เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 295 ธาตุแท้ของพ่อค้าหน้าเลือด
“นายท่าน ท่านหลบอะไร?” รอยยิ้มบนใบหน้าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ่งลุ่มลึกขึ้นเรื่อยๆ หากไม่ใช่ว่าคนในห้องโถงล้วนแต่มองนางอยู่ นางคงจะระเบิดหัวเราะออกมาแล้ว
“เจ้าจะทำอะไร?” นายท่านเยี่ยนมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างระแวดระวัง แววตาเต็มไปด้วยความชื่นชม ลูกสาวผู้นี้เป็นความภาคภูมิใจของเสวี่ยฉิง ทั้งเป็นความภาคภูมิใจของเขาเช่นกัน ในเวลาอันรวดเร็วก็สามารถพบสิ่งผิดปกติได้
“ลูกเพียงแค่อยากถามท่านเท่านั้น ท่านโหวหยางให้เงินท่านเท่าใด ท่านจึงได้พูดอย่างแข็งขันเพื่อเขาเช่นนี้” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถามทั้งยิ้มบาง ที่ที่นายท่านเยี่ยนเอาแต่กุมมือปิดเป็นที่ที่เขามักจะวางกระเป๋าเงินไว้ เขาทำเช่นนั้นซ้ำแล้วซ้ำแล้ว ก็เพื่อชักจูงให้ตัวเองพูดเช่นนี้ออกมา
“ไม่มี! ไม่มีแม้แต่น้อย! เจ้าอย่าได้คิดมาวางแผนอะไรกับข้า!” รอยยิ้มในดวงตาของนายท่านเยี่ยนลึกล้ำมากกว่าเดิม ทั้งมือก็ปกปิดแน่นหนายิ่งกว่าเดิมเช่นกัน คำพูดที่ออกจากปากของเขาทำให้ท่านบรรพชนและผู้อาวุโสอดตกตะลึงไม่ได้ เบื้องหน้าหยางมู่หลินสองพ่อลูกล้วนดำมืดไปหมด เขาไม่ได้กำลังทำเลียนแบบว่า ‘ที่นี่ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง[1]’ อยู่อย่างนั้นหรือ?
“ไม่มีจริงๆ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กัดลิ้นเล็กน้อย กลืนเสียงหัวเราะที่กำลังจะออกมาลงไป กล่าวอย่างใจกว้าง “ข้าจะให้อภัยการกระทำของท่าน แต่เงินพวกนั้นต้องแบ่งข้าครึ่งหนึ่ง หนึ่งแสนตำลึงคงถึงอยู่กระมัง!”
“เจ้าปล้นกันนี่นา!” นายท่านเยี่ยนร้องโหยหวนขึ้นมา ร้องอย่างอนาถขนาดนั้น ทำให้คนที่ไม่รู้ยังจะคิดว่าเขากำลังถูกทัณฑ์ทรมานอะไรก็มิปาน “ข้าได้ทั้งหมดเพียงหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึง แค่เจ้าอ้าปากก็จะเอาหนึ่งแสนตำลึง…ไม่มี ไม่มีสักแดงเดียว”
อย่าพูดถึงพ่อลูกซั่งกวนฮ่าว แต่กระทั่งผู้อาวุโสทุกคนและท่านบรรพชนล้วนคาดไม่ถึงว่าสองสามประโยคของพ่อลูกคู่นี้กลับเผยไต๋หยางมู่หลินออกมาแล้ว ต่างก็ยิ้มอยู่ในใจ พากันมองสองพ่อลูกที่กำลังวางแผนแบ่งผลประโยชน์คู่นี้ทั้งพ่อลูกที่ใบหน้ายิ่งดำคล้ำขึ้นเรื่อยๆ ล้วนรู้สึกไม่หงุดหงิดใจแล้ว จู่ๆ ก็มีอารมณ์อยากดูละครขึ้นมาอยู่บ้าง
“สักแดงเดียวก็ไม่มีจริงๆ หรือ?” จู่ๆ ใบหน้าของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็มืดมน คล้ายกับโกรธเป็นอย่างมาก มีแต่ฟ้าที่รู้ว่านางเพียงรู้สึกปวดเกร็งท้องเป็นพักๆ คาดไม่ถึงว่าการกลั้นหัวเราะจะไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาทำได้ง่าย
“มี่เอ๋อร์ เจ้าโกรธข้าหรือ?” นายท่านเยี่ยนมองสีหน้าของเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างระมัดระวัง จากนั้นก็กัดฟัน แข็งใจ ใช้น้ำเสียงเจรจา “ไม่อย่างนั้น พวกเราแบ่งครึ่งกัน แบ่งคนละเจ็ดหมื่นห้าพันตำลึง…นี่ถึงขีดสุดของข้าแล้วจริงๆ เจ้าอย่าได้โลภมากเกินไป ต้องรู้ว่า ข้าเอาชีวิตไปเสี่ยงอันตราย ทั้งต่อรองกับท่านโหวหยางครั้งแล้วครั้งเล่าจึงได้ราคาหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงมา”
“หนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงก็ทำให้ท่านขายลูกสาวได้แล้ว?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ย้อนถามอย่างกัดฟันอยู่บ้าง นางในยามนี้มีเหตุผลให้เชื่อว่าแม้เงินจะมากกว่านี้อีก นายท่านเยี่ยนย่อมไม่อาจทำเรื่องเช่นนั้น แต่มีบางคำที่ยังต้องพูดอยู่
“ขายเจ้าที่ไหนกัน!” นายท่านเยี่ยนเริ่มเรียกร้องความยุติธรรมอย่างคาดไม่ถึง “ท่านโหวหยางเพียงกล่าวว่าให้ข้าร่วมมือกับเขา ทำให้เจ้ายอมรับเขาเท่านั้น แต่ไม่ได้พูดว่าจะขายเจ้าให้เขา เงินหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงที่ข้าต้องการก็เพียงรับประกันว่าจะร่วมมือกับเขา ให้เจ้ายอมรับเขา แต่ไม่ได้ให้เจ้ายอมรับเขาทั้งชั่วชีวิต…ลูกเอ๋ย เจ้าลองคิดสิ แค่ ‘ยอมรับ’ ประโยคเดียวก็ได้หนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงแล้ว การค้าขายเช่นนี้ คนโง่ที่ตามคนอื่นไม่ทันเช่นนี้ ใต้หล้าแห่งนี้ไม่ได้มีมากมายนัก หากข้าพลาดไป ยังจะนับว่าเป็นพ่อค้าได้อย่างไร?”
“เจ้ามันคนพูดเชื่อถือไม่ได้!” หยางรุ่ยหนานโมโหจนแทบจะกระอักเลือด ต่อหน้าพวกเขานายท่านเยี่ยนเผยท่าทีละโมบโลภมาก ขี้ขลาดตาขาว คาดไม่ถึงว่าแค่คนๆ เดียวกลับวางแผนพวกเขาพ่อลูก
“ข้าคำพูดเชื่อถือไม่ได้ตรงไหน!” สิ่งที่นายท่านเยี่ยนไม่อาจทนฟังได้ก็คือคนอื่นกล่าวว่าเขา ‘เชื่อถือไม่ได้’ กระโดดขึ้นมากล่าว “พวกเจ้าบอกให้ข้าร่วมมือกับพวกเจ้า ยั่วยุให้มี่เอ๋อร์ยอมรับกบฏเป็นพ่อ ข้าไม่ร่วมมือเมื่อใดกัน? ก่อนมี่เอ๋อร์จะยอมรับ ข้าได้พูดอะไรขัดแย้งพวกเจ้า ทำเรื่องขัดแย้งอะไรหรือเปล่า? คงไม่มีกระมัง! พวกเจ้ากล่าวว่าไม่วางใจข้า จับลูกชายสุดที่รักของข้าเป็นตัวประกัน ข้าก็ไม่ได้ร้องไห้โวยวายไม่เห็นด้วยอะไร ยิ่งไม่ได้ลอบขอคนของตระกูลซั่งกวนให้ไปช่วยเหลือลูกชายข้า นี่ยังเชื่อไม่ได้อีกหรือ? ส่วนที่ข้าเปิดเผยเรื่องออกมาในยามนี้…เหอะๆ ท่านโหวหยาง ข้าได้สัญญาว่าจะช่วยพวกเจ้าปิดบังทั้งชั่วชีวิตหรือเปล่า? บอกว่าจะร่วมมือกับพวกเจ้าตลอดไปหรือไม่? ไม่มีกระมัง! พวกเจ้าสองพ่อลูกก็สมองหมู ไม่คิดบ้างว่า ลูกสาวที่ฉลาดงดงามเช่นนี้ ให้ยอมรับกบฏเป็นพ่อช่วงเวลาสั้นๆ ย่อมไม่เป็นไร แต่หากชั่วชีวิต อย่าพูดว่าหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงเลย แม้ว่าจะร้อยล้านห้าแสนตำลึง ข้าก็ไม่แน่ว่าจะทำหรอก”
“เจ้า…” หยางรุ่ยหนานกระอักเลือดออกมา คนที่อยู่ในนั้นไม่รู้ว่าเพราะอาการบาดเจ็บของเขาร้ายแรงหรือเพราะโมโหกันแน่ แต่ก็ไม่มีใจจะซักไซ้ไล่เลียง
“ข้าทำไม?” นายท่านเยี่ยนกล่าวอย่างดุดัน “หรือท่านโหวน้อยคิดว่าไม่ว่าจะอะไรก็ล้วนเป็นเรื่องตลอดชีวิต? ก็เหมือน กับแม่สื่อพูดคุยเรื่องงานแต่งให้เจ้า สามารถรับประกันว่าตระกูลทัดเทียมกัน รับประกันได้ว่าหญิงสาวรูปลักษณ์งดงาม ทั้งยังรับประกันได้ว่าหญิงสาวอ่อนโยนมีคุณธรรม นี่ก็ทำภารกิจแม่สื่อสำเร็จแล้ว เจ้าไม่อาจให้แม่สื่อรับประกันได้ว่าจะให้กำเนิดลูกชายหรอกกระมัง! หากเจ้าไม่อาจมีลูกได้ เกิดลูกชายออกมาก็ย่อมไม่ใช่ของเจ้า ไม่ใช่…”
มีการเปรียบเทียบเช่นนี้ด้วยหรือ? ซั่งกวนเจวี๋ยมองใบหน้าอ้วนท้วนของนายท่านเยี่ยน รอยยิ้มนั้นล้วนปิดไม่มิด แต่ไหนแต่ไรเขาก็คาดไม่ถึงว่าพ่อตาตัวเองจะมีด้านที่น่ารักเช่นนี้
“ยังมีเจ้าอีก…” นายท่านเยี่ยนคล้ายกับด่าคนจนหยุดไม่ได้ ด่าหยางรุ่ยหนานเสร็จแล้วก็ชี้ด่าที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ “เมื่อก่อนยังพูดว่าเจ้าไม่ได้เป็นคนดูแลบ้านไม่รู้ว่าข้าวปลาอาหารมันแพงเท่าใด ยามนี้เล่า? ยังเป็นเหมือนเดิม ไม่รู้จักคว้าโอกาสหาเงิน เจ้าไม่รู้หรือว่าคนหลอกง่ายอย่างท่านโหวหยางมันยากที่จะพบเจอถึงขนาดไหน?”
“ข้าทำไม?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถูกเขาสั่งสอนจนสับสนมึนงง ตัวเองล้วนพูดคำว่า ‘ยอมรับ’ ออกไปอย่างไม่ได้รับเป็นธรรมแล้ว ยังจะอะไรกับนางอีก?
“ข้าไม่ได้เตือนเจ้าให้ใช้วิธีตรวจเลือดนับญาติหรอกหรือ?” นายท่านเยี่ยนกล่าวโวยวาย “เจ้ารู้หรือไม่ ข้าและท่านโหวหยางตกลงราคากันไว้แล้ว พูดคล้อยตามเขา ให้เจ้ายอมรับได้หนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึง หากเจ้ายังลังเล เช่นนั้นใช้วิธีตรวจเลือดนับญาติ ตรวจเลือดนับญาติได้เพิ่มอีกหนึ่งแสนตำลึง เจ้าไม่รู้หรือว่าก่อนมาในห้องโถง ข้าต้องอดกลั้นความเจ็บปวดเสียเลือดไปเท่าใด เพื่อให้ท่านโหวหยางสามารถใช้วิธีตรวจเลือดนับญาติได้อย่างราบรื่น…แต่เจ้า ลูกสาวฟุ่มเฟือยอย่างเจ้า แค่ประโยคง่ายๆ ประโยคเดียว ตรวจเลือดนับญาติกลับไม่เอา เลือดของข้าเสียไปเปล่าๆ เงินหนึ่งแสนตำลึงก็ลอยหายวับไปกับตา เจ้ายังมีหน้ามาขอแบ่งเงินอีก แค่จุดนี้ ให้เจ้าเพียงห้าหมื่นตำลึงพอ หักที่เหลือไปหมด!”
“ที่แท้ตรวจเลือดนับญาติล้วนได้เตรียมของปลอมไว้แล้ว ท่านโหวหยางช่างละเอียดรอบคอบจริงๆ!” ซั่งกวนฮ่าวยิ้มเย็นมองหยางมู่หลินที่สีหน้าดำคล้ำ ไม่อาจจะแสดงท่าทีบิดาผู้มีเมตตาที่โศกเศร้าเสียใจได้อีกแล้ว เพื่อที่จะให้มี่เอ๋อร์ยอมรับเขาเป็นพ่อ เขานั้นเสียพลังสมองไปไม่น้อย สาวใช้คนหนึ่งที่อยู่ข้างกายจงเสวี่ยฉิงมายี่สิบสามสิบปี ใช้ลูกชายตัวน้อยเพียงคนเดียวของนายท่านเยี่ยนและเงินมาทำให้นายท่านเยี่ยนเป็นพยานให้ ทั้งยังเตรียมเลือดปลอมเพื่อใช้ในการตรวจเลือดนับญาติ…น่าเสียดายที่คาดไม่ถึงนิสัยใจคอของมี่เอ๋อร์และนายท่านเยี่ยน
หยางมู่หลินเผยสีหน้าเรียบนิ่งดุจผิวน้ำ เขาคาดไม่ถึงเป็นอย่างมากว่าเจ้าอ้วนโลภมากตาขาว ชอบเงินเป็นชีวิตจิตใจจะกล้าขายตัวเองในช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้ นึกถึงที่เขาร้องไห้ขี้มูกโป่งต่อหน้าตัวเอง ขอร้องให้ตัวเองปล่อยเขาไป กอดลูกชายสุดที่รักของเขาคนนั้น ให้ตายก็ไม่ยอมปล่อยมือ ทั้งยังต่อรองราคากับตัวเอง แทบไม่สนใจอย่างสิ้นเชิงว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็เป็นลูกสาวของเขาเช่นกัน…
เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ เจ้าอ้วนผู้นี้ต่างหากที่เป็นคนฉลาดมากเล่ห์ จากการตรวจสอบยี่สิบกว่าปีของตัวเอง ทั้งการสังเกตสิบกว่าปีของเซียงหลิง ล้วนได้ผลลัพธ์เดียวกันว่า นี่เป็นชายที่มีกลิ่นเงินกระจายออกมาทั่วร่าง เพื่อเงินแล้วกระทั่งบิดาของตนก็สามารถขายได้ มีลูกชายที่เขาเห็นเป็นของล้ำค่าเป็นตัวประกันอยู่ในมือ คิดว่าแม้เขาจะใจกล้าค้ำฟ้า ก็ไม่อาจจะออกจากกำมือเขาได้อยู่ดี คิดว่าพอเรื่องสำเร็จแล้ว ย่อมจะฆ่าคนปิดปาก ดังนั้นจึงไม่ให้เขาปิดความลับไปชั่วชีวิต (ในความคิดของหยางมู่หลิน มีเพียงคนที่ตายแล้วจึงจะรักษาความลับได้) คาดไม่ถึงว่าทั้งหมดนี้ล้วนกลายเป็นจุดอ่อนร้ายแรงที่ทำให้ตัวเองล้มเหลวกลางคัน
“ตรวจสอบมือของท่านโหวหยางเสียหน่อยเถิด!” ท่านบรรพชนกล่าวอย่างเยือกเย็น ยุทธภพกว้างใหญ่คนแปลกประหลาดย่อมมีมากมาย ช่างฝีมือดีก็โผล่ออกมาอย่างไม่สิ้นสุด ในยุทธภพเคยมีคนใช้หนังคนจริงๆ มาทำถุงมือ ภายในมีช่องว่างเล็กๆ อยู่ตรงกลาง สามารถวางของบางอย่างเช่นยาพิษหรือของอื่นๆ ไว้ล่วงหน้าได้ เพื่อตามเป้าหมายบางอย่างให้สำเร็จ คาดว่าในมือของหยางมู่หลินย่อมมีถุงมือเช่นนั้นอยู่ เพียงแต่ของที่อยู่ภายในกลับเป็นเลือดของนายท่านเยี่ยน แม้ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะยืนหยัดไม่ยอมรับฐานะของเขา เขาก็อาจจะใช้วิธีตรวจเลือดนับญาติมาพิสูจน์อยู่ดี!
“ไม่จำเป็นหรอก!” หยางมู่หลินมองคนทั้งหมดอย่างเย็นเยียบ หากมาจนถึงขั้นนี้แล้วยังแสร้งเป็นบิดาผู้มีเมตตา ก็คงถูกคนมองว่าเล่นละครลิงเป็นแน่ เขามองชายอ้วนฉุผู้นั้นอย่างดุดัน ค่อยๆ ดึงทั้งสองมือออกจากกัน ถุงมือหนังคนจึงร่วงลงมา เขาทิ้งถุงมือที่ได้มาในราคาแพงทั้งสูญเสียกำลังไปไม่น้อยอย่างไม่ปวดใจสักนิดลงบนพื้น จากนั้นก็กล่าวเรียบเย็น “หลังจากจงเสวี่ยฉิงออกจากเซิ่งจิง พวกเราก็ไม่ได้พบกันอีกเลย เยี่ยนมี่เอ๋อร์ย่อมไม่ใช่ลูกสาวของข้า ข้าเพียงอยากจะใช้ประโยชน์นางเท่านั้น ตระกูลซั่งกวนคิดจะสังหารพวกเราสองพ่อลูกยามนี้เลยหรือไม่?”
“ตระกูลซั่งกวนไม่ได้คิดว่าจะสามารถให้ท่านโหวสองพ่อลูกอยู่ที่เรือนพำนักอวี้ฉิงตลอดไปได้หรอก!” ท่านบรรพชนมองหยางมู่หลินอย่างเย็นเยียบ เขาย่อมคาดถึงผลลัพธ์ยามที่เรื่องล้มเหลวไว้แล้ว หากให้เขาอยู่ที่เรือนพำนักอวี้ฉิงอย่างไม่สนใจอะไร ย่อมมีความเดือดเนื้อร้อนใจและปัญหาอย่างไม่สิ้นสุดแน่ แม้ตระกูลซั่งกวนจะไม่กลัวเรื่องกลัวราว แต่ก็ไม่อาจปล่อยผู้ที่ตั้งเป้าโจมตีตัวเองไปง่ายๆ หรอก เขามองหยางมู่หลินอย่างเรียบเย็น “แต่ว่า ท่านโหวน้อยอาจจะอยู่ที่เรือนพำนักอวี้ฉิงชั่วคราวได้ รอท่านโหวหยางใช้น้องชายตัวน้อยของมี่เอ๋อร์มาแลกเปลี่ยน!”
“เด็กคนนั้นตายไปแล้ว!” แต่ไหนแต่ไรหยางมู่หลินก็ไม่คิดที่จะเหลือพยานปากรอดชีวิตไว้ แม้เด็กคนนั้นจะยังไม่โต แต่เขาก็เห็นตัวเองข่มขู่พวกนายท่านเยี่ยนด้วยตาของตัวเอง เหลือเอาไว้ไม่ช้าก็เร็วย่อมเป็นภัยร้าย ดังนั้นแม้จะใช้เขาเป็นตัวประกัน แต่ในความเป็นจริงยามที่พวกเขาออกจากอู๋โจวก็ได้สังหารเขาแล้ว
“ตระกูลเยี่ยนคนอื่นๆ เล่า?” นายท่านเยี่ยนคล้ายคาดเดาถึงฉากเช่นนี้ได้นานแล้ว กลับไม่ได้สูญเสียสติแต่อย่างใด แต่เอ่ยถามถึงคนอื่นๆ ขึ้นมา
“พวกเขาล้วนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นจึงไม่เป็นไร!” หยางมู่หลินประหลาดใจกับความสุขุมของนายท่านเยี่ยนเป็นอย่างมาก เขาบอกเรื่องที่เด็กตายออกมา แน่นอนเพราะกังวลว่าเมื่อถึงเวลานั้นไม่อาจเอาตัวประกันมาแลกเปลี่ยนได้จะกลับเป็นการทำร้ายหยางรุ่ยหนาน แต่ไหนเลยจะไม่ใช้เรื่องนี้โจมตีนายท่านเยี่ยน เจ้าอ้วนสมควรตายผู้นี้กล้าพังแผนการหลายปีมานี้ของตัวเองลงกลางคัน หยางมู่หลินก็อยากเห็นเขาเจ็บปวดเพราะสูญเสียลูกชายเช่นกัน ให้สัมผัสความรู้สึกเจ็บปวดที่คนผมขาวต้องส่งศพคนผมดำ
นายท่านเยี่ยนฝีเท้าซวนเซ เยี่ยนมี่เอ๋อร์และซั่งกวนเจวี๋ยพยุงเขาทันที ใบหน้าเขามีแต่ความเศร้าเสียใจ แต่ยังคงมีสติผลักลูกสาวและลูกเขยออกไป ค้อมคารวะให้ท่านบรรพชน “ท่านบรรพชน เด็กคนนั้นเป็นลูกชายคนเดียวของตระกูลเยี่ยน เขาตายแล้ว ตระกูลเยี่ยนของข้าก็นับว่าไร้ผู้สืบสกุล เรื่องนี้อย่างไรขอท่านบรรพชนให้ความเป็นธรรมด้วย!”
“ความต้องการของเจ้าคืออะไร ลองพูดมาสิ” หากต้องฆ่าสองพ่อลูกหยางมู่หลิน ท่านบรรพชนก็ไม่คิดใส่ใจแม้แต่น้อย แต่ว่าพวกเขาไม่อาจตายที่เรือนพำนักอวี้ฉิง ทำได้เพียงค่อยๆ วางแผนเท่านั้น
“หนึ่ง ขอท่านโหวหยางพ่อลูกเขียนหนังสือเลือด รับประกันว่าจะให้ลูกคนนั้นของข้าสามารถฝังลงดินได้อย่างสงบ สอง ในหนังสือหนังเลือดต้องเขียนว่าลูกคนนั้นของข้าถูกพวกเขาจับเป็นตัวประกัน เพื่อข่มขู่ข้าให้ร่วมมือกับพวกเขาหลอกลวงมี่เอ๋อร์ ให้มี่เอ๋อร์ยอมรับกบฏเป็นพ่อ แต่พวกเขากลับไม่รักษาสัญญา ฆ่าคนปิดปาก สาม ท่านโหวหยางต้องชดใช้ให้ตระกูล เยี่ยนของข้า!” คำขอร้องของนายท่านเยี่ยนไม่เกินไปแม้แต่น้อย กระทั่งนับว่าน้อยไปเสียกว่า
“เจ้าฝันไปเถิด!” หยางรุ่ยหนานเคียดแค้นเจ้าอ้วนตรงหน้านี้เป็นอย่างมาก หากไม่ใช่ว่าเขาบาดเจ็บ ทั้งอยู่ในอาณาเขตของตระกูลซั่งกวน เขาย่อมทำให้เจ้าอ้วนผู้นี้ตามไปพบลูกของเขาใต้พื้นพิภพแล้ว
“ข้าว่ายังพอไหว!” ท่านบรรพชนเพียงรู้สึกว่าคำขอของนายท่านเยี่ยนน้อยเกินไปจริงๆ มองสองพ่อลูกตระกูลหยางอย่างเยือกเย็น “ท่านโหวหยางเจ้าคิดว่าอย่างไร?”
“ข้าเห็นด้วยกับคำขอของนายท่านเยี่ยน!” หยางมู่หลินรู้ว่าตัวเองในยามนี้ นอกจากรับปากก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว อีกทั้งมองกระจ่างกว่าหยางรุ่ยหนานอยู่มาก หนังสือเลือดฉบับนี้ สิ่งที่มากกว่าไปนั้นคือเพื่อปกป้องเยี่ยนมี่เอ๋อร์ มีหนังสือเลือดฉบับนี้ ตัวเองย่อมไม่อาจสร้างเรื่องโกหก กล่าวว่านางเป็นลูกสาวตัวเองได้อีกตลอดไป…
———————————–
[1] ที่นี่ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง อุปมาว่า ยิ่งปกปิดซ่อนเร้น ผลลัพธ์กลับเปิดเผยให้ทุกคนรู้