เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 300 บทสรุปการ ‘ทุบตีสิ่งชั่วร้าย’ ที่ไม่เป็นผล
“พี่สะใภ้เจวี๋ย ท่านไม่คิดอยากจัดการนางจิ้งจอกผู้นั้นเสียหน่อยหรือ?” หลิงลี่กล่าวเสียงดังอย่างแค้นเคือง ซั่งกวนจิ่นมีนางเป็นลูกสาวสุดที่รักเพียงคนเดียว ย่อมทำใจให้แต่งไกลบ้านไม่ได้ เลือกแล้วเลือกอีกสุดท้ายก็หาลูกเขยให้นางถึงหน้าประตู และสามีของนางก็ฉลาดสุขุม ดีต่อนางไม่น้อย ยามนี้นางกลับเป็นคนที่ไปมาหาสู่กับเยี่ยนมี่เอ๋อร์บ่อยที่สุด ตอนนี้เป็นแม่คนแล้ว แต่นิสัยเจ้าเล่ห์ซุกซนล้วนไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ปิดตาลงครึ่งหนึ่งอย่างสะลึมสะลือ ไม่ได้ตอบอะไร ครั้งนี้หลิงลี่ย่อมได้ยินข่าวลืออันใดมาเป็นแน่ ถึงกับระงับโทสะในใจไม่อยู่พูดเช่นนี้ออกมา และยามนี้นางก็ไม่มีอารมณ์จะพูดคุยแม้แต่น้อย…ทั้งหมดทั้งมวลล้วนถูกความร้อนที่ปะทะเข้ามาตีกลับไป
ระหว่างยุทธภพและตระกูลใหญ่ต่างล่ำลือกันไปทั่วว่า สะใภ้ใหญ่ตระกูลซั่งกวนเป็นคนที่โชคดีที่สุดทั้งเป็นคนที่โชคร้ายที่สุดเช่นกัน
กล่าวว่านางโชคดี นั่นเพราะว่าคุณชายใหญ่ซั่งกวน ซั่งกวนเจวี๋ย นอกจากภรรยาเอกแล้ว อย่าพูดถึงอนุเลย แต่กระทั่งเมียบ่าวยังไม่มี ลูกชายคนโตของซั่งกวนเจวี๋ยคือซั่งกวนหมิง คนรองคือซั่งกวนเจา ลูกสาวคนโต ซั่งกวนเซียวเฉียง ลูกสาวคนรองซั่งกวนเซียวเวยล้วนเป็นบุตรที่ถือกำเนิดโดยสะใภ้ใหญ่ตระกูลซั่งกวน ในตระกูลใหญ่นับว่ามีเพียงหนึ่งเดียว ไม่ว่าใครก็ไม่อาจเทียบได้
กล่าวว่านางโชคร้าย นั่นเพราะไม่ว่าจะเป็นชาวยุทธภพหรือคุณชายตระกูลใหญ่ล้วนรู้ถึงเรื่องหนึ่ง งานประลองยุทธ์ทุกปีซั่งกวนเจวี๋ยมักจะขังภรรยาของตัวเองไว้ในเรือนสดับวายุริมสระบัว ที่แห่งนั้นเดิมทีก็คือเรือนพำนักภายนอกที่ตระกูลซั่งกวนตั้งใจมอบให้นาง ยามที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์แต่งให้กับซั่งกวนเจวี๋ย แต่ปีนั้นที่นางให้กำเนิดลูกชายคนรอง ซั่งกวนเจา ซั่งกวนเจวี๋ยกลับสร้างอารามแห่งหนึ่งในนั้น ปลายเดือนเจ็ดต้นเดือนแปดของทุกปี ยามที่ซั่งกวนเจวี๋ยไปร่วมงานประลองยุทธ์ก็จะขังภรรยาให้สวดมนต์คัดลอกคัมภีร์อยู่ที่เรือนสดับวายุ แต่เขากลับวิ่งโร่ไปพบหน้าคนรัก จอมยุทธหญิงโม่จิ้งที่เขาเฮ่อ ยามที่ทั้งสองอยู่ด้วยกันล้วนมีท่าทีลึกซึ้งสนิทสนม ขอเพียงแค่ไม่ใช่คนตาบอด ย่อมมองออกว่า พวกเขานั้นมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา
ว่ากันว่า โม่จิ้งไม่อยากแต่งเข้าตระกูลซั่งกวนในฐานะอนุ และบรรดาผู้อาวุโสของตระกูลซั่งกวนต่างก็ชื่นชอบเยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นอย่างมาก ไม่เห็นด้วยที่ซั่งกวนเจวี๋ยจะรับโม่จิ้งเข้าตระกูลในฐานะภรรยา ดังนั้นซั่งกวนเจวี๋ยจึงเลี้ยงดูโม่จิ้งเป็นภรรยานอกสมรสให้รู้แล้วรู้รอดไป งานประลองยุทธ์ทุกปีเป็นเวลาที่พวกเขาลอยหน้าลอยตาอยู่เบื้องหน้าของผู้คน ส่วนเวลาอื่นๆ โม่จิ้งกลับพำนักอยู่ในที่ลับที่ซึ่งซั่งกวนเจวี๋ยจัดการไว้ให้ ไม่ออกมาท้าทายอารมณ์คนอื่นๆ ของตระกูลซั่งกวนแต่อย่างใด
“ข้าว่าอย่างไรค่อยๆ ปรึกษาหารือกันจะดีที่สุด!” หลิงหลงกลับเปลี่ยนไปมาก แม้ว่านางอยากจะพูดหลายอย่างกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ แต่สุดท้ายก็ยังคงไม่กล่าวมากความอันใด
ช่วงที่แต่งงานหลายปีมานี้ ชุยฮ่าวหรันดีกับนางมาก ทั้งไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องรับอนุภรรยามาก่อน เพราะข่าวลือบางอย่างเกี่ยวกับพี่สะใภ้ นางเคยมีความคิดที่จะเป็นฝ่ายรับอนุภรรยาเพื่อชุยฮ่าวหรัน แต่ทุกครั้งยังไม่ทันผ่านด่านตัวเอง กลับเป็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์และซั่งกวนเจวี๋ยที่มองเห็นความผิดปกติภายในออก เยี่ยนมี่เอ๋อร์เน้นย้ำหน้าที่ของนางให้กระจ่างใจ ให้นางไปถามชุยฮ่าวหรันก่อนแล้วค่อยว่ากัน…ไม่ใช่ผู้ชายทุกคนที่หวังจะมีภรรยาอนุมากมาย หากชุยฮ่าวหรันมีความคิดเช่นนั้น ก็เป็นฝ่ายรับอนุให้เขาเสีย แสดงตนว่าเป็นภรรยาคุณธรรม แต่หากเดิมทีชุยฮ่าวหรันก็ไม่มีความคิดเช่นนั้นอยู่แล้ว นางทำแบบนั้นกลับจะเป็นการทำลายความสัมพันธ์ของสามีภรรยา
ผลลัพธ์กลับทำให้นางพึงพอใจเป็นอย่างมาก แม้ชุยฮ่าวหรันยังจะมีนิสัยเจ้าสำราญของตัวเองอยู่บ้าง บางครั้งก็ออกไปเปิดหูเปิดตา แต่เขากลับไม่ได้มีความคิดจะรับอนุ คิดว่าแต่งเข้าบ้านเป็นปัญหาที่สลัดไม่พ้นไม่ว่า ยังจะทำให้ครอบครัววุ่นวายไม่สงบสุข เพียงแต่หลิงหลงกระจ่างใจดี เขามีความรู้สึกที่ไม่ธรรมดากับคุณหนูโม่จิ้งผู้นั้น แม้ยามนี้พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเคารพทั้งห่างเหิน แต่ก็ไม่แน่ว่าเขาจะลืมความรู้สึกที่ตัวเองมีต่อคุณหนูโม่จิ้งไปเสียสิ้น แค่ไม่อยากเป็นเหมือนมู่หรงปั๋วอวี่ กระทั่งความสัมพันธ์ธรรมดาที่สุดอย่างคบเป็นสหายล้วนไม่อาจทำได้ ดังนั้น จึงขจัดความรู้สึกบางอย่างที่ไม่อาจบอกคนอื่นได้ให้รู้แล้วรู้รอดไปเสีย
“ค่อยๆ ปรึกษาหารือ? มีอะไรต้องค่อยๆ ปรึกษาอีก ข้าว่าควรมอบบทเรียนที่โหดเหี้ยมให้นางเสียหน่อย!” ยามที่จิงอิ๋งกล่าวขึ้นมาก็โมโหเป็นอย่างมาก นางได้ยินเรื่องเล่าของซั่งกวนเจวี๋ยและโม่จิ้งมาไม่น้อย ล้วนกล่าวว่าพวกเขาเป็นคู่รักดั่งเทพนิยาย ยังพูดว่าอะไรนะ ทั้งสองคนเหมาะสมกันที่สุด แทบไม่ได้เห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์อยู่ในสายตาโดยสิ้นเชิง หากไม่ใช่ว่าอินหงหลันและผู้หญิงคนนั้นเรียกกันเป็นลุงเป็นหลาน หากไม่ใช่ว่าซั่งกวนเจวี๋ยเคยกล่าวไว้ว่า ไม่อยากให้คนรบกวนความสงบสุขของนาง ทำให้นางหาคนหรือกองกำลังที่กล้ารับงานนี้ไม่พบละก็ นางคงจะส่งคนไปลอบสังหารคนผู้นั้นตั้งนานแล้ว จิงอิ๋งกล่าวอย่างกังวล “ข้ากังวลว่าจะมีวันหนึ่งที่พี่ใหญ่แต่งนางจิ้งจอกคนนั้นเข้าตระกูลมาโดยไม่สนใจอันใด! หากเป็นเช่นนั้น พี่สะใภ้ย่อมต้องมีโทสะอย่างถึงที่สุดแน่”
“ไม่หรอก ข้านั้นใจกว้าง!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่อาจหึงหวงตัวเองได้หรอก นางไม่กังวลปัญหานั้นแม้แต่น้อย
“ที่จริง ข้าได้ยินว่ามีวิธีหนึ่งที่สามารถจัดการผู้หญิงคนนั้นได้!” หลิงลี่กดเสียงต่ำลงอย่างมีลับลมคมนัย ทำให้คนทั้งหมดอดเข้าไปใกล้นางไม่ได้ อยากฟังว่าตกลงเป็นวิธีอันใด!
“ข้าก็เพิ่งได้ยินมาเมื่อวาน!” หลิงลี่มองทุกคนอย่างได้ใจ “มีวิชามนต์ดำอย่างหนึ่งเรียกว่าการทุบตีสิ่งชั่วร้าย ขอเพียงแค่เขียนวันเดือนปีและเวลาเกิดของผู้หญิงเลวคนนั้นลงในกระดาษรูปคน จากนั้นใช้รองเท้าที่พี่สะใภ้เคยใส่แล้ว ตีกระดาษรูปคนไปแรงๆ หากตีที่หัวนาง นางก็จะปวดหัว หากตีที่แขนนาง นางก็จะปวดแขน หลังจากตีร่างนางในกระดาษแล้ว ฉีกแยกเป็นชิ้นๆ นางจะล้มป่วยโรคภัยรุมเร้า ทำแบบนี้หลายๆ ครั้ง ย่อมสามารถตีให้นางตายได้!”
“วันเดือนปีและเวลาเกิดของผู้หญิงคนนั้นเป็นเรื่องยาก” คำพูดของจิงอิ๋งทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์อยากจะกระอักเลือด นางกล่าวอย่างโมโห “ข้าคิดจะใช้มนต์ดำกับนางตั้งนานแล้ว แต่สืบข่าวร่องรอยของนางไม่ได้เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวันเดือนปีเกิด”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ลอบถอนหายใจ กลอกตากับตัวเอง นี่มันพวกคุณหนูอะไรกัน ไม่ว่าจะคนใดก็ล้วนแต่มีความคิดพิเรนทร์ นางคาดไม่ถึงมาตลอดว่าจะทำให้พวกนางเกลียดนางถึงขนาดนี้ได้
“ไม่มีวันเดือนปีเกิดก็ไม่เป็นไร ขอเพียงสามารถเอาของที่นางเคยใช้มา ผม เล็บหรืออะไรก็ได้เช่นกัน” หลิงลี่กล่าวเสียงเบาอีกครั้ง “ไม่อย่างนั้นข้าก็คงไม่พูดออกมาหรอก”
“หากเป็นเช่นนั้นก็พอลองกันได้” จิงอิ๋งตาใสกระจ่างขึ้นมาทันที เยี่ยนมี่เอ๋อร์มุมปากกระตุกหลายครั้งอย่างอดไม่อยู่
“อย่างไรพวกเจ้าล้มเลิกจะดีกว่า!” พิงถิงเห็นท่าทีราวกับปวดฟันของเยี่ยนมี่เอ๋อร์อยู่ในดวงตา ก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “หากเกิดเรื่องกับโม่จิ้งย่อมไม่ดี ข้าว่าพี่สะใภ้มีเหตุผลของตัวเองที่ปล่อยผู้หญิงคนนั้นไว้อย่างสบายๆ เช่นนั้น”
นับวันความสัมพันธ์ของนางและจิงอิ๋งก็ดียิ่งขึ้นเรื่อยๆ มักจะส่งจดหมายหากันบ่อยครั้ง แต่ว่า พิงถิงก็เป็นคนที่เข้าใจเรื่องนี้มากที่สุด ข่าวที่ว่าซั่งกวนเจวี๋ยมีสาวงามคนสนิทกระฉ่อนไปทั่ว กล่าวว่าทั้งสองคนมีความสัมพันธ์รักใคร่ลึกซึ้ง ทั้งยังเล่ากันว่าพี่สะใภ้ถูกขังในเรือนสดับวายุ ไม่ให้ออกมาและไม่ให้ผู้ใดเข้าพบ ที่แปลกกว่านั้นคือพี่สะใภ้คล้ายจะไม่เป็นเดือดเป็นร้อนต่อเรื่องนี้แม้แต่น้อย พิงถิงจึงรู้ว่า เรื่องราวย่อมไม่ได้ง่ายดายอย่างที่เห็นถึงขนาดนั้น หากโม่จิ้งผู้นั้นไม่หลบอยู่ในหมอกควัน ก็ย่อมเป็นตัวเยี่ยนมี่เอ๋อร์เอง มิเช่นนั้น เยี่ยนมี่เอ๋อร์คงมีสารพัดวิธีที่ทำให้หญิงสาวผู้นั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
“มีเหตุผลอันใด?” จิงอิ๋งกล่าวอย่างโมโห “พี่สะใภ้นั้นตามใจพี่ใหญ่เกินไป ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ให้เขาตัดสินใจ จึงได้มีเรื่องเช่นนี้ขึ้น”
“จิงอิ๋ง เหตุใดเจ้าจึงยังใสซื่อขนาดนี้!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถูกโวยวายจนปวดหัว “ไม่กี่ปีที่ผ่านมายุทธภพและราชสำนักเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่หยุดหย่อน ไร้ทางที่จะคาดเดา แม้ระหว่างตระกูลใหญ่จะไปมาหาสู่กันบ่อยครั้ง แต่ก็เพิ่มความระมัดระวังขึ้นเช่นกัน ยามนี้ไม่เหมือนกันแล้ว กบฏที่ควรจะเงียบสงบของฮ่องเต้องค์ก่อนก็เงียบสงบแล้ว ภัยร้ายที่ควรกำจัด ฮ่องเต้องค์ก่อนก็ตระเตรียมจัดการเรื่องราวไว้ล่วงหน้า ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจึงขึ้นบนบัลลังก์ได้อย่างไร้ภยันตราย ห้าปีนี้ก็ชะล้างอำนาจกากเดนที่เหลืออยู่จนหมดสิ้นไปคราหนึ่งแล้ว ขุนนางและไพร่ฟ้าประชาชนล้วนอยู่อย่างมั่นคงสงบสุข ทุกคนจึงพากันเอ้อระเหยลอยชาย เรื่องที่เมื่อก่อนไม่เคยคิด ยามนี้ย่อมมีเวลาให้คิดให้ทำอยู่มากโข”
เจ็ดปีที่ผ่านมาเป็นช่วงที่ต้าเยี่ยนวุ่นวายที่สุดจริงๆ หยางมู่หลินถูกฮ่องเต้ใช้หนังสือรับรองหนี้สินฉบับนั้น บีบเค้นให้จำต้องก่อกบฏอย่างรีบเร่ง ฮ่องเต้ที่เตรียมการอย่างพรั่งพร้อม แทบไม่สูญเสียกำลังมากมายอันใด ก็กำราบการก่อกบฏอย่างราบคาบ ครั้งนี้ไม่มีคนที่เพียงพอให้ฮ่องเต้ยำเกรงมาพูดขอความเมตตาแทนเขาหรือใช้ความตายมาบีบเค้น แม้ว่าสายเลือดของหยางมู่หลินจะไม่ได้ถูกสะบั้นไปเสียหมด แต่ก็ไม่อาจมีวันได้เชิดหน้าชูตาอีกแล้ว
ตระกูลจงไม่รู้เพราะเหตุใด จึงแบ่งเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งภักดีกับอ๋องรุ่ยเช่นเดิม อีกฝ่ายสวามิภักดิ์รัชทายาท จงอิ้งซียิ่งพยายามสุดความสามารถ แต่งเข้าไปในตระกูลหวัง ดังนั้น แม้ว่าอ๋องรุ่ยจะเสียท่า แต่ตระกูลจงก็ยังคงสามารถเหลือคนจำนวนหนึ่งไว้ในราชสำนักเพื่อให้ฮ่องเต้องค์ใหม่ใช้การได้ เพียงแต่คิดจะฟื้นฟูให้ตระกูลกลับมาสูงส่งเย่อหยิ่งทั้งไร้ใครเทียบเทียมเหมือนเจ็ดปีก่อนนั้นยังไม่รู้ว่าจะต้องดูแลจัดการอีกกี่ปี
“ตัวอย่างเช่นปีที่แล้ว พี่สะใภ้ของลูกผู้พี่พาลูกพี่ลูกน้องของตระกูลเดิมนางมาร่วมงานประลองยุทธ์ ป้าสะใภ้รองยิ่งกล่าวอย่างน่าเกลียดตรงๆ ว่าจะมอบหญิงสาวที่เพียบพร้อมของตัวเองแต่งให้กับพี่ใหญ่ หวังให้พี่ใหญ่สามารถแต่งในฐานะภรรยา” ยามนี้พิงถิงเกลียดชังหญิงสาวที่กลัวว่าใต้หล้าจะไม่วุ่นวายพวกนี้เป็นที่สุด ที่บ้านของนางก็เช่นกัน เห็นได้ชัดว่าสวีปิ่งฮุยไม่มีใจรับอนุภรรยา แต่พวกลุงอาเหล่านั้นเพราะติดเรื่องอำนาจของตระกูลซั่งกวนรวมทั้งหลายปีนี้ได้รับความดูแลจากตระกูลซั่งกวน จึงไม่ได้ยื่นมือมายุ่งเกี่ยวเรื่องสามีภรรยาของตัวเองอย่างตรงๆ กระนั้นพวกผู้หญิงภายในจวนกลับไม่เหมือนกัน พยายามใช้เหตุผลต่างๆ ส่งคนเข้ามาในห้องของตน ราวกับอยากให้สวีปิ่งฮุยเป็นเจ้าบ่าวใหม่ทุกคืนอย่างไรอย่างนั้น
นางถูกสวีปิ่งฮุยบอกเป็นนัย จึงแสร้งโมโหกลับตระกูลซั่งกวนไปตรงๆ หลังจากหวงฝู่เยวี่ยเอ้อพูดคุยกับย่าของสวีปิ่งฮุยจึงค่อยจบลง แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ สวีปิ่งฮุยก็ยังรับอนุภรรยาหนึ่งคน เมียบ่าวอีกสองคน…พวกน้าสะใภ้ตระกูลสวีกล่าวว่า หากในห้องไม่มีกระทั่งคนคอยปรนนิบัติรับใช้หรือยืนอยู่ด้านหลัง สวีปิ่งฮุยย่อมไม่มีหน้ามีตา และนางก็จะขึ้นชื่อว่าเป็นคนขี้อิจฉา
ดีที่สวีปิ่งฮุยยังคงปฏิบัติกับนางเหมือนเช่นเคย อนุภรรยาคนนั้นเดือนหนึ่งก็ไปหาแค่ครั้งสองครั้ง เมียบ่าวสองคนยิ่งมาปรนนิบัติน้อยครั้งได้ หากไม่ใช่เช่นนั้น พิงถิงย่อมจะโมโหและเสียใจมากกว่านี้แล้ว สำหรับเรื่องนี้ นางไม่กล่าวโทษสามี หากไม่ใช่เพื่อให้ตัวเองไม่มีปัญหาอันใดมารบกวน ทั้งไม่แบกรับชื่อเสียงเสื่อมเสีย เขาก็คงไม่รับอนุภรรยา แต่กลับเคียดแค้นหญิงสาวแพศยาที่ขัดขวางความเจ้าชู้มักมากของสามีตนเองไม่ได้ จึงไม่อาจทนเห็นสามีภรรยาคนอื่นรักใคร่กลมเกลียวกันได้พวกนั้น
“แต่นั่นเกี่ยวข้องกับการกำจัดโม่จิ้งอย่างไร?” จิงอิ๋งเกลียดชังการกระทำของฮูหยินหวงฝู่และลูกสะใภ้นางเป็นอย่างมาก ยามนี้นางโชคดีที่สุดที่ได้แต่งกับคู่ครองที่ดี สามีไม่ได้พูดอะไรกับนาง ตระกูลสามีก็ไม่มีธรรมเนียมรับอนุภรรยาแต่อย่างใด แม้ว่าความสัมพันธ์ของแม่สามี พี่สะใภ้และสะใภ้จะซับซ้อนไปบ้าง แต่เมื่อไม่มีการรับอนุภายใน ก็อยู่อย่างเงียบสงบไม่น้อย
“เจ้าลองคิดดู พี่ใหญ่มีสาวงามคนสนิทเช่นนั้น ย่อมแสดงให้เห็นว่าพี่สะใภ้ไม่ใช่คนขี้อิจฉา แต่พี่ใหญ่ นอกจากพี่สะใภ้และคนผู้นั้นแล้ว ก็ไม่ได้มองใครอื่นอีก นี่เป็นเพียงอย่างแรก” พิงถิงเผยยิ้มร่าเริงอธิบายให้นาง “ครั้งก่อนยามที่ฮูหยินหวงฝู่จะยกน้องสาวอนุภรรยาที่โดดเด่นของตระกูลหวงฝู่ผู้นั้นเข้ามาในตระกูล ท่านแม่นั้นใจอ่อน จนแทบจะรับปากแล้ว…ไม่ใช่ว่าข้าอยากจะพูดไม่ดีกับท่านแม่ แต่บางครั้งนางก็ทำผิดอย่างง่ายดายเช่นกัน มักจะถูกคำพูดสวยหรูของคนอื่นรวมกับความเห็นอกเห็นใจหว่านล้อมโจมตี แต่ภายหลังเหตุใดไม่ได้รับปากเล่า? ไม่ใช่เพราะพี่ใหญ่กล่าวว่า จะแต่งคุณหนูตระกูลหวงฝู่ก็ได้ แต่อันดับแรกต้องรับโม่จิ้งเข้าตระกูลมาในฐานะภรรยารองก่อน ท่านแม่ที่ตกใจจึงถอยทัพกลับทันที เรื่องที่ท่านแม่ต่อต้านโม่จิ้งผู้นั้นพวกเจ้าก็คงรู้ดี ภายหลังหากนางพบเจอกับเรื่องเช่นนี้อีก ย่อมจะใคร่ครวญอย่างรอบคอบ ดังนั้น ข้าว่าการมีอยู่ของโม่จิ้งก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องแย่เสมอไป”
“คำพูดของพิงถิงมีเหตุผล อย่างไรฟังนางดีกว่าเถิด” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ทนกับหัวข้อสนทนานี้ไม่ไหวแล้วจริงๆ คนสองคนที่กลัวว่าใต้หล้านี้จะไม่วุ่นวายสบสายตากันอย่างจนใจ ไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ชั่วคราว
“อย่างไรไปอุ้มพี่น้องเซียวเฉียงมาเล่นดีกว่า” หลิงลี่มีเป้าหมายใหม่ เผยยิ้มกับหลิงหลง “เจ้าอย่าได้คิดว่าพี่น้องเซียวเฉียง เซียวเวยหน้าไม่เหมือนกันแล้ว นิสัยจะแตกต่างเช่นกัน พวกนางสองคนนั้นรู้ใจกันยิ่งกว่าพี่น้องฝาแฝดเสียอีก คนหนึ่งมองอะไร อีกคนก็ทายออกมาได้แล้ว น่าสนใจไม่น้อย”
———————————–