เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 301 บทสรุปของนายท่านเยี่ยน
“เร็วกว่านี้อีก!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เร่งเร้าติดต่อกัน เซียวเฉียง เซียวเวยสองพี่น้องแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ร้อนใจและเสียกิริยาเช่นนี้มาก่อน ล้วนคว้าจับที่สามารถยึดตัวเองให้มั่นคงในรถม้าไว้ ไม่ให้ตัวเองโคลงเคลงไปมา
“มี่เอ๋อร์ ข้าจะเพิ่มความเร็วอีก เจ้าดูแลพวกลูกๆ ให้ดีเถิด” ซั่งกวนเจวี๋ยเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์เปิดผ้าม่านออกมา ก็เข้ามาพูดคุยกับนางทันที “พวกเราเดินทางติดต่อทั้งวันทั้งคืน ภายในเวลาเจ็ดวันย่อมสามารถไปถึงอู๋โจว ยามนี้เจ้ารีบไปก็ไม่มีประโยชน์”
“ข้ารู้ แต่ว่า…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มขมขื่นเล็กน้อย จากนั้นเห็นลูกคนรอง ซั่งกวนเจานั่งม้าตัวเดียวกับซั่งกวนเจวี๋ยก็กล่าว “เจาเอ๋อร์เหนื่อยหรือยัง หากเหนื่อยก็มานั่งพักในรถม้า”
“ข้าไม่เหนื่อย ยังขี่อีกสักพักได้ แต่ท่านพี่เหมือนว่า…!” ซั่งกวนเจาส่ายศีรษะ เด็กอายุสิบกว่าปีนั้นรู้ความไม่น้อย
“หมิงเอ๋อร์…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถอนหายใจ “เจวี๋ย ไม่อย่างนั้นให้คนกลุ่มหนึ่งคุ้มกันหมิงเอ๋อร์ล่วงหน้าไปก่อน ให้เขาสามารถไปพบท่านพ่อที่อู๋โจวได้เร็วหน่อย”
ไม่รู้ว่าเพราะชะตาพันผูกหรือไม่ บรรดาลูกๆ ของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ทั้งสี่คน ซั่งกวนหมิงและนายท่านเยี่ยนมีความสัมพันธ์สนิทสนมลึกซึ้งมากที่สุด ทั้งสองคนเขียนจดหมายหากันบ่อยๆ ทุกสามสี่เดือน นายท่านเยี่ยนมักจะมาเยี่ยมเยียนเด็กๆ และมี่เอ๋อร์ที่ลี่โจว ทั้งยามที่มา ซั่งกวนหมิงก็มักจะเดินตามนายท่านเยี่ยนไม่ห่างไปไหน คนหนึ่งเด็กคนหนึ่งแก่รื่นเริงเสียกว่าอะไร
“ก็ดี!” ซั่งกวนเจวี๋ยพยักหน้า ควบม้าขึ้นไปคุยกับซั่งกวนหมิงทันที เขาผงกศีรษะ ส่งสัญญาณมือให้มี่เอ๋อร์ที่นั่งในรถม้า ก่อนจะตะบึงม้าออกไปจากขบวนรถ คนอีกสี่ห้าคนรีบควบม้าตามไปทันที เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ในใจก็เศร้าโศกไม่น้อย กลับเข้ามานั่งในรถม้าดีๆ อีกครั้ง
หลายปีมานี้เยี่ยนมี่เอ๋อร์กลับอู๋โจวไม่บ่อยนัก ทุกครั้งล้วนไปทำความสะอาดสุสานให้กับจงเสวี่ยฉิงและพวกท่านตา น้อยครั้งที่จะพำนักอยู่ในตระกูลเยี่ยน แต่ครั้งนี้กลับได้รับจดหมายจากไท่ไท่เยี่ยน กล่าวว่านายท่านเยี่ยนล้มหมอนนอนเสื่อ หมอบอกว่าคงไม่ไหวแล้ว เพียงมีชีวิตรอดผ่านไปเป็นวันๆ เท่านั้น ยามนี้ใช้โสมคนยืดอายุไว้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะประคองได้อีกนานเท่าใด
ข่าวนี้สำหรับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ต่างจากอะไรกับฟ้าผ่าตอนกลางวัน สำหรับซั่งกวนหมิงยิ่งเป็นฝันร้ายที่ไม่อยากจะเชื่อ ยามที่เขาได้ยินข่าวนี้ ล้วนยืนแข็งทื่อ คล้อยหลังก็หุนหันพลันแล่นจะล่วงหน้าไปอู๋โจวเพียงลำพังก่อน เป็นซั่งกวนเจวี๋ยที่ขัดขวางเขาไว้อย่างฉับไว จากนั้นก็เตรียมตัวอย่างรีบเร่ง ออกเดินทางในวันที่ได้รับข่าวทันที
เช้าตรู่วันที่หก ขบวนรถของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่เดินทางแบบไม่หยุดพักก็ถึงอู๋โจว ให้คนพาเด็กทั้งสามคนที่เหนื่อยล้าจนแทบไม่ไหวไปพักผ่อน เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ชักช้า ตามไปห้องนอนของนายท่านเยี่ยนทันที ไท่ไท่เยี่ยนและพวกพี่ๆ ไม่กี่คนเฝ้าอยู่ที่โถงเล็กนอกห้องนอน ล้วนแต่พากันดวงตาแดงก่ำ ชั่วพริบตานั้นใจของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ตกลงไปอยู่เบื้องล่าง ขาอ่อนทันที หากไม่ใช่ว่าซั่งกวนเจวี๋ยพยุงไว้ทันเวลา คงจะหกล้มลงไปแล้วจริงๆ
“มี่เอ๋อร์ เจ้ารีบเข้าไปดูเถิด” ไม่กี่ปีมานี้ความสัมพันธ์ของไท่ไท่เยี่ยนและเยี่ยนมี่เอ๋อร์นับว่ายังไม่ถึงขั้นที่ดี แต่ก็ไม่ได้มองกันเป็นศัตรูเหมือนยามที่มี่เอ๋อร์ยังไม่แต่งงาน ไม่เย็นชาหรือเป็นมิตรจนเกินไป เมื่อเห็นชั่วขณะที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ใบหน้าซีดเผือดทั้งคล้ายกับยืนไม่มั่นคง ย่อมรู้ว่าตัวเองเข้าใจอะไรนางผิดไป กล่าวออกมาทันที
ริมฝีปากเยี่ยนมี่เอ๋อร์กระตุกสั่น พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว ซั่งกวนเจวี๋ยประคองนางเข้าไปในห้องนอนนายท่านเยี่ยน เห็นซั่งกวนหมิงและเด็กผู้ชายที่อายุไล่เลี่ยกับเขาอีกคนกำลังยืนอยู่ตรงหน้าต่าง ซั่งกวนหมิงฟื้นคืนท่าทีเป็นปกติแล้ว ไม่ได้เผยความกังวลเมื่อก่อนหน้านี้
“เทาเอ๋อร์ออกไปก่อนเถิด ข้าและน้าของเจ้าจะคุยกันหน่อย” นายท่านเยี่ยนเห็นใบหน้าซีดเซียวของมี่เอ๋อร์ ก็ส่งยิ้มอบอุ่นให้นาง ก่อนกล่าวกับเด็กคนนั้น เขาคือลูกคนสุดท้องของคุณหนูใหญ่เยี่ยน ถูกนายท่านเยี่ยนเก็บมาเลี้ยงดูเมื่อสิบปีก่อน ยามนี้จึงเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของตระกูล
“อื้ม!” เยี่ยนเทาดวงตาแดงก่ำเล็กน้อย เขาไม่ได้พูดมากอันใดก็จากไป ทั้งซั่งกวนเจวี๋ยและซั่งกวนหมิง หลังจากทักทายไถ่ถามกันดีแล้วก็ออกไปเช่นกัน ไม่นานข้างเตียงของนายท่านเยี่ยนจึงเหลือเพียงเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่รู้สึกลำคอติดขัด ไม่อาจจะพูดอะไรออกมาได้
“มี่เอ๋อร์เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา เหตุใดเจ้ายังไม่ทะลุปรุโปร่งอีก?” นายท่านเยี่ยนยิ้มทั้งส่ายหน้า “เจ้าเป็นคนที่ไม่ควรเสียใจมากที่สุด ไฉนเจ้าก็มีสภาพเหมือนพวกเด็กๆ ไปได้?”
“ท่านพ่อ…” มี่เอ๋อร์จับมือนายท่านเยี่ยนไว้ คิดที่จะจับเขาไว้เช่นนี้ ไม่ปล่อยให้เขาจากตัวเองไป
“ข้าไม่รู้สึกว่าการเผชิญกับความตายจะเป็นเรื่องที่เจ็บปวดอะไรแม้แต่น้อย” นายท่านเยี่ยนเผยยิ้มบาง “ไม่ใช่ว่าข้าไม่อาลัยอาวรณ์ต่อโลกใบนี้ ข้าอยากจะสามารถมองเจ้าได้ตลอดไป อยากเห็นพวกหมิงเอ๋อร์เติบโตเป็นผู้ใหญ่ ทั้งอยากเห็นพวกเขาแต่งงานมีครอบครัว แต่ว่า แม่ของเจ้ารอข้ามานานมากแล้ว ข้าไม่อยากให้นางเอาแต่รออยู่เช่นนั้น อย่างไรข้าไปหานางเร็วหน่อยย่อมดีกว่า จะได้บอกนางว่า ลูกสาวของพวกเราเป็นเด็กดี มีความสุขมาก เป็นแม่เด็กถึงสี่คนแล้ว ข้ายังต้องให้นางเติมเต็มคำสัญญาของพวกเรา ไปบนบานที่หินสามภพ ให้ชาติหน้ามีชะตาได้พานพบกัน…เจ้าเชื่อหรือไม่? ชาติหน้าข้าย่อมสามารถแต่งกับมารดาของเจ้าได้อีกแน่”
“ข้าเชื่อ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์อดสะอึกสะอื้นไม่ได้อยู่บ้าง นางนั้นมองชีพจรของนายท่านเยี่ยนออก เขาไร้ทางจะช่วยกลับมาได้แล้วจริงๆ แม้อินหงหลันจะสามารถมาทันเวลา ก็เพียงยืดเวลาให้เขาไม่กี่วันเท่านั้น เดิมทีย่อมไร้ทางจะดึงพลังชีวิตที่ดับสูญของเขากลับมา
“มี่เอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงมั่นใจเช่นนี้?” นายท่านเยี่ยนถามอย่างมีลับลมคมนัย เวลานี้จู่ๆ เขาก็เหมือนกับเด็กซุกซนคนหนึ่งขึ้นมา ดวงตาปรากฏแสงแปลกๆ วาบผ่าน
“ลูกไม่รู้!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองใบหน้าที่สดใสขึ้นมาโดยพลันของเขา กลับเจ็บปวดในใจ “อย่าพูดถึงความคิดนายท่านทำให้มี่เอ๋อร์ยากจะคาดเดาเลย แต่หมิงเอ๋อร์ก็ไม่รู้ว่าเรียนอะไรมาจากท่าน ความคิดของเขา ข้าเดาถูกน้อยครั้งเช่นกัน เขาถูกท่านสอนจนเสียคนแล้ว แทบจะเป็นจิ้งจอกตัวน้อยเจ้าเล่ห์คนหนึ่ง!”
ความคิดของซั่งกวนหมิงนับวันก็ยากจะคาดเดาขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะมองอย่างไรล้วนเหมือนแสร้งทำเป็นฉลาดอยู่บ้าง แต่มี่เอ๋อร์รู้ดี นั่นเป็นเพียงการป้องกันตัวอย่างหนึ่งของหมิงเอ๋อร์เท่านั้น ยามนี้เขาให้ความรู้สึกโดดเด่นที่สุดในบรรดาคุณชายตระกูลใหญ่ ฉลาดและหลักแหลมโดยกำเนิด แต่ก็มีความใจร้อนและอวดดีอยู่บ้างเช่นกัน หากไม่ใช่ว่าลูกชายห่างจากสายตาของนางไม่นาน ทั้งแต่ไหนแต่ไรนางก็ไม่เคยทิ้งความสนใจต่อพวกลูกๆ มาก่อน นางก็อาจจะถูกลูกชายตัวเองปั่นหัวแล้วจริงๆ
ซั่งกวนฮ่าวและซั่งกวนเจวี๋ยกลับยังดี รู้ว่านั่นเป็นด้านที่แท้จริงของเขา ชื่นชมที่เขาสามารถทำได้เช่นนี้เป็นอย่างมาก แต่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกลับแสดงความกังวลต่อเรื่องนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นห่วงว่าหลานคนโตของตัวเองจะกลายเป็นคุณชายที่ไม่เจียมตัว จองหองทะนงตนจริงๆ แทบที่จะถูกหลอกโดยสิ้นเชิง และเรื่องพวกนี้ล้วนมีแบบอย่างมาจากนายท่านเยี่ยน เขาคิดจะเลี้ยงหลานให้เป็นจิ้งจอกที่มากประสบการณ์
“แบบนี้ไม่ใช่ยอดเยี่ยมหรอกหรือ?” นายท่านเยี่ยนหัวเราะเสียงดัง “ต้นไม้ที่สูงเด่นเกิน ย่อมถูกลมพัดหักโค่น หมิงเอ๋อร์เป็นลูกชายคนโตของตระกูลซั่งกวน ฐานะก็แข็งแกร่งพอแล้ว แม้เขาจะมีความสามารถดาษดื่น ก็คงมีคนชมเขาว่าไม่ธรรมดาอยู่ดี เช่นนั้นเขาย่อมไม่มีความจำเป็นต้องโดดเด่นมากมาย อวดตนปล่อยให้เป็นเรื่องของคนอื่น พวกเราได้ประโยชน์ในความเป็นจริงก็เพียงพอแล้ว”
“ใช่แล้ว ล้วนเป็นนายท่านเยี่ยนที่สอนได้ดี!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ชมด้วยใจจริง คุณชายลูกหลานตระกูลใหญ่ที่ไปมาหาสู่ก็มีไม่น้อย ผู้ที่โดดเด่นช่วงนี้ก็คือคุณชายใหญ่ตระกูลทั่วป๋าคนนั้น เห็นได้ชัดว่ากลายเป็นแม่ทัพแนวหน้าของคุณชายตระกูลใหญ่ในรุ่นนี้ แต่มู่หรงอวี้เฉินของตระกูลมู่หรงกลับดีต่อหมิงเอ๋อร์เหมือนอย่างเช่นเคย ทั้งสองคนแสดงความเห็นถึงคุณชายใหญ่ตระกูลทั่วป๋าคนนั้น ผลสรุปออกมาทำให้มี่เอ๋อร์ที่ได้ยินเข้าโดยไม่ตั้งใจแทบจะหลุดหัวเราะออกมา ผลสรุปนั้นก็คือ…เป็นคนซื่อบื้อที่ไม่เลวคนหนึ่ง!
“แน่อยู่แล้ว!” นายท่านเยี่ยนก็คิดว่าความดีของตนนั้นมีไม่น้อย กล่าวด้วยรอยยิ้ม “มี่เอ๋อร์ เจ้ารู้ว่าหลายปีมานี้ข้าเอาแต่ปิดบังไท่ไท่เรื่องที่ข้าเอาทรัพย์สินส่วนตัวบางส่วนของข้าและเงินที่รีดไถเงินจากทางเซียวเหยาโหวมาใช้ในการปูทางสร้างสะพาน…ที่จริง ข้ากลับไม่มั่นใจว่าหลังจากตายแล้วจะไปเมืองผี ไม่กล้ามั่นใจว่าจะมีชาติหน้า ทั้งไม่กล้ามั่นใจว่าอาศัยเพียงประสงค์ของข้าและมารดาของเจ้าก็สามารถทำให้พวกเรากลับมาพานพบในชาติหน้าได้อีกครั้ง แต่ว่า ข้าไม่อยากละทิ้งโอกาสและความเป็นไปได้อันใด ดังนั้น หลายปีมานี้ข้าจึงทำกุศลผลบุญมาโดยตลอด เพื่อสามารถเป็นเงินทุนอย่างหนึ่งให้กับตัวเองและแม่เจ้าได้ การปูทางสร้างสะพานเป็นการนำพาประโยชน์มาให้ประชาชนมากมาย เป็นบุญกุศลอันใหญ่หลวง เพียงแต่เพราะข้าจงใจทำ ทั้งหวังผลตอบแทน อาจจะถูกหักไปบ้าง แต่ข้าคิดว่าไม่ว่าจะถูกหักอย่างไร ก็คงจะเหลืออยู่สักหน่อยกระมัง! หลายปีมานี้ไม่เคยยอมแพ้และท้อใจ ดังนั้น ข้าเชื่อว่าข้าย่อมต้องสามารถสร้างชาติภพหน้าที่ดีได้ ชาติหน้าที่มีแม่ของเจ้าเป็นคู่ครองชั่วชีวิต”
“ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวทั้งแสบจมูก “ท่านแม่เป็นคนหลักแหลม นางย่อมเพิ่มบุญกุศลให้พวกท่านทีละเล็กทีละน้อยในปรโลกเป็นแน่ ไม่อาจทำให้คลาดกัน พวกท่านต้องสามารถพบพาน นัดหมายในชาติหน้า ทั้งยังเป็นชาติหน้าที่มีความสุข”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น” นายท่านเยี่ยนพึงพอใจที่ลูกสาวเห็นด้วยกับความคิดตน กล่าวยิ้มๆ “มี่เอ๋อร์ ข้าไม่ใช่พ่อที่ดีเท่าใด ทั้งน้อยครั้งที่จะทำเรื่องที่คนเป็นพ่อควรทำ นอกจากไม่สามารถคุ้มกันลมฝนให้เจ้าได้ ยังมักบีบให้เจ้าเรียนรู้ที่จะเผชิญพายุที่บ้าคลั่งด้วยตัวเอง แต่เมื่อถึงวาระสุดท้าย ข้ากลับมีเรื่องอยากขอร้องเจ้าให้ทำเพื่อข้า”
“ท่านพูดเถิด” มี่เอ๋อร์กระจ่างใจดีว่าเขากำลังสั่งเสียอยู่ เค้นคำพูดสามคำที่หนักอึ้งออกมาอย่างยากลำบาก
“ข้าเคยสัญญากับแม่เจ้า จะพยายามฝังศพร่วมกับนาง แต่ว่า ไท่ไท่ย่อมไม่ยอมให้เกิดเรื่องเช่นนั้น พวกเราทำได้เพียงใช้วิธีที่ได้ผลดีทั้งสองฝ่าย” ใบหน้าของนายท่านเยี่ยนปรากฎรอยยิ้มออกมา “เมื่อข้าตายแล้ว หลังจากบรรจุในโลง ไม่ว่าจะใช้วิธีอะไรก็ดี ย่อมต้องสับเปลี่ยนศพของข้าออกมาให้ได้! เผาแล้วโปรยกระดูกที่บนหลุมศพของแม่เจ้าก็ดี ขุดหลุมข้างสุสานแม่ของเจ้าให้ข้าก็ได้ ขอเพียงให้ท้ายที่สุดข้าสามารถอยู่กับแม่ของเจ้าได้ก็เพียงพอแล้ว”
“ข้าย่อมจะทำอย่างเหมาะสม” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เจ็บปวดในใจ ทว่าใบหน้ากลับยังคงประดับรอยยิ้ม
“ต้องทำให้ดีๆ ล่ะ!” นายท่านเยี่ยนกล่าวกำชับซ้ำแล้วซ้ำเล่า “แต่ไหนแต่ไรข้าก็ไม่เคยทรยศหรือผิดสัญญากับเรื่องที่ข้าเคยรับปากกับแม่ของเจ้ามาก่อน เจ้าอย่าได้ให้ข้าแบกรับชื่อเสียงผิดคำสัญญาตอนที่ตายไปแล้วเชียว!”
“ท่านวางใจเถิด!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์บิดหน้า น้ำตาที่อดไว้ไม่ไหวไหลลงมาจากขอบตา…
ห้าวันหลังจากนั้น นายท่านเยี่ยนได้ลาจากโลกนี้ไปในความฝัน เขาไปอย่างสงบ ไม่ได้รับความเจ็บปวดอันใดมาก เยี่ยนมี่เอ๋อร์เพียงน้ำตาไหลริน กลับไม่ได้ส่งเสียงร่ำไห้ออกมา ซั่งกวนหมิงกัดริมฝีปากตัวเองแน่น เลือดนั้นไหลลงที่มุมปาก น้ำตากลอกกลิ้งอยู่ภายในดวงตา แต่กลับไม่ไหลลงมาสักหยดเดียว ซั่งกวนเจากลับร้องไห้เสียงดังอย่างเศร้าโศกเสียใจเป็นเพื่อนกับน้องสาวสองคน…
เย็นของวันต่อมา คนชุดดำห้าหกคนก็สับเปลี่ยนร่างแข็งทื่อนั้นออกมา คืนนั้นลูกน้องฝีมือดีที่ซั่งกวนเจวี๋ยตั้งใจหามาก็ฝังร่างของเขาไว้ในโลงศพของจงเสวี่ยฉิง เบียดเสียดกันแน่นอยู่เช่นนั้น ไม่มีผู้ใดแทรกกลางระหว่างพวกเขาอีกแล้ว…
———————————–