุดเดียวกันอยู่ทุกครั้ง หากไม่มีอะไรผิดปกติก็แปลกแล้ว
“ท่านโหวหยางไม่มีอะไรอยากจะพูดหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กดความสงสัยนั้นไว้ หันไปทางหยางมู่หลิน กล่าวเรียบเย็น “หากท่านจะใช้น้ำเสียงที่ทำให้คนคลื่นไส้เช่นนั้นพูดเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องอีก ย่อมไม่มีความจำเป็น ข้าไม่อาจซาบซึ้งใจเพราะการแสดงของท่าน ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ท่านก็เป็นท่านโหวผู้สูงส่ง ไม่มีความจำเป็นต้องสวมบทบาทเป็นนักแสดงที่นี่!”
“มี่เอ๋อร์ เจ้าเคยคิดหรือไม่ หากพ่อจากไป เจ้าอาจจะไม่ได้เจอข้าอีกตลอดไป ชั่วชีวิตล้วนไม่อาจได้สัมผัสความรักและห่วงใยจากพ่ออีกแล้ว…” หยางมู่หลินดิ้นรนครั้งสุดท้าย ล้วนมาถึงขั้นนี้แล้ว เพียงขาดอีกนิดเดียวเท่านั้น หากล้มเลิก ความพยายามที่ผ่านมาหลายสิบปีย่อมไหลไปกับสายน้ำ เขาจะรับได้อย่างไร?
“ข้าคิดว่าพวกเราไม่มีความจำเป็นต้องพูดคุยกันต่อไป” มี่เอ๋อร์ล้มเลิกความคิดจะพูดคุยกับเขาอย่างไม่ลังเล พูดกับเขาก็วนเวียนกลับมาที่เดิมซ้ำไปซ้ำมาเท่านั้น ไม่มีความจำเป็นต้องสิ้นเปลืองแรงและเวลาของนาง ยิ่งไปกว่านั้น จู่ๆ นางก็นึกขึ้นมาได้ว่านายท่านเยี่ยนกำลังปกปิดที่ใดอยู่ แทนที่จะเสียเวลากับเขา ยังมิสู้ ‘พูดคุย’ ดีๆ กับนายท่านเยี่ยนดีกว่า…
“ท่านบรรพชน อย่างไรท่านโหวหยางนั้น ขอท่านบรรพชนและผู้อาวุโสทุกท่านช่วยพิจารณาด้วย มี่เอ๋อร์ไม่คิดอยากให้ท่านบรรพชนแก้แค้นอะไรให้มี่เอ๋อร์ แต่ก็ไม่อยากมีอันใดเกี่ยวข้องกับท่านโหวหยางผู้นี้เช่นกัน!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์แสดงจุดยืนของตัวเองอย่างชัดเจน คำพูดของนางทำให้หยางมู่หลินเข้าใจ ความตั้งใจของตัวเองถูกคนมองออกตั้งแต่แรกแล้ว เขาไม่กระจ่างใจอยู่บ้าง เหตุใดเยี่ยนมี่เอ๋อร์จึงคล้ายกับมีการเตรียมตัวมาก่อน?
“ท่านโหวหยางย่อมมีพวกเราคอย ‘ต้อนรับ’ อยู่ มี่เอ๋อร์ไม่ต้องกังวล เจ้าไปทำเรื่องที่เจ้าอยากทำเถิด!” ท่านบรรพชนพยักหน้า จากนั้นก็มองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่เปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้มอย่างงงงัน ค่อยๆ ไล่ต้อนนายท่านเยี่ยนทีละก้าว และนายท่านเยี่ยนก็แปลกประหลาดอย่างมาก เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เขาก็ถอยหนึ่งก้าวอย่างรีบร้อน มือเอาแต่กุมไว้ที่ส่วนหนึ่งของร่างกาย มองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างระแวดระวัง…