เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 45 ลงมือ (4)
ไม่นานนัก ซั่งกวนเจวี๋ยที่รออยู่ด้านนอกห้องอ่านหนังสือมาสักพักแล้ว ก็เดินเข้ามาด้วยใบหน้านิ่งเรียบ ด้านข้างของเขายังมีแม่นมฉินที่ดูเปี่ยมไปด้วยกำลังวังชา ทั้งอู๋เลี่ยนเยี่ยนที่เพิ่งจัดการอาบน้ำสางผมมายกใหญ่
แววตาของอู๋เลี่ยนเยี่ยนแฝงไปด้วยความผิดหวัง ในยามที่อยู่เรือนตะวันออก นางก็ถูกคำพูดของแม่นมฉินโจมตีเสียยกใหญ่ จากนั้นก็ประคองความหวังสุดท้ายเอาไว้ ทว่าก็ถูกอนุภรรยาอู๋กล่าวอย่างไม่มีเยื่อใยว่า ‘ตีให้ตาย’ เพื่อขจัดปัญหาให้พ้นตัว ทำให้ความหวังสุดท้ายถูกตัดขาดออกไปทันที นางรู้ดี นางในยามนี้เหลือเพียงตัวเลือกเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ กอดขา เยี่ยนมี่เอ๋อร์ให้แน่น ทำให้เรื่องนี้สงบลง อย่าได้ดึงหลิงหลงมาเกี่ยวข้อง จึงจะสามารถเหลือทางรอดสุดท้ายให้กับตัวเองได้ ส่วนภายหลังจะเดินไปถึงจุดไหน เช่นนั้นก็ต้องอาศัยตนเองแล้ว
“คารวะคุณชายใหญ่!” อนุภรรยาอู๋คุกเข่าอยู่บนพื้นมาโดยตลอด เมื่อเห็นซั่งกวนเจวี๋ยเดินเข้ามา จึงหยัดกายขึ้นมาอย่างลุกลี้ลุกลนอยู่บ้าง ค้อมกายคารวะซั่งกวนเจวี๋ยอย่างกระวนกระวาย คล้อยหลังเห็นอู๋เลี่ยนเยี่ยนเดินตามหลังซั่งกวนเจวี๋ยมาก็กล่าวอย่างโมโห “เจ้าเด็กไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงคนนี้นี่ เจ้ากล้าถึงขนาด…”
“ขอนายท่านได้โปรดอภัยด้วย!” อู๋เลี่ยนเยี่ยนฉวยโอกาสยามที่ถูกอนุภรรยาอู๋ต่อว่าชิงคุกเข่าลงไป โขกศีรษะกับพื้นยอมรับผิดอย่างกลัวเกรง
“ให้อภัย? ตัวเจ้าเองเป็นคนกระทำผิด กลับยังลากคุณหนูมาเกี่ยวข้องด้วย ตระกูลซั่งกวนอาจจะเมตตาอภัยให้เจ้า แต่ไม่ใช่กับตระกูลอู๋แน่!” ลึกๆ ในใจของอนุภรรยาอู๋รู้สึกไม่ดีนัก อู๋เลี่ยนเยี่ยนไม่ได้มองแววตาของนาง ทั้งไม่ได้บอกนางเป็นนัยแต่อย่างใด หรือว่าเรื่องนี้จะผิดแผนไปแล้วจริงๆ?
“ที่แท้กฎของตระกูลซั่งกวนก็หละหลวมถึงเพียงนี้ เปิดหูเปิดตาให้แก่ข้าเสียจริง!” แม่นมฉินพูดแดกดันออกมาอย่างเรียบเย็น ทำให้อนุภรรยาอู๋ที่กำลังคิดจะดึงอู๋เลี่ยนเยี่ยนกลับมาอยู่ใต้กำมืออีกครั้งถึงกับชะงักไป
“เจวี๋ยเอ๋อร์ ผู้นี้คือ…” ซั่งกวนฮ่าวก็แข็งทื่อไปเช่นกัน เพียงแต่ยังสงวนท่าทีไว้อยู่บ้าง กล่าวถามออกไปทั้งๆ ที่รู้คำตอบอยู่แล้ว
“คารวะนายท่านซั่งกวน!” แม่นมฉินย่อกายคารวะซั่งกวนฮ่าวอย่างไม่ถ่อมตัวทั้งไม่เย่อหยิ่งจนเกินไป “ข้าแซ่ฉินเจ้าค่ะ เป็นแม่นมที่ดูแลคุณหนูห้าตระกูลเยี่ยน!”
“ที่แท้ก็เป็นแม่นมที่ดูแลคุณหนูห้าตระกูลเยี่ยนนี่เอง!” อนุภรรยาอู๋โกรธเคืองเป็นอย่างมาก เป็นเพียงบ่าวผู้หนึ่ง ถือสิทธิ์อันใดมาว่าตนไม่มีกฎระเบียบ นางกล้าพูดลอยๆ ขึ้นมาเช่นนั้นนั่นไม่ยิ่งไร้มารยาทมากกว่าหรือ
“ข้าเป็นแม่นมที่ดูแลคุณหนูห้า ทั้งยังเป็นแม่นมที่เลี้ยงดูไท่ไท่รอง มารดาผู้ให้กำเนิดของคุณหนูห้า ข้าอยู่ในฐานะผู้คุมกฎ!” แม่นมฉินกล่าวอย่างด้วยท่าทีน่ายำเกรง อนุภรรยาอู๋ก็ไร้คำพูดโดยทันที ประโยคที่ว่า ‘ผู้คุมกฎ’ ก็ได้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจน นางไม่ใช่เพียงแค่บ่าว แต่จะเป็นคนข้างกายของสะใภ้ใหญ่ในอนาคต ไม่มีความจำเป็นจะต้องเกรงใจกับอนุภรรยาผู้หนึ่ง
ยอดเยี่ยม! ซั่งกวนฮ่าวนับถืออยู่ในใจ ดูท่าแล้วแม่นมฉินผู้นี้ คงจะเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่ง เพียงแค่คำพูดสองสามประโยคก็ดึงฐานะของตนเองออกมา ทั้งทำให้อนุภรรยาอู๋ถึงกับชะงักไป ไม่ว่าใครก็ไม่อาจเสียมารยาทกับนางได้
“แท้จริงแล้วเป็นเช่นนี้นี่เอง นั่งลงก่อนเถิดแม่นมฉิน” ซั่งกวนฮ่าวให้ความเคารพกับนางมากขึ้น ในเมื่อแม่นมฉินเป็นแม่นมที่เลี้ยงดูมารดาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์และตัวเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ทั้งยังมีฐานะเป็นผู้คุมกฎ เช่นนั้นก็ย่อมต้องปฏิบัติต่อนางอย่างให้ความเคารพ
“นายท่านซั่งกวนไม่จำเป็นต้องเกรงใจไป ไม่ต้องนั่งหรอกเจ้าค่ะ ข้าได้รับคำสั่งให้มารับเลี่ยนเยี่ยน หากได้พาเลี่ยน เยี่ยนกลับไปให้คุณหนูเร็วเท่าไรก็จะเป็นการดีเท่านั้น!” แม่นมฉินกล่าวทั้งแย้มยิ้มอย่างอ่อนน้อม “กำหนดการแต่งงานก็ใกล้เข้ามาแล้ว งานใหญ่ต่างๆ ตระกูลซั่งกวนก็ส่งคนออกไปทำ คงไม่มีความจำเป็นต้องให้ข้าก้าวก่ายไถ่ถาม แต่คุณหนูของข้ามีเรื่องจุกจิกอีกเล็กน้อย ไม่อาจขาดข้าไปได้ ดังนั้นข้ากลับไปเร็วหน่อยจะเป็นการดีกว่าเจ้าค่ะ!”
“รับเลี่ยนเยี่ยน?” อนุภรรยาอู๋ขึ้นเสียงสูง มองแววตาของอู๋เลี่ยนเยี่ยนก็เห็นความชิงชังออกมาเช่นเดียวกัน
แม่นมฉินมองนางอย่างเยือกเย็นไปครั้งหนึ่ง ก็ไม่ได้สนใจนางอีก ทำเป็นคอยฟังคำตอบของซั่งกวนฮ่าว คล้ายกับอนุภรรยาอู๋นั้นไม่มีค่าให้เสียแรงพูดคุยด้วย
นี่นับเป็นการลบหลู่อย่างไม่คิดปิดบังสักนิด! อนุภรรยาอู๋แทบอยากจะกระโดดขึ้นมาด่าทอให้รู้แล้วรู้รอดไป หลายปีมานี้ แม้ว่าจะเป็นหวงฝู่เยวี่ยเอ้อที่เกลียดนางเข้ากระดูกถึงสามส่วนก็ไม่เคยแสดงท่าทีเช่นนี้กับนาง แม้นางจะมีฐานะเป็นผู้คุมกฎ อย่างไรก็เป็นเพียงแม่นมที่เลี้ยงดูผู้หนึ่ง นางกล้าดีถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?
“ข้าเพียงได้ฟังเจวี๋ยเอ๋อร์เล่าเหตุการณ์มาคร่าวๆ เท่านั้น ประเด็นหลักเป็นอย่างไรกันแน่? ขอแม่นมฉินอธิบายให้ข้าคลายสงสัยได้หรือไม่?” ซั่งกวนฮ่าวสงบจิตสงบใจลง ไม่ได้สนใจอนุภรรยาอู๋ที่ข่มกลั้นอารมณ์โมโหทั้งมองมายังเขาด้วยแววตาน่าสงสาร แต่อย่างไรเสีย ยามนี้ก็ยังไม่ใช่เวลาที่จะมาสงสารนาง
“แท้จริงแล้วเรื่องนี้หากจะพูดก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร!” น้ำเสียงของแม่นมฉินดูอ่อนน้อมแต่ก็แฝงด้วยความน่ายำเกรง กล่าวอย่างเรียบนิ่ง “เมื่อวานคุณหนูใหญ่ซั่งกวนมาเยี่ยมเยือนคุณหนูข้าที่เรือนสดับวายุ เลี่ยนเยี่ยนก็มาด้วย คุณหนูซั่งกวนเจอกับคุณหนูของข้าครั้งแรกก็รู้สึกสนิทสนมราวกับเป็นเพื่อนกันมานาน ต่างก็เข้ากันได้เป็นอย่างดี ท่าทีของเลี่ยนเยี่ยนก็ไม่เลว คุณหนูของข้าโปรดปรานเป็นอย่างยิ่ง กำหนดงานแต่งของคุณหนูข้าและคุณชายใหญ่ก็ใกล้เข้ามาแล้ว ยึดตามพิธีโบราณ คุณหนูของข้าควรจะเตรียมเมียบ่าวเอาไว้ให้คุณชายใหญ่บ้าง แต่คุณหนูของข้าเป็นคนช่างเลือก คัดคนเข้าคัดคนออกเช่นนั้น ข้างกายจึงมีเพียงสาวใช้รุ่นใหญ่ที่เหมาะสมสองคน รู้สึกละอายใจอยู่บ้าง เมื่อวานได้พบกับเลี่ยนเยี่ยน จึงรู้สึกว่านางไม่เพียงเพียบพร้อมทั้งหน้าตาและความรู้ นิสัยก็ยังทำให้คนชื่นชอบ ข้าจึงได้หยั่งเชิงเล็กน้อย เลี่ยนเยี่ยนนั้นนับถือคุณชายใหญ่มาโดยตลอด แต่เลี่ยนเยี่ยนเป็นสหายของคุณหนูใหญ่ ทั้งยังเป็นคนรอบรู้ แม้ว่าฐานะของเลี่ยนเยี่ยนจะต่ำต้อยไปเล็กน้อย แต่ดีที่รูป ลักษณ์ยังงดงามอยู่บ้าง คุณหนูของข้าได้เขียนสัญญาซื้อตัวกับเลี่ยนเยี่ยน เพื่อรับนางเข้ามาอยู่ข้างกายคุณหนูข้า ให้กลายเป็นสินเดิมของเจ้าสาวแล้วค่อยย้ายกลับไปอยู่ในตระกูลซั่งกวน เลี่ยนเยี่ยนอยู่ในจวนก็มีทรัพย์สินและคนรู้จักไม่น้อย ดังนั้นคุณหนูของข้าจึงให้อภิสิทธิ์นางกลับมาเมื่อวาน เพื่อเก็บข้าวของและถือโอกาสบอกลาคนในจวน ยามนี้เรื่องในจวนก็ได้เสร็จสรรพไปแล้ว ก็ควรต้องกลับไปเรือนสดับวายุ ฟังคำสั่งสอนของคุณหนูและเรียนรู้กฎระเบียบ!”
“เลี่ยนเยี่ยน เป็นเช่นนี้จริงหรือ?” ซั่งกวนฮ่าวนับถือความสามารถในการปะติดปะต่อของพวกนาง ผู้ที่ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากคงเป็นอู๋เลี่ยนเยี่ยนที่ไม่กล่าวอะไร เห็นได้ชัดว่าถูกเกลี่ยกล่อมจนสำเร็จแล้ว
“เป็นเช่นนี้จริงๆ เจ้าค่ะ! เลี่ยนเยี่ยนยังไม่ได้รับอนุญาตจากนายท่าน ก็ยอมรับข้อเสนอของคุณหนูเยี่ยนโดยพลการเสียก่อน อย่างไรก็ขอนายท่านให้อภัยด้วยเถิดเจ้าค่ะ!” อู๋เลี่ยนเยี่ยนกล่าวอย่างนอบน้อม นางไม่ใช่คนโง่ รู้ว่าหากตนเองหมดประโยชน์ก็ย่อมต้องถูกอนุภรรยาอู๋ละทิ้ง และนางในยามนี้ก็ไม่หวังกับอนุภรรยาอู๋แล้ว ก็เหมือนกับที่แม่นมฉินพูด
แม้ว่าอนุภรรยาอู๋จะมอบตำแหน่งอนุภรรยาให้แก่นาง แม้ว่าคุณชายใหญ่จะทำเป็นเข้าใกล้เพื่อเห็นแก่หน้าหลิงหลง ให้นางร่วมหลับนอนอย่างเงียบๆ ยิ่งไปกว่านั้น แม้คุณชายใหญ่จะไม่คิดบาดหมางเรื่องครั้งก่อนจริงๆ มีบุญคุณเปี่ยมด้วยความเมตตา แต่เขาจะยอมให้ตัวนางคลอดบุตรของเขาอย่างนั้นหรือ? โดยเฉพาะแม่นมฉินที่นำยาชนิดหนึ่งมาให้คุณชายใหญ่โดยไม่เกรงใจสักนิด กล่าวว่าเป็นยาที่หลังจากกินเข้าไปแล้ว ชั่วชีวิตนี้ก็อย่าหวังว่าจะได้คลอดบุตรอีกเลย หากว่าตนเองไม่ยอมทำตาม ดึงดันจะลากหลิงหลงลงน้ำมาด้วย เช่นนั้นก็จะบีบบังคับให้นางกินยาที่น่ากลัวเช่นนั้น จากนั้นก็ยกนางให้เป็นอนุภรรยา หากไม่สามารถมีลูกเป็นของตัวเองได้ อนาคตของนางก็จะเป็นดั่งอนุภรรยาอู๋ในวันนี้ เช่นนั้นชั่วชีวิตนี้ของนางก็นับว่าไร้ค่าแล้ว!
ยิ่งไปกว่านั้น ในใจของอู๋เลี่ยนเยี่ยนยังมีความเพ้อฝันอย่างหนึ่ง แม่นมฉินยังบอกว่า หากตัวนางยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดี เช่นนั้นในอนาคตหากมีวันหนึ่งได้ให้กำเนิดลูกสาว เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็จะเมตตา อบรมเลี้ยงดูเด็กคนนั้น ให้ฐานะนางเป็นลูกสาวคนโตของภรรยาเอก…อู่เลี่ยนเยี่ยนกระจ่างใจดี ความแตกต่างของลูกอนุภรรยาเป็นเช่นไร ไม่ใช่ว่าอนุภรรยาหนิงล่วงเกินหวงฝู่เยวี่ยเอ้ออย่างร้ายแรง ซั่งกวนพิงถิงจึงไม่ได้ฐานะลูกสาวคนโตของภรรยาเอกอย่างนั้นหรือ! ส่วนหากเป็นลูกชาย แม่นมฉินยังไม่ได้พูดว่าจะทำอย่างไร นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่นางจะคาดหวังได้ ทั้งแม่นมฉินก็ไม่มีความจำเป็นต้องวาดฝันที่ไม่อาจเอื้อมถึงให้กับนาง
แต่สิ่งที่ทำให้อู๋เลี่ยนเยี่ยนตัดสินใจอย่างเด็ดขาดกลับเป็นสัญญาขายตัวที่ถูกซั่งกวนเจวี๋ยข่มขู่ให้เขียนต่อหน้าของนางแผ่นนั้น สัญญาขายตัวแผ่นนั้นซั่งกวนเจวี๋ยได้ส่งมอบให้แม่นมฉิน เจ้านายของนางได้เปลี่ยนคนแล้ว แม้นางจะเป็นอนุภรรยา แต่สัญญาขายตัวฉบับนั้นยังคงอยู่ในกำมือเยี่ยนมี่เอ๋อร์ หากวันนี้ไม่ยอมร่วมมือ วันหลังค่อยๆ จัดการก็ยังไม่สาย ไม่ว่าจะจัด การเวลาไหนก็ล้วนแต่สะดวกทั้งนั้น แม้ว่าจะถูกตีจนตายก็ไม่เป็นไร
“เจ้าพูดอะไร?” อนุภรรยาอู๋คาดไม่ถึงว่าเวลายังไม่ทันผ่านไปครึ่งค่อนวัน เรื่องราวก็พลิกเปลี่ยนไปจนนางไร้ทางจะควบคุมเช่นนี้ นางยังคงกล่าวอย่างไม่อาจเชื่อ “เจ้าพูดอีกครั้งสิ!”
อู๋เลี่ยนเยี่ยนจู่ๆ รู้สึกสะใจขึ้นมา ที่แท้เจ้าก็มีช่วงเวลาที่เสียอาการเช่นนี้เหมือนกัน! นางกล่าวอย่างแย้มยิ้มเล็กน้อย “ท่านป้า คุณหนูเยี่ยนยอมรับความเลื่อมใสของข้าที่มีต่อคุณชายใหญ่ รับข้าเข้าเป็นสินเดิมของเจ้าสาว รอจนงานแต่งของคุณชายใหญ่และคุณหนูเยี่ยนเรียบร้อยแล้ว ข้าก็จะเป็นคนของคุณชายใหญ่ทันที!”
“เจ้า…” อนุภรรยาอู๋โมโหอย่างถึงที่สุด คุกเข่าลงไปเบื้องหน้าของซั่งกวนฮ่าวอย่างแรง กล่าวทั้งร้องไห้ “ล้วนแต่เป็นความผิดของข้า ครั้งแรกที่ได้ยินว่าเด็กคนนี้วางยาในยาบำรุงที่คุณหนูใหญ่เอาไปส่งให้คุณชายใหญ่ยังคิดว่ามีคนใส่ร้ายนาง ดูท่าแล้ว นางจะเสียสติไปแล้วจริงๆ ลอบทำเรื่องที่สกปรกเช่นนี้…ข้าไม่ควรให้นางอยู่ข้างกายของคุณหนูใหญ่เลย เกิดเรื่องเช่นนี้ คุณหนูใหญ่คงจะเสียใจเป็นที่สุด ทั้งยังถูกนางดึงไปเกี่ยวพัน…”
มองเห็นอนุภรรยาอู๋ร้องไห้อย่างเศร้าโศกเสียใจ ซั่งกวนเจวี๋ยก็กล่าวอย่างเยียบเย็น “ที่แท้อนุภรรยาอู๋ก็เป็นห่วงน้องหญิงถึงเพียงนี้ คาดไม่ถึงจริงๆ!”
“ข้ารู้ดีว่าฐานะของคุณหนูสูงส่ง ไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดเป็นห่วงเป็นใยอะไร แต่อย่างไรข้าก็เฝ้ามองคุณหนูจนเติบใหญ่ จะไม่มีความผูกพันได้อย่างไรกัน?” อนุภรรยาอู๋ร้องไห้ ในหัวก็คิดอย่างรวดเร็วไปพลาง ก่อนจะตาสว่างวาบขึ้นมา “เมื่อคืนนางไปพบคุณหนูใหญ่ไม่ยอมกลับทั้งคืน ได้ยินว่ามีคนเห็นคุณหนูใหญ่พานางเข้าไปเรือนตะวันออกไม่กลับออกมา ยามนี้แค่มองนางก็รู้แล้วว่านางไม่ใช่สาวบริสุทธ์ผุดผ่องอีกต่อไป เรื่องเช่นนี้หากถูกแพร่งพรายออกไป ชื่อเสียงของคุณหนูใหญ่ก็จะถูกทำลายลงไม่น้อย”
นี่นางกำลังข่มขู่? ซั่งกวนเจวี๋ยชิงชังนางจนอยากจะถีบให้กระเด็นออกไป กระนั้นเขาก็มองหน้าซั่งกวนฮ่าวไปหนึ่งครั้ง ไม่ได้พูดอันใด แต่ในแววตากลับปรากฏความนัยหนึ่งออกมาอย่างชัดเจน ‘นี่เป็นคนของท่าน ท่านจะทำเช่นไรก็คิดเอาเองเถิด!’
ซั่งกวนฮ่าวก็อยากถีบนางออกไปเช่นกัน นางยังมองสถานการณ์ของตัวเองไม่ออกอีกหรือ? เหตุใดยังคิดดึงดันไม่เลิก ราอยู่เช่นนี้? หรือจะดึงเรื่องนี้มาเกี่ยวพันกับหลิงหลง สาดน้ำโคลนใส่หลิงหลงให้ได้?
พวกเขาสองคนรู้ได้อย่างไรว่า อนุภรรยาอู๋ในยามนี้ไม่เหลือทางให้ย้อนกลับอีกแล้ว อู๋เลี่ยนเยี่ยนหักหลังนาง แน่นอนย่อมต้องนำสาเหตุของเรื่องบอกกล่าวกับซั่งกวนเจวี๋ยอย่างไม่มีตกหล่น หนำซ้ำผู้ชนะยังสามารถพูดได้ว่านางถูกบีบบังคับจนอับจนหนทาง ทั้งหมดทั้งมวลก็เพราะถูกอนุภรรยาอู๋บีบบังคับ ในขณะเดียวกันไม่ว่าใครก็ล้วนเชื่อข้ออ้างของอู๋เลี่ยนเยี่ยนมาก
กว่า อู๋เลี่ยนเยี่ยนไม่มีความสามารถที่จะวางยาได้สำเร็จ ทั้งยังลากหลิงหลงลงน้ำมาด้วย อย่างไรยามนี้นางก็รู้สึกเสียหน้าไปแล้ว เช่นนั้นมิสู้ทุ่มสุดตัวกับการเดิมพันครั้งสุดท้ายให้รู้แล้วรู้รอดไป ดูว่าจะสามารถได้อะไรกลับมาค่อยว่ากัน
“เลี่ยนเยี่ยนเป็นคนของคุณหนูข้าแล้ว เรื่องเมื่อคืนที่นางทำไม่จำเป็นต้องดึงให้อนุภรรยาผู้หนึ่งมาร่วมจัดการ!” แม่นมฉินกล่าวอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย
“เจ้า…” อนุภรรยาอู๋จ้องมองแม่นมฉินด้วยน้ำตาคลอเบ้า คล้ายกับถูกยั่วโมโหไปไม่น้อย คล้อยหลังก็พลิกกายไปหาซั่งกวนฮ่าว คล้ายกับรอให้ซั่งกวนฮ่าวตัดสินใจแทนนาง
“ข้ายังต้องกลับไปทำเรื่องให้กับคุณหนูของข้า คงต้องขอตัวลาก่อน!” แม่นมฉินให้โอกาสนางได้ตอบโต้ตัวเองที่ไหน กล่าวเหตุผลจากไปอย่างเป็นธรรมชาติ
“แม่นมฉินระวังตัวด้วย!” ซั่งกวนฮ่าวส่งแขกอย่างทันที แทบที่จะลืมจื่อหลัวที่อยู่หลังชั้นงานหนังสืออย่างสิ้นเชิง
“คุณชายใหญ่ ข้าวของของเลี่ยนเยี่ยนรบกวนคุณชายใหญ่ส่งคนไปจัดการด้วยนะเจ้าคะ ให้จื่อหลัวที่รั้งอยู่ในเรือนของท่านนำกลับไป ส่วนข้าคงต้องนำตัวเลี่ยนเยี่ยนไปให้คุณหนูก่อน!” แม่นมฉินไม่อาจลืมว่ายังมีอีกคนอยู่ในตระกูลซั่งกวน
“แม่นมฉินเดินทางปลอดภัย!” ซั่งกวนเจวี๋ยนับถือแม่นมฉินเป็นอย่างมาก ตระกูลซั่งกวนคล้ายกับไม่มีแม่นมที่เก่งกาจถึงเพียงนี้ พูดจามีหลักการและเหตุผล ไร้ช่องโหว่โดยสิ้นเชิง หากไม่ใช่คำพูดของนาง อนุภรรยาอู๋ก็อาจจะไม่ถูกบีบออกไปอย่างง่ายดาย เมื่อถึงเวลานั้นไม่เพียงจะสลัดปัญหาอย่างอู๋เลี่ยนเยี่ยนไม่พ้น แต่ยังอาจทำให้อนุภรรยาอู๋จับจุดอ่อนของหลิงหลงได้ ผลลัพธ์ที่ตามมาก็ยากที่จะคาดเดาแล้ว
มองแม่นมฉินพาอู๋เลี่ยนเยี่ยนจากไป อนุภรรยาอู๋ก็ประกายสายตาดุดันออกมาอย่างรวดเร็ว เอาสิ! ไปเถิด! ดีใจไปเถิด! รอดูยามที่ข่าวลือแพร่สะบัดไปทั่ว อยากจะรู้ว่าเวลานั้นพวกเจ้ายังจะหัวเราะออกกันอีกหรือไม่!
สายตาอำมหิตที่อนุภรรยาอู๋มองนางนั้นได้ถูกซั่งกวนเจวี๋ยมองเห็นเข้า ในใจกลับลอบหัวเราะกับตนเอง…ก่อนหน้าที่แม่นมฉินจะมาได้จัดการบางอย่างไว้แล้ว อนุภรรยาอู๋ไม่ได้ปล่อยข่าวลืออะไรทั้งสุดท้ายยังสามารถไว้หน้าตนเองได้อยู่ หากนางคิดจะปล่อยข่าวลือออกไปอย่างไม่สนใจอะไร เช่นนั้นก็ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถเรียกคืนอะไรมาได้ กลับยังต้องเสียหน้าของตนเองอีกด้วย…
——————————————-