เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 305 บทสรุปการเป็นพ่อแม่นั้นไม่ง่าย
“ช่วงนี้เจาเอ๋อร์ทำตัวเด่นเกินไปอยู่บ้าง เจ้าให้เขาสงวนท่าทีหน่อยเถิด” ซั่งกวนเจวี๋ยยืนถือถ้วยชาอยู่ตรงหน้าต่างกล่าวกับซั่งกวนหมิง เขากระจ่างใจดี ลูกชายคนรองที่ดื้อรั้น มีวงแหวน ‘เปล่งประกายที่สุดทั้งโดดเด่นที่สุดของตระกูลใหญ่’ สวมอยู่บนหัวผู้นั้น คนที่เขาเกรงกลัวที่สุดมีเพียงสองคน คนแรกคือเยี่ยนมี่เอ๋อร์ อีกคนคือซั่งกวนหมิง เด็กคนนั้นอายุสองปีกว่าเพิ่งเข้าเรือนพำนักอวี้ฉิงก็ถูกซั่งกวนหมิงฝึกฝนอย่างเข้มงวดแล้ว แม้ว่าในยามที่เจอเขาจะไม่เหมือนกับตอนที่อยู่ต่อหน้าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ขนาดนั้น เชื่องราวกับหนูที่อยู่ใต้กรงเล็บแมว แต่แค่เชื่อฟังทำตามก็เพียงพอแล้ว
“เข้าใจแล้ว” ซั่งกวนหมิงแอบแลบลิ้นออกมา รู้ว่าช่วงนี้น้องชายที่ฟังคำแนะนำของตัวเองทำตัวเด่นเกินไปอยู่บ้างจึงถูกบิดาเห็นเข้า รีบรับปากอย่างนอบน้อมทันที แต่เขาทำเช่นนั้นก็จำใจเช่นกัน!
เรื่องที่ฟางอวี๋ซวี่ตั้งท้องไม่ใช่ความลับ แม้ในสายตาคนอื่นตัวเองจะดูเป็นคนธรรมดา ไม่มีเรื่องอันใดสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอัน แต่อย่างไรก็มีชื่อเป็นลูกชายคนโตภรรยาเอกของตระกูลซั่งกวน ตระกูลใหญ่หลายตระกูลหลังจากที่รู้ว่าฟางอวี๋ซวี่ตั้งครรภ์ก็พากันคิดแผนการ ล้วนอยากฉวยโอกาสเช่นนี้ส่งคนมาข้างกายเขา ท่านแม่ก็ถูกคนที่มาเยี่ยมเยียนแต่ละประเภทพวกนั้นทำให้หงุดหงิดจนหน้าเปลี่ยนสี ยื่นคำขาดออกมา…ตัวเองต้องจัดการคนพวกนั้น อย่ามาสร้างปัญหาให้ผู้เป็นมารดา!
ดังนั้น หลังจากซั่งกวนหมิงพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วก็ถีบน้องชายออกมา ให้เขาเป็นผู้ที่มีความมุ่งมั่นที่สุด ทั้งเป็นผู้ที่บรรดาคุณชายในตระกูลใหญ่ไม่อาจล่วงเกินได้ที่สุด เมื่อประชันวิชาความรู้ทั้งวรยุทธกับคุณชายตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงเหล่านั้นไม่กี่ครั้ง จึงมีหน้ามีตาขึ้นมา เป็นที่เทิดทูนของพวกคุณชายตระกูลใหญ่ทั้งหลาย ทั้งชนะใจและได้รับการยอมรับจากคุณหนูสูงส่งวัยแรกรุ่นพวกนั้น เยี่ยนมี่เอ๋อร์ในยามนี้ยังคงรำคาญใจไม่จบไม่สิ้น กลับไม่ใช่เพราะปฏิเสธฮูหยินตระกูลใหญ่ที่คิดจะส่งลูกอนุมาเป็นบ้านเล็กให้ลูกชาย แต่ต้องรับมือกับคุณหนูลูกภรรยาเอกที่คิดจะมาทาบทามซั่งกวนเจา เยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่รู้ว่าเป็นอุบายของซั่งกวนหมิง ไม่อาจจับลูกชายคนโตที่ลื่นไหลได้ จึงส่งซั่งกวนเจวี๋ยมารับหน้าที่นี้แทน
“ท่านแม่โกรธใช่หรือไม่?” ซั่งกวนหมิงรู้ว่ายามนี้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ย่อมต้องโกรธมากเป็นแน่ แต่เขาไม่กังวลปัญหานี้แม้แต่น้อย อย่างไรเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ไม่ระบายความโกรธกับผู้บริสุทธิ์อยู่แล้ว(ฟางอวี๋ซวี่)ส่วนตัวเองขอเพียงแค่ระมัดระวังรอบคอบหน่อย ไม่ถูกจับได้อย่างตรงๆ ย่อมไม่อาจมีเรื่องอันใด
“ไม่โกรธได้หรือ?” ซั่งกวนเจวี๋ยส่ายศีรษะ กล่าวอย่างจนใจ “อวี๋ซวี่ท้องแรก ปกติธรรมดานางก็เลอะเลือนพอแล้ว ข้อห้ามอะไรล้วนไม่สนใจ คาดไม่ถึงว่าเมื่อวานเพราะอากาศร้อนจึงแอบพวกสาวใช้แม่นมไปเล่นน้ำริมทะเลสาบ ยามที่แม่ของเจ้ารู้ก็เหงื่อเย็นชุ่มร่าง ยังไม่พูดถึงนางเล่นน้ำจะจับไข้หรือไม่ แต่ตะไคร่น้ำริมทะเลสาบนั้นมีมาก แม้จะมีคนทำความสะอาดทุกวัน ก็ย่อมมีที่ที่กำจัดไม่สะอาดอยู่บ้าง ในยามนี้นางก็ไม่อาจทำอะไรได้คล่องแคล่ว หากไม่ระวังลื่นล้ม…”
“ข้าตำหนินางไปแล้ว นางก็รับปากว่าจะไม่ทำผิดเช่นนั้นอีก” ยามที่ซั่งกวนหมิงรู้เรื่องนี้กลับไม่ได้ตื่นตระหนกตกใจอันใดมาก ฟางอวี๋ซวี่ชอบเล่นสนุกเกินไปบ้าง แต่เมื่อกลับมาอย่างปลอดภัย ก็ไม่มีความจำเป็นต้องซักไซ้ไล่เลียงให้มากความ อีกอย่าง เยี่ยนมี่เอ๋อร์ดูแลเรื่องในบ้านมาเกือบยี่สิบปี ในจวนนั้นสามารถพูดได้ว่าถูกนางควบคุมไว้ทั้งหมด เขาไม่กังวลแม้แต่น้อยว่าภรรยาจะมีเหตุไม่คาดฝันอันใดภายใต้การดูแลของท่านแม่
“เจ้านี่นะ…” ซั่งกวนเจวี๋ยจนใจเป็นอย่างมาก บ่อยครั้งที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์มีความรู้สึกอยากร้องไห้แต่ร้องไม่ออก คิดว่าซั่งกวนหมิงเลือกลูกสะใภ้เช่นนี้เพื่อกลับมาทรมานจิตใจของตัวเอง เมื่อก่อนคิดว่านางเซ่อซ่าไปบ้างก็ยังพอน่าเอ็นอยู่ ยามนี้รู้สึกเป็นปัญหามากกว่า
“แม่ของเจ้าฝากให้ข้ามาบอกเจ้า หากเจ้ายังคิดตามใจปล่อยฟางอวี๋ซวี่เดินเล่นเซ่อซ่าต่อไป แม่เจ้าจะขังนางไว้ในเรือนตะวันออกเสีย สถานที่ที่อาจจะเป็นอันตรายล้วนไม่อนุญาตให้นางเข้าใกล้” นี่เป็นการยื่นคำขาดอีกครั้งของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ยามนี้นางตั้งท้องห้าหกเดือนแล้ว หญิงท้องปกติแล้วมักจะอยู่บำรุงครรภ์อย่างสงบเสงี่ยม เหตุใดนางจึงคิดแต่จะเล่นสนุก? เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่อยากให้เกิดความผิดพลาดอันใดกับหลานชายหรือหลานสาวคนแรกของตัวเอง แต่ฟางอวี๋ซวี่แทบจะไม่ตระหนักถึงเรื่องนั้นแม้แต่น้อย
“ข้าจะพยายาม” ซั่งกวนหมิงรู้ว่ามารดานั้นแทบจะถึงขีดสุดแล้ว ดูแลเรื่องมากมายในจวนไม่ใช่เรื่องง่ายดาย แม้เยี่ยนมี่เอ๋อร์จะทำมาหลายปีขนาดนั้น แต่ทุกวันอย่างน้อยต้องหาเวลาว่างหนึ่งถึงสองชั่วยามออกมาตรวจสอบไถ่ถาม ป้องกันพวกบ่าวใช้ที่คิดว่าเจ้านายไม่เข้มงวด จึงคิดฉวยโอกาสแอบอู้ และยามนี้นางต้องจับตาดูฟางอวี๋ซวี่มากขึ้น ทั้งมักจะมีคนที่ยากจะปฏิเสธมาเยี่ยมเยือนโดยไม่ได้คาดหมาย นางไม่ถึงขีดสุดก็ย่อมแปลกแล้ว
“งานแต่งของเซียวเฉียงและเซียวเวยก็พูดถึงเรื่องลำดับขั้นตอนแล้ว พวกนางล้วนเข้าพิธีปักปิ่นหมดแล้ว เรื่องนี้ก็มอบให้เจ้าจัดการแล้วกัน” ซั่งกวนเจวี๋ยขัดแย้งเรื่องงานแต่งของลูกสาวสุดที่รักทั้งสองคนอยู่ในใจ แทบไม่อยากให้พวกนางโตเป็นผู้ใหญ่ ใช้ชีวิตอยู่ใต้ปีกของตัวเองไปชั่วชีวิต แต่เขายังจำต้องเผชิญหน้ากับความจริง รู้ว่าลูกสาวเติบใหญ่แล้ว หากไม่ฉวยโอกาสตระเตรียมให้เร็วหน่อยย่อมเป็นปัญหา จึงมอบเรื่องนี้ให้ลูกชายที่วางใจที่สุดเป็นคนรับผิดชอบ ตัวเองเพียงจ้องจับผิดอยู่ด้านข้างก็พอ ต้องเลือกลูกเขยอย่างพิถีพิถันจนตัวเองพอใจ ทั้งพวกลูกสาวพอใจก็เพียงพอแล้ว
“พวกนางรึ…” ซั่งกวนหมิงรู้สึกว่างานแต่งของน้องสาวทั้งสองเป็นเรื่องที่ยากที่สุดในใต้หล้าแห่งนี้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่พวกนางทั้งสองเจ้าเล่ห์หลักแหลม แต่ยังใจตรงกันจนแทบไม่ต้องพูดอะไรออกมา ทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน เยี่ยนมี่เอ๋อร์ล้วนยากที่จะจัดการ หาตระกูลสามีให้พวกนางย่อมเป็นเรื่องที่ยากจริงๆ!
“รู้สึกว่ายากอย่างนั้นหรือ?” ซั่งกวนเจวี๋ยมองแววตาลูกชายแวบเดียวก็รู้แล้วว่าเขาปวดเศียรเวียนเกล้า ลูกสาวทั้งสองคนก็เป็นความภาคภูมิใจของเขาเช่นกัน แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า การหาสามีที่เหมาะสมให้เด็กแสบทั้งสองคนนี้เป็นเรื่องที่ปวดหัวจริงๆ
“จะไม่ยากได้หรือ?” ซั่งกวนหมิงย้อนถาม การแต่งงานของน้าทั้งสามคนเขาล้วนเห็นมาหมด ผู้ที่โชคดีที่สุดคือจิงอิ๋ง มีธรรมเนียมตระกูลที่เข้มงวด สามีที่เอาใจใส่ ลูกชายและลูกสาวที่ให้ความสนิทสนม ปฏิสัมพันธ์กันอย่างง่ายดาย ทำให้นางยังคงรักษารอยยิ้มหวานที่บริสุทธิ์ได้ หลิงหลงและพิงถิง แม้ว่าจะโชคดีเช่นกัน แต่พวกพี่สะใภ้ตระกูลชุยมักจะทนเห็นชุยฮ่าวหรันมีแค่นางคนเดียวมานานหลายปีไม่ได้ พยายามคิดทุกวิถีทางทำให้นางจำต้องฝืนยิ้มรับอนุเมียบ่าวเหมือนตัวเอง เมื่อไม่ได้ผล ข่าวลืออะไรก็ล้วนปล่อยออกมา ภายหลังชุยฮ่าวหรันพูดคุยจริงจังกับพี่ชาย จึงหยุดหญิงสาวที่ขี้อิจฉาน่าเบื่อหน่ายพวกนั้นไว้ได้ แต่วันปกติธรรมดา เรื่องที่น่าลำบากใจก็ยังคงเกิดขึ้นบางครั้งบางครา ส่วนพิงถิง อนุภรรยาและเมียบ่าวของสวีปิ่งฮุย ไม่จำเป็นต้องให้นางลงมือ ก็ถูกสวีปิ่งฮุยไล่ไปเอง แต่ตระกูลสวีมีสภาพแวดล้อมที่นับว่าซับซ้อน ยังคงขัดเกลานางจนกลายเป็นนายหญิงที่หลักแหลมปราดเปรื่องคนหนึ่ง มีเพียงยามที่นางกลับตระกูลซั่งกวนเท่านั้นจึงจะสามารถเห็นนางเล่นตลกอย่างไร้เดียงสาได้
“แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องยาก แต่ก็ไม่ได้ยากลำบากอย่างที่เจ้านึกถึงขนาดนั้น” ซั่งกวนเจวี๋ยรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้จิงอิ๋งมาเป็นตัวอย่าง พวกนางไม่ได้ใสซื่อเหมือนจิงอิ๋งถึงขนาดนั้น เด็กสองคนนี้มีหลายด้านที่เหมือนแม่ของเจ้า ดูแล้วเหมือนใสซื่อบริสุทธิ์ น่ารักอ่อนโยน แต่ในความเป็นจริงพวกนางก็นับว่าหลักแหลมมีไหวพริบ สิ่งที่สำคัญคือสามารถหาคนที่นางพอมองรื่นหูรื่นตา ทั้งยินดีที่จะครองคู่ไปชั่วชีวิต ส่วนอื่นๆ พวกนางย่อมจะวางแผนเอง ไม่จำเป็นต้องให้เจ้ากังวลแทนหรอก”
“ข้าเข้าใจแล้ว!” ซั่งกวนหมิงพยักหน้า เขาเพียงแค่เป็นห่วงและใส่ใจเกินไป ได้ยินซั่งกวนเจวี๋ยพูดเช่นนี้ ก็รู้สึกว่าตัวเองคล้ายจะลืมความเก่งกาจของน้องสาวทั้งสองคนไป พวกนางคนหนึ่งดูเหมือนอ่อนโยนใจกว้าง อีกคนน่ารักสดใส แต่นิสัยเนื้อแท้นั้นเหมือนกัน นั่นก็คือหลักแหลมมีไหวพริบ ถนัดการวางแผน คล้ายกับมารดาอยู่หลายส่วน ไม่ได้ดูง่ายๆ เหมือนภายนอก
“อีกอย่าง ทางที่ดีเจ้าและอวี๋ซวี่ควรจะเตรียมการณ์ไว้ หลังจากลูกกำเนิดแล้วไม่อาจให้อวี๋ซวี่ดูแลได้ แม่ของเจ้าเตรียมปรับเปลี่ยนเรือนเล็กด้านข้างเรือนของพวกเราให้เด็กน้อยพักอาศัยแล้ว พวกเราล้วนไม่วางใจให้นางเลี้ยงเด็กแม้แต่น้อย” ยามที่ซั่งกวนเจวี๋ยพูดประโยคนี้ล้วนมีแต่ความจนใจ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผ่านการครุ่นคิดครั้งแล้วครั้งเล่าจึงตัดสินใจเช่นนี้ออกมา ดูคล้ายไร้เหตุผลไปอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็ครุ่นคิดเพื่อเด็กจริงๆ ใครจะรู้ว่าแม่ที่ตัวเองยังดูแลไม่ได้นั้นจะสามารถเลี้ยงดูลูกได้ดีหรือเปล่า!
“ได้!” ซั่งกวนหมิงไร้ซึ่งความไม่พอใจ ตรงกันข้าม เขาเห็นด้วยกับการตัดสินใจของมารดา…เขาก็ไม่เชื่อว่าภรรยาของตนจะสามารถดูแลลูกได้ดีเช่นกัน นางไม่พาลูกซนจนเสียนิสัย เล่นถึงขั้นเกินพอดี ก็ขอบคุณสวรรค์มากแล้ว
“เจ้าไปทำเรื่องของเจ้าเถิด!” ซั่งกวนเจวี๋ยสั่นศีรษะ เขายังคงมีเรื่องน่าปวดหัวอีกเรื่องหนึ่งต้องทำ…เพราะฟางอวี๋ซวี่ตั้งครรภ์ ปีนี้เขาและมี่เอ๋อร์จึงไม่อาจไปเตร็ดเตร่ในยุทธภพด้วยกันได้ และลูกสาวทั้งสองก็เอ่ยออกมาแล้ว พวกนางไม่อยากทิ้งใครอีกคนเพื่อออกไปเพียงคนเดียว เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่มีแรงและเวลาจะจัดการกับเรื่องลูกสาวสองคนนี้ จึงมอบภารกิจที่ลำบากยากเย็นนี้ให้เขาแทน และเขาก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะเกลี้ยกล่อมลูกสาวทั้งสองได้แม้แต่น้อย ยามนี้เขาทำได้เพียงเตรียมการณ์ให้พวกนางไม่ให้พบเจอกับอันตรายหรือเหตุไม่คาดฝันเท่านั้น
“ท่านระวังตัวด้วย” ซั่งกวนหมิงรู้ดีว่าเป็นเรื่องอะไร ไม่กล้าจะเหนี่ยวรั้งไว้…เขาเชื่อว่า หากเขาเอ่ยปาก เรื่องพวกนี้ย่อมถูกซั่งกวนเจวี๋ยถือโอกาสส่งมอบให้กับตัวเองทำ และเขาไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเด็กสองคนนั้น ขอเพียงแค่พวกนางออดอ้อนอยู่ทั้งซ้ายและขวา นอกจากเขาจะคล้อยตามฟังตามคำสั่ง ก็ไม่มีกลยุทธ์ใดรับมืออีกแล้ว
“ข้าจะวางมือในไม่ช้า!” ซั่งกวนเจวี๋ยครุ่นคิดเรื่องนี้มานานแล้ว ยามนี้สถานการณ์โดยรวมมั่นคงเป็นอย่างมาก และลูกชายก็เหมาะจะรับตำแหน่งผู้นำตระกูลมากกว่าตัวเองแล้ว เขายังมีเจาเอ๋อร์ที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเท่าใด ทั้งยังให้ความเคารพนับถือเขาคอยช่วยเหลืออยู่ บางทีอีกสิบปีตัวเองอาจจะวางมือไปอยู่เบื้องหลังแล้ว เวลานั้นเขาและมี่เอ๋อร์คงจะผ่อนคลายลงแล้ว พวกเขาสามารถร่อนเร่พเนจรไปทั่ว คิดอยากจะเป็นแบบซั่งกวนอวี่ฮ่าวและชิงหวั่นเช่นกัน ประทับรอยเท้าทั่วขุนเขาลำเนาไพร ชื่นชมผืนแผ่นดินของตัวเองว่างดงามและล้ำค่าขนาดไหน นั่นเป็นชีวิตแสนสบายที่พวกเขาเอาแต่วาดฝันมาโดยตลอด
“ข้ารู้!” ซั่งกวนหมิงกระจ่างใจดี ยามนี้คนที่ซั่งกวนเจวี๋ยอิจฉาที่สุดก็คือท่านอาที่ไม่ต้องรับผิดชอบต่อกิจการของตระกูลผู้นั้น ทั้งรู้ว่าบิดาควบคุมดูแลกิจการและตระกูลมากมายเช่นนี้ ต้องยากลำบากขนาดไหน เขาสามารถเข้าใจความคิดของบิดาที่อยากเร้นกายออกไปได้ บางทียามที่ตัวเองอายุสี่สิบกว่าปีก็คงจะมีความคิดอย่างนี้เช่นกัน!
———————————–