เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 48 สาวใช้และแม่นมชั้นยอด
ลางสังหรณ์ที่ทำงานได้ดีมาโดยตลอดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์กลับผิดพลาดไป ทั้งหวงฝู่เยวี่ยเอ้อและซั่งกวนเจวี๋ยต่างก็ไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นแต่อย่างใด แม้กระทั่งหลิงหลงและจิงอิ๋งก็ไม่ได้มารบกวนนางเช่นกัน คล้ายกับว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์นั้นได้ถูกพวกเขาหลงลืมไปโดยไม่รู้ตัว เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้แสดงท่าทีว้าวุ่นหรือกระวนกระวายใจออกมาให้เห็น กลับกัน นางกลับชอบความเงียบสงบเช่นนี้เสียมากกว่า
ทุกๆ วัน ก็จะคลุกตัวเย็บผ้าอยู่ในเรือนสดับวายุ โดยมีจื่ออวิ๋นชงชาอยู่ด้านข้างให้นาง จื่อหลัวนั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง โดยปกติแล้วก็มักจะเย็บเหอเปา[1] ด้านลู่หลัวเมื่อถักเชือกเสร็จ นางก็ใช้ด้ายที่หลากหลายปักลวดลายออกมาแตกต่างกัน มีเพียงเซียงเสวี่ยที่ไม่ปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าผู้ใด ทั้งไม่ทราบว่านางไปหลบอยู่ที่แห่งไหน ทุกเช้าเย็นหลังจากดูแลอาบน้ำสางผมให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์แล้ว ก็คล้ายจะหายตัวไปเสียอย่างนั้น
วันปกติที่เงียบสงบค่อยๆ ผ่านไปอย่างช้าๆ ผู้ที่นั่งไม่ติดที่มีเพียงแต่ช่าจื่อเท่านั้น
เย็บปักถักร้อยก็ดี ถักเชือกก็ดี ช่าจื่อล้วนคิดว่าทำได้มาโดยตลอด สาวใช้ของตระกูลซั่งกวนต่างก็ ‘เกลียดการเย็บปักถักร้อยและชื่นชอบในวิทยายุทธ์’ ช่าจื่อก็เช่นกัน ตั้งแต่เล็กได้ร่ำเรียนการเย็บปักถักร้อยอยู่พักหนึ่ง หลังจากสามารถเย็บปัก
เหอเปาออกมาได้ ก็นับว่าผ่านด่าน ส่วนถักเชือกนั้น เพิ่งจะทำเป็นในยามที่เข้าจวนมา เพราะไม่มีเรื่องให้ทำ จึงได้เรียนจากพี่ สาวที่รู้จักคนหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรมากมาย แม้ความสามารถด้านเย็บปักถักร้อยจะถือว่าผ่านแล้ว แต่เมื่อมาดูในยามนี้ นางกลับคล้ายถูกโจมตีเข้าอย่างจัง
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่กำลังปักลายห่านคู่ นั่นเป็นลวดลายที่งดงามเป็นอย่างยิ่ง รอยเย็บที่ประณีตบรรจง ร้อยเรียงอย่างไร้ที่ติ ที่ยากที่สุดย่อมมิพ้นการเย็บปักจากทั้งสองด้าน การเย็บจากทั้งด้านหน้าและด้านหลังติดต่อกัน ช่าจื่อนั้นทำไม่เป็น แต่นางรู้ตัวดี แม้จะเย็บเพียงด้านเดียว ด้านหน้านั้นยังพอดูได้ แต่รอยตะเข็บด้านหลังแม้ว่าจะไม่พันกันยุ่งเหยิงจนเกินไป แต่กลับมีรอยด้ายไปทั่ว ดังนั้นในยามที่นางเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์เย็บจากทั้งสองด้านอย่างรวดเร็ว จึงรู้สึกนับถือจนแทบอยากกราบกรานลงไป
ลู่หลัวเย็บเหอเปาได้อย่างสวยงาม ทั้งประณีตชดช้อย ไม่ต่างจากยามที่พวกเจ้านายส่งมอบให้เป็นรางวัล ในตอนขึ้นปีใหม่หรือเทศกาลสำคัญต่างๆ สักนิด…ช่าจื่อเคยเห็นอยู่สองครั้ง ล้วนเป็นเพราะท่านแม่ของนางได้รับรางวัลมาจากในจวน ยามปกติแล้วก็มักจะเสียดายจนไม่ยอมนำออกมาใช้ ว่ากันว่า แม้กระเป๋าเหอเปาจะใบเล็กๆ แค่นั้น แต่ในตลาดผ้าสามารถขายได้ถึงสามอีแปะ! ทั้งช่าจื่อก็ต้องใช้เวลาตั้งหนึ่งวันครึ่งจึงจะทำออกมาได้หนึ่งอัน
ลู่หลัวดูคล้ายจะเป็นคนเอื่อยเฉื่อย แต่ก็มีนิสัยที่บริสุทธิ์เปิดเผย ใบหน้ามักจะแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มสดใส ยามที่พูดก็รับบทสนทนาได้เป็นอย่างดี คนผู้นี้แม้จะมีความสามารถด้านงานฝีมือ แต่ก็ไม่ชอบเย็บปักถักร้อย อาศัยจากที่นางกล่าว ตอนเด็กๆ นั้นเรียนเย็บผ้าจนนิ้วมือมีแต่รอยเข็มเต็มไปหมด ทั้งไม่ได้เย็บสวยเท่าจื่อหลัวและคุณหนูขนาดนั้น จึงเลิกเย็บให้รู้แล้วรู้รอดไป แต่การถักเชือกของนางกลับทำได้อย่างรวดเร็ว ลวดลายก็หลากหลายจนทำให้ช่าจื่อรู้สึกทึ่งอยู่ในใจ เงื่อนเหรียญคู่ที่เรียบง่าย เงื่อนสือจื้อ[2] เงื่อนผานฉาง[3] เงื่อนเจาจิ่น[4] ที่ซับซ้อน เงื่อนถวนจิ่น[5] เงื่อนมงคล[6] ทั้งยังมีลายที่กระทั่งนางยังไม่เคยเห็นมาก่อนอย่างลายดอกเหมยและใบไม้ มักใช้ร้อยคู่กับหยกแขวน ผ้าเช็ดหน้า หรือเป็นพู่ห้อยพัด ในหนึ่งวันสามารถทำออกมาได้ไม่กี่อัน ซึ่งสำหรับช่าจื่อแล้วก็คงจะง่วนถักอยู่อย่างนั้นครึ่งวัน แต่ก็ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างอะไร ส่วนทางลู่หลัวก็ย่อมต้องถักเสร็จอย่างง่ายดายไปแล้ว
จื่อหลัวที่หลักแหลมสามารถทำได้ ช่าจื่อก็พอจะเดาได้อยู่ ลู่หลัวก็เก่งกาจจนทำให้ช่าจื่ออึ้งไปอยู่บ้าง แต่แค่ช่วงเวลาสั้นๆ ไม่กี่วัน นางก็เข้าใจได้ว่าเหตุใดเยี่ยนมี่เอ๋อร์จึงมองข้ามนางและเยียนหงโดยสิ้นเชิง เพียงแค่มีจื่อหลัวอยู่ข้างๆ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น อยากดื่มชา จื่ออวิ๋นก็ชงชาด้วยอุณหภูมิกำลังดีอยู่ในมือ…ลู่หลัวก็อาศัยช่วงเวลานั้นฉวยเอามาวางข้างมือของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ทั้งยังเป็นตำแหน่งที่นางคุ้นชินมากที่สุด เมื่ออากาศเย็นขึ้นมาเล็กน้อย ก็จัดการสับเปลี่ยนให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ทันที ยามที่นั่งนานจนเกินไป ยังไม่ทันที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์จะบิดคอคลายความเมื่อย จื่อหลัวก็มายืนอยู่ด้านหลังนางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว บีบนวดให้นางอย่างเอาใจใส่ หลังจากนั้นก็จะกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ออกไปพักยืดเส้นยืดสายด้านนอกบ้าง ท่าทีของเยี่ยนมี่เอ๋อร์เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ในยามที่กำลังหยัดกายขึ้น ลู่หลัวก็หยิบรองเท้า ทั้งยังตระเตรียมชุดคลุมกันลมและเสื้อคลุมตัวใหญ่ให้แล้ว ก่อนจะค่อยๆ เปลี่ยนรองเท้า สวมเสื้อคลุมพวกนั้นให้นางอย่างระมัดระวัง ทั้งยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องอาหาร เยี่ยนมี่เอ๋อร์ชื่นชอบอะไร ทั้งสองคนต่างก็รู้ดี ทั้งยังจัดอาหารผสมผสานตามช่วงเวลาที่แตกต่างและแต่ละฤดูกาลให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้ข้ามผ่านวันไปอย่างเพลิดเพลินใจ
นั่นจึงเรียกได้ว่าสาวใช้ชั้นหนึ่ง! เริ่มแรกช่าจื่อยังคงไร้คำพูดอยู่บ้าง เทียบกับกฎของตระกูลซั่งกวนที่ใหญ่โตแล้ว ก็ไม่ได้มีสาวใช้ที่เอาใจใส่ถึงเพียงนี้ มิน่าเล่าจึงถูกคนจู้จี้จุกจิกเช่นนี้
แต่ช่าจื่อก็คิดว่าตนเองเรียนรู้มาไม่น้อยเช่นกัน อย่างน้อยที่สุด นางในยามนี้ไม่ว่าจะทำอะไร ก็สามารถสังเกตวิเคราะห์ได้อย่างรอบด้าน ไม่เอาแต่ทำเรื่องโดยไม่สนใจอะไร แต่ยังคอยจับสังเกตอย่างระมัดระวังว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์มีความเคลื่อนไหวเช่นไร ทั้งจื่อหลัวและลู่หลัวมีท่าทีอย่างไรบ้าง
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ใช่คนช่างเลือก แต่ว่า…ช่าจื่อถอนหายใจ สิ่งที่เรียกว่าถูกเลี้ยงดูอย่างประคบประหงมเป็นเช่นไร ในที่ สุดนางก็ได้เข้าใจเสียที ความเป็นอยู่ของคุณหนูตระกูลซั่งกวนนั้นยอดเยี่ยม ความต้องการพื้นฐานล้วนเอื้อมถึงทั้งสิ้น แต่พวกนางพิถีพิถันและละเอียดลออเหมือนเยี่ยนมี่เอ๋อร์ขนาดนั้นที่ไหนกัน นางคล้ายกับไม่รู้ตัวในเรื่องนี้ แต่แม่นมและสาวใช้ข้างกายนางกลับดูแลจนถึงขั้นที่เกินพอดีไปแล้ว…
ในโรงครัว สาวใช้ที่ชื่อเซียงชุ่ยได้ก่นว่าอยู่ยกใหญ่ ทำเอาพวกพ่อครัวแม่ครัวละอายใจจนแทบยกหัวไม่ขึ้น…ไม่ใช่ว่าฝีมือของเซียงชุ่ยดีเกินไป แต่หลังจากที่นางคัดสรรแต่ละสิ่งที่กำลังจะเข้าปากเจ้านายของพวกเขามาครึ่งค่อนวันก็ยังไม่ผ่านเสียที เลือกวัตถุดิบไม่ละเอียดลออพอ (ไม่ใช่ไม่ดี แต่ไม่ละเอียดพอ) การคัดสรรยังไม่พิถีพิถัน จัดการส่วนผสมของอาหารไม่หลาก หลาย การจัดจานไม่สวยงามพอ เลือกเวลาได้ไม่ตรงกับใจของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ เป็นต้น แม้แต่ผ้ากันเปื้อนของแม่ครัวมีจุดด่างพร้อยเล็กน้อยก็ยังถูกนางบ่นจู้จี้จุกจิกอยู่ครึ่งวัน แต่นั่นก็ผ่านการกำชับของเยี่ยนมี่เอ๋อร์มาครั้งหนึ่งแล้วว่า อย่าให้พวกเขาทำให้คนอื่นรู้สึกอึดอัดจนเกินไป
สาวใช้นามว่าจินหรุ่ยประกบข้างแม่นมฉินช่วยตรวจสอบชุดแต่งงานของเยี่ยนมี่เอ๋อร์อยู่ตลอดเวลา นั่นเป็นสินค้าของตรอกซูเยวี่ยนซึ่งดีที่สุดและใหญ่สุดในลี่โจว ยามที่ตระกูลซั่งกวนเพิ่งจะเริ่มพูดคุยเรื่องงานแต่งงานก็ได้สั่งสินค้าไว้แล้ว คนของ
ตรอกซูเยวี่ยนตั้งใจมาอู๋โจวเพื่อวัดตัวตัดชุดให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์โดยเฉพาะ แต่เพียงแค่เวลาสองสามวัน สาวใช้ชั้นสามที่ดูเหมือนไม่มีพิษมีภัยอะไรกลับดุว่าคนของตรอกซูเยวี่ยนจนหน้าซีดเป็นไก่ต้ม มีที่ไหนกัน บางที่ชุดก็ไม่พอดีตัว บางที่สีผิดเพี้ยน บางที่ด้ายหลุดลุ่ยออกมาเล็กน้อย บางที่ผ้ากลับเป็นขุยไม่เรียบเนียน…
โดยเฉพาะลวดลายบนรองเท้าที่ถูกจินหรุ่ยวิพากษ์วิจารณ์จนแทบไม่มีอะไรดีสักอย่าง กล่าวทั้งระเบิดอารมณ์ว่า‘รองเท้าคู่นี้จะให้คุณหนูพวกเราสวมมันจริงๆ หรือ? ไม่รู้เลยหรือว่ารองเท้าของคุณหนูตรงไหนที่ต้องอ่อน ตรงไหนที่ต้องแข็ง ตรงไหนที่ต้องหนา ตรงไหนที่ต้องบาง? หากจะพูดให้ชัดเจน สิ่งที่เรียกว่าวัดตามสัดส่วนผู้สวมนั้นก็เพื่อต้องการให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้สวมพอดีกับเท้า ไม่อาจมีจุดผิดพลาดแม้แต่น้อย ผู้คนกล่าวว่า สวมรองเท้าก็เพื่อปกป้องเท้า ให้เท้าได้รู้สึกสบาย ไม่ใช่ใช้รองเท้ามาเป็นตัวผูกมัด ถ้าพูดถึงรองเท้าคู่นั้น หากทำหล่นกลางถนนใหญ่ คาดว่าคงไม่มีใครเก็บขึ้นมาใส่หรอก…’
สาวใหญ่ผู้ดูแลของตรอกซูเยวี่ยนถูกสาวใช้ตัวเล็กๆ ต่อว่าก็โกรธจนเด้งตัวขึ้นมาเดี๋ยวนั้น ผลเป็นอย่างไรเล่า? จินหรุ่ยไม่ได้ชวนทะเลาะอันใด ก็ให้สาวใหญ่ผู้ดูแลถอดรองเท้าออก ไม่สนใจกลิ่นเหม็นของเท้า ก็บิดจับเท้าของสาวใช้ผู้ดูแล บอกว่าที่ใดควรจะทำให้อ่อนแข็งหนาบางระดับไหน สาวใหญ่ผู้นั้นฟังจนตาเป็นประกายขึ้นมา ไม่ได้กล่าวคำพูดระคายหูออกมาทั้งสิ้น คว้ารองเท้าคู่นั้นที่ถูกพร่ำสอนมากว่าค่อนวัน ก่อนจะเดินกลับตุปัดตุเป๋ไปแก้ใหม่
ยังมีจื่ออวิ๋นผู้ที่แทบไม่มีปากมีเสียง ฉวยโอกาสตอนเยี่ยนมี่เอ๋อร์นอนกลางวัน ไม่ต้องให้นางคอยรับใช้อยู่ข้างกาย ออกไปทำอีกเรื่องโดยไม่เกรงใจแม้แต่น้อย เวลาไม่ถึงสามสี่วัน ก็เอาใบชาที่เก็บไว้ในเรือนสดับวายุทั้งหมดมาตรวจสอบไปครั้งหนึ่ง จากนั้นก็แยกใบชาไปกองทิ้งอีกฝั่งโดยไม่นึกปวดใจอันใด ‘อันนี้เก็บไว้นานเกินไปจนสูญเสียกลิ่นหอมของชา ใบนี้มีอะไรไม่รู้ปนมา มีกลิ่นแปลกๆ เสียแล้ว ใบนี้อ่อนเกินไปจนไม่เหลือรสชาติกลมกล่อม อันนี้ก็เก็บใบมาแก่ไป ไม่มีกลิ่นหอมสดชื่น…’
ทำเอาแม่นมตู้ผู้น่าสงสารหัวโตขึ้นมาอีกรอบหนึ่ง ใบชาพวกนั้นล้วนเป็นฮูหยินซั่งกวนที่ได้ยินมาว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ชื่นชอบการดื่มชา ไม่อาจขาดชาไปได้แม้แต่วันเดียว จึงตั้งใจคัดเลือกออกมาให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างพิถีพิถัน ผู้ที่รับผิดชอบก็คือแม่นมตู้ แต่ที่จื่ออวิ๋นพูดมาก็มีเหตุผล จึงจำต้องนำใบชาจำนวนมากกลับไป เก็บแต่ของคุณภาพดีเอาไว้ จากนั้นก็ออกคำสั่งให้แม่นมและสาวใช้กลุ่มหนึ่งดูแลรักษาดีๆ ทั้งยังตั้งใจหาสาวใช้ที่คล่องแคล่วอีกสองคนมาจัดการกับเรื่องนี้
ผู้ที่อ่อนน้อมถ่อมตัวที่สุดก็คงเป็นเซียงเสวี่ย กระนั้นกลับทำลายดอกไม้ในเรือนสดับวายุอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย แม้ว่าเรือนสดับวายุจะเป็นสถานที่ที่สำหรับเยี่ยมชมดอกบัวและหลบร้อนโดยเฉพาะ แต่อย่างไรก็อยู่ในพื้นที่ดูแลของฮูหยินซั่ง
กวน มีดอกไม้นานาพรรณปลูกอยู่จำนวนไม่น้อย ยามนี้เข้าเดือนยี่แล้ว แม้ว่าอากาศจะหนาวเย็นอยู่บ้าง แต่ก็มีดอกของต้นฤดูใบไม้ผลิเริ่มเบ่งบานขึ้นมาแล้วเช่นกัน แต่ทว่า เซียงเสวี่ยกลับทำลายความงดงามเหล่านั้นเสียสิ้น ทำลายดอกไม้ที่ดีที่สุดของฤดูกาลนี้…ดอกอิงเฉ่า (พิมโรส) และดอกเสี่ยวชางหลัน (ฟรีเซีย) ที่ผลิบานอย่างได้ที่ หากปิดหูปิดตาข้างหนึ่งก็แล้วไป แต่ดอกซีฝู่ไห่ถางที่ทั้งเรือนสดับวายุมีอยู่สามต้นก็ถูกนางสั่งการสาวใช้ไปเด็ดจนหมดเกลี้ยง…
หวงจิ่วที่ทราบข่าว ยามที่กลับมาอย่างเร่งด่วน ก็พบกับเซียงเสวี่ยสั่งการสาวใช้กลุ่มหนึ่งอยู่ที่นั่น ในมือยังมีกริชหยก เสียดสีไปมาดัง ‘กึดๆ’ เห็นดอกซีฝู่ไห่ถ่างที่ฮูหยินซั่งกวนชื่นชอบที่สุดเหลือเพียงดอกแห้งเหี่ยวและยอดที่ค้างไว้แค่ลำต้น หวงจิ่ว อยากจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก ผ่านไปครึ่งค่อนวันจึงสงบจิตสงบใจลงมาได้ ค่อยไถ่ถามเหตุผลเซียงเสวี่ยว่าเหตุใดจึงทำลายบรรยากาศที่สวยงามเช่นนี้ ผลปรากฏว่า…สาวใช้ผู้นี้ทำนางเบิกตาโตทั้งสองข้าง กล่าวทั้งคิดว่าตนมีเหตุผลเพียงพอ ‘เพื่อทำชาดสีแดงสำหรับแต่งหน้าให้คุณหนูเจ้าค่ะ ปีก่อนๆ ที่อยู่ลี่โจว ฤดูกาลนี้มักจะใช้ดอกท้อมาทำสี ยากที่จะได้ดอกซีฝู่ไห่ถังที่มีกลิ่นหอมและสีที่ดีสวยงามเช่นนี้ ฉวยโอกาสทำในเวลานี้ให้มากหน่อยไม่ดีหรือเจ้าคะ?’
หวงจิ่วนิ่งงัน ยามนี้ได้ให้คนไปเสาะหาชาดสีแดงที่ดีที่สุดในตลาดเครื่องประทินโฉมมาให้สาวใช้ได้เลือกสรร แต่ผลลัพธ์คือ…สาวใช้ตัวน้อยกลับเชิดคางขึ้นสูง กล่าวแทรกหวงจิ่วมาหนึ่งประโยคเสียอย่างนั้น ‘ท่านแน่ใจหรือว่าใบหน้าของคุณหนูข้าจะใช้ชาดที่ทำมาจากมือของผู้ใดก็ไม่รู้ได้?’ ดังนั้น หวงจิ่วจึงยอมล่าถอยไป!
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ทราบข่าวรีบตามมา (หวงจิ่วส่งคนไปเรียกมา) เวลานั้นก็ได้ต่อว่าเซียงเสวี่ยไปยกใหญ่ คล้อยหลังเด็กคนนั้นก็ถูกลงโทษให้คุกเข่าอยู่ข้างต้นดอกซีฝู่ไห่ถ่างที่ถูกนางทำลายลงไป แต่เด็กคนนั้นเพิ่งจะคุกเข่าลงไป แม่นมฉินก็ตามมาอย่างรีบเร่ง เริ่มกล่าวกระโชกกระชั้น เยี่ยนมี่เอ๋อร์จึงทำได้เพียงพูดปลอบ ทั้งเกลี้ยกล่อมให้นางกลับไป การลงโทษของเซียงเสวี่ยที่เหมือนจะยังไม่จบจึงได้จบลง
แต่เรื่องกลับไม่จบไปเช่นนี้ หลังจากเวลาอาหารเย็น สีท้องฟ้าเพิ่งจะมืดลง แม่นมฉินก็ปรากฏตัวในห้องของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ไม่จำเป็นต้องให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ออกปาก จื่อหลัวและลู่หลัวก็พาช่าจื่อและชิงหลัวออกไป
“นี่คือ?” ช่าจื่อถามอย่างเข้าใจอยู่บ้าง
“แม่นมฉินมีเรื่องจะพูดกับคุณหนูอย่างส่วนตัว พวกเราอย่าอยู่ใกล้จะดีกว่า ลู่หลัว เจ้าพาช่าจื่อและชิงหลัวไปพักสักหน่อยเถิด คุณหนูและแม่นมฉินคงมีเรื่องที่ต้องพูดคุยหลายเรื่องเป็นแน่ ช่วงเวลานี้ไม่ต้องให้คนเข้ามารบกวนสักพัก!” ลู่หลัวพาสามคนออกไปอย่างเงียบเชียบ
“เช่นนั้นข้าจะไปหาจินหรุ่ย” ชิงหลัวกล่าวอย่างดีใจ นางชื่นชอบการเย็บผ้า สองวันนี้ที่อยู่ข้างกายจินหรุ่ยได้เรียนรู้อะไรมาไม่น้อย
“ข้าก็จะไปหาเซียงชุ่ยเช่นกัน นางรับปากว่าวันนี้จะเหลือขนมดอกเหมยที่น่าอร่อยให้ข้า” ลู่หลัวก็มีที่ที่ต้องไปเช่นกัน
“ไปเถิด! แต่ว่า อีกครึ่งชั่วยามอย่าลืมกลับมาเสียล่ะ” จื่อหลัวกล่าวยิ้มๆ ไม่ได้สนใจพวกนางมากนัก
———————————————-
[1] เหอเปา เป็นถุงกระเป๋าเล็กๆ ที่นิยมห้อยประดับติดตัวไว้ใส่ของกระจุกกระจิก
[2] เงื่อนสือจื้อ เงื่อนที่ไขว้กันคล้ายเครื่องหมายบวก
[3] เงื่อนผานฉาง เงื่อนที่ผูกไขว่กันไปมาคล้ายกับไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งยังพ้องกับความหมายอายุยืนยาว
[4] เงื่อนเจาจิ่น มีลักษณะคล้ายช่องแสงบนหลังคาในสมัยโบราณของจีน
[5] เงื่อนถวนจิ่น มีลักษณะผูกเป็นปมคล้ายดอกไม้
[6] เงื่อนมงคล เงื่อนที่แตกแขนงออกมาจากเงื่อนสือจื้อ