เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 66 คืนส่งตัวเจ้าสาว (1)
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตื่นขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ นางไม่แน่ใจว่าตัวเองหลับไปตั้งแต่ตอนไหน แต่ไหนแต่ไรนางก็มักจะสะดุ้งตื่นมาโดยตลอด น้อยครั้งที่จะหลับลึกเช่นนี้ แต่น่าจะเป็นเพราะว่าช่วงนี้มีเรื่องที่เหน็ดเหนื่อยกายใจประดังประเดเข้ามา รวมกับเรื่องงานแต่งงานในวันนี้ ทำให้นางต้องหวนคิดถึงอดีต ยังไม่ทันได้คิดกระจ่างใจดี ก็ล่วงลึกสู่นิทราเสียแล้ว นางสะบัดศีรษะเล็กน้อย ข้างหูยังคล้ายกับได้ยินเสียงสะท้อนจากขลุ่ยของซั่งกวนเจวี๋ย แน่นอนว่าในนั้นยังมีทำนองที่นางเป่าลมจากใบไม้ผสมอยู่ด้วย
“นี่มันยามใดแล้ว?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์แม้ว่าจะสะลึมสะลืออยู่บ้าง แต่ก็ยังคงจับสังเกตได้ว่าจื่อหลัวคอยเฝ้านางอยู่ด้านข้างเตียง รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้าง รู้ว่าแม้สาวใช้คนนี้จะไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับตนเอง แต่ย่อมมองออกว่าวันนี้ตนเองได้ผิดแปลกไป ดังนั้นจึงไม่สนใจคำสั่งอันใดก็นั่งเฝ้าตนอยู่ในห้องนี้โดยพลการ
“เพิ่งจะเลยยามห้าย[1]เจ้าค่ะ” จื่อหลัวตอบกลับเสียงเบา จากนั้นก็แง้มมุ้งขึ้น “คุณหนู ตอนท่านนอนก็ดูกังวลอยู่บ้าง มีตรงไหนที่ไม่สบายหรือเปล่าเจ้าคะ?”
“แค่ไม่คุ้นชินเท่านั้น” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่ายศีรษะ ค่อยๆ หยัดกายขึ้นนั่งจากการพยุงของจื่อหลัว ก่อนจะพบว่าลำคอของตนแห้งผากเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งยามที่พูดน้ำเสียงก็แหบด้วยเช่นกัน
“คุณหนู ดื่มน้ำสักหน่อยนะเจ้าคะ” จื่อหลัวรินน้ำมาให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์หนึ่งถ้วย เยี่ยนมี่เอ๋อร์ดื่มเข้าไปก็พบว่าเป็นน้ำอุ่น ดูท่าแล้วจื่อหลัวคงจะกังวลตลอดว่าตนจะตื่นขึ้นมาหาน้ำดื่มกินกลางดึก จึงได้ตั้งใจอุ่นไว้ให้นางเป็นพิเศษ
“งานเลี้ยงยังไม่เลิกหรอกหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยังไม่ได้ยินเสียงกลับมาของซั่งกวนเจวี๋ย จีงรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง
“แขกส่วนมากแยกย้ายไปกันแล้วเจ้าค่ะ เพียงแค่ท่านเขยถูกรั้งตัวอยู่กับแขกชั้นสูงที่เรือนเหนือเรือนใต้ เอาแต่ถูกกรอกสุรา ทั้งยังเกิดปัญหาซับซ้อนวุ่นวายมากมาย หากไม่ใช่ว่าฮูหยินขัดขวางไว้ พวกเขาก็คงเข้ามาเสียงดังที่เรือนหอนี่แล้วเจ้าค่ะ” จื่อหลัวรับถ้วยเปล่าคืนมา “ม่านเหลียน ม่านเหออยู่ด้านล่าง ลู่หลัวคอยคุยอยู่กับพวกนาง ทั้งยังถือโอกาสไถ่ถามเรื่องทั่วไปของท่านเขยด้วยเจ้าค่ะ”
“อืม…จื่อหลัว ตั้งแต่นี้ไปพวกเจ้าก็เปลี่ยนคำเรียกใหม่เสียเถิด อย่าเรียกคุณหนูท่านเขยอะไรนั่นเลย ไม่เหมาะสม” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ดีว่าหากตัวเองไม่เป็นฝ่ายออกปาก เกรงว่าสาวใช้และแม่นมไม่กี่คนนั้นของนางก็คงไม่เปลี่ยนคำเรียกเป็นแน่
“เจ้าค่ะ สะใภ้ใหญ่” จื่อหลัวเข้าใจความนัย ในใจรู้สึกยินดีขึ้นมา ดูท่าแล้ว หลังจากคุณหนูพบหน้าคุณชาย ก็ไม่ได้มีใจต่อต้านถึงอะไรเพียงนั้น แต่กลับยังคงชื่นชอบอยู่บ้าง
ขณะที่พูด ก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวทางด้านล่าง จื่อหลัวไม่รอให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้พูดอะไรก็ออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ตะโกนถามอยู่ตรงราวบันได “ลู่หลัว มีอะไรงั้นหรือ? หรือคุณชายใหญ่กลับมาแล้ว?”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ” ลู่หลัวตอบกลับ “คุณชายเมามาก ยามนี้แทบไม่รู้สึกตัวอันใดเลย! พี่ม่านเหอระวังหน่อย!” จากนั้นก็ได้ยินเสียงดังตุ้บตั้บ ไม่รู้ว่าใครไปชนกับของอะไรเข้า
เยี่ยนมี่เอ๋อร์นอนไม่ลงแล้ว จึงหยัดกายขึ้น ก่อนจะคว้าเสื้อคลุมที่อยู่ปลายเตียงขึ้นมาสวม เมื่อสวมรองเท้าเสร็จก็เห็นม่านเหลียนและม่านเหอประคองซั่งกวนเจวี๋ยเข้ามาทั้งซ้ายทั้งขวา โดยเจ้าตัวนั้นเมาไม่รู้เรื่องรู้ราว ทั้งยังคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นสุราทั้งตัว
“สะใภ้ใหญ่…” เมื่อเห็นร่างของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ยืนอยู่ ม่านเหลียนและม่านเหอก็ไม่รู้ว่าควรจะคารวะอย่างไรอยู่บ้าง จึงทำได้เพียงกล่าวทักไปก่อน
“ไม่จำเป็นต้องมากพิธี พยุงคุณชายให้นอนลงก่อนค่อยว่ากันเถิด” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หลีกทางให้อย่างทันที เห็นสาวใช้สองคนประคองซั่งกวนเจวี๋ยนอนลงบนเตียงอย่างระมัดระวัง นางก็เป็นฝ่ายเดินเข้าไปด้านหน้าช่วยถอดรองเท้าให้ซั่งกวนเจวี๋ย ก่อนจะเคลื่อนไปบนเตียง
จื่อหลัวและลู่หลัวหันไปสบตากัน ล้วนแต่มองออกถึงความตกตะลึงที่มีอยู่ในแววตาของอีกฝ่าย…คุณหนูเอาแต่เย็นชามาโดยตลอด กระนั้นกลับเป็นฝ่ายเริ่มเข้าหาถอดรองเท้าให้คุณชายเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าคงชื่นชอบเข้าให้แล้ว
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยื่นมือไปสัมผัสลำคอของซั่งกวนเจวี๋ยก่อนพบว่าร่างของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่ออย่างที่คิด หากเขาได้ดื่มสุราก็จะเหงื่อออก เป็นเช่นนี้ไม่เปลี่ยนไปเลย นางจึงหันไปกล่าว “จื่อหลัว เจ้าไปดูว่าเซียงชุ่ยเตรียมน้ำแกงสร่างเมาไปถึงไหนแล้ว? หากเตรียมเสร็จแล้ว ก็ยกเข้ามาทั้งอุ่นๆ รอคุณชายใหญ่รู้สึกตัวเล็กน้อยก็ค่อยให้รับประทาน”
“เจ้าค่ะ สะใภ้ใหญ่” ลู่หลัวรับคำสั่งเดินออกไป นางจำได้ว่าก่อนหน้านี้ไม่นานเซียงชุ่ยได้บอกไว้ว่าได้เตรียมน้ำแกงสร่างเมาเรียบร้อยแล้ว อุ่นรออยู่บนเตา นางจะเฝ้าอยู่ที่ครัวสามารถเข้าไปเอาได้ทุกเวลา
“ลู่หลัว ม่านเหลียน พวกเจ้าสองคนไปยกน้ำอุ่นเข้ามา คุณชายเหงื่อออกเต็มตัว หากไม่เช็ดให้สะอาด เขาจะนอนไม่สบาย ลู่หลัวเจ้าใส่น้ำมันสะระแหน่ลงไปในน้ำด้วย สักสองสามหยดก็พอ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กำชับต่อ แท้จริงแล้วเรื่องนี้ขอพียงแค่พวกนางออกปาก ด้างล่างนั้นก็มีพวกสาวใช้และหญิงแก่คอยรับคำสั่งอยู่แล้ว
“เจ้าค่ะ สะใภ้ใหญ่!” ลู่หลัวกล่าว ก่อนจะลงจากเรือนไปพร้อมม่านเหลียน
“ม่านเหอ ที่นี่มีชุดของคุณชายหรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หันไปหาม่านเหอ สาวใช้คนสุดท้าย
“มีเจ้าค่ะ บ่าวจะไปหยิบมาให้เดี๋ยวนี้!” ม่านเหอเปิดตู้เสื้อผ้าที่ใหญ่จนน่าตกใจทั้งแย้มยิ้ม คว้าเอาชุดผ้าไหมออกมาหนึ่งชุด เยี่ยนมี่เอ๋อร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย ผ้าไหมก็สบายอยู่หรอก แต่หากสวมเข้าไปให้ซั่งกวนเจวี๋ยที่ร่างชุ่มไปด้วยเหงื่อและตอนดึกๆ ยังมีเหงื่อออกอีกก็ย่อมนอนไม่สบายแน่
“ไม่มีผ้าฝ้ายหรอกหรือ?”
“มีเจ้าค่ะ แต่คุณชายคุ้นชินกับผ้าไหมมากกว่านะเจ้าคะ!” ม่านเหอรู้ดีว่าคุณชายของตนเองชอบอะไร ผ้าฝ้ายนั้นมีแค่ตัวเดียว เพราะว่าป้องกันไว้ก่อนจึงได้จัดเตรียมไว้ด้วย
“เอาผ้าฝ้ายเถิด” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าว “แม้ว่าอากาศจะอบอุ่นแล้ว แต่ก็ยังมีลมหนาวอยู่บ้าง หากอีกเดี๋ยวเขาเกิดเหงื่อออกขึ้นอีกครั้ง ก็จะไม่สบายเอา”
“เจ้าค่ะ สะใภ้ใหญ่” ฟังออกถึงความเอาใจใส่ที่สะใภ้คนใหญ่มีต่อคุณชายไม่น้อย ม่านเหอก็ไม่มากความ รีบเปลี่ยนไปคว้าชุดผ้าฝ้ายชุดนั้นมาทันที จากนั้นทั้งสองคนก็ช่วยกันถอดเสื้อผ้าของซั่งกวนเจวี๋ยออก เหลือเพียงกางเกงตัวในเอาไว้
ใบหน้าของเยี่ยนมี่เอ๋อร์แดงแปร๊ดอย่างรวดเร็ว แม้ว่าเคยพบเขาในท่าทีที่ครื้นเครงสบายๆ หรือยามที่ร่ำสุราจนสำมะเลเทเมา แต่กลับไม่เคยเห็นสภาพที่ไม่สวมเสื้อผ้าของเขาเช่นนี้ แต่ว่า…เยี่ยนมี่เอ๋อร์ลอบยิ้มในใจ ไม่คาดคิดว่าคนที่ภายนอกดูสุภาพเรียบร้อย หรือแม้ว่าจะบ้าดีเดือดขึ้นมาก็ไม่สูญเสียความสง่างามไปอย่างเขา กลับมีสภาพนี้ได้เช่นกัน เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายจริงๆ อดไม่ได้ที่จะคิดเรื่อง ‘โรคที่ปิดบังไว้’ ของเขานั้นขึ้นมา เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ยิ่งยิ้มกว้างขึ้นไปอีก
เพิ่งจะถอดชุดของซั่งกวนเจวี๋ยออกไป ลู่หลัวและม่านเหลียนก็สั่งการให้หญิงคนใช้สี่คนยกน้ำอุ่นเข้ามาวางไม่ไกลจากหัวเตียง ก่อนลู่หลัวจะส่งหญิงไม่กี่คนนั้นออกไป ทว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ตาดีก็ทันเห็นนางยื่นเงินหลอมรูปเมล็ดแตงโมให้พวกนั้นอยู่ดี จึงลอบผงกศีรษะอยู่ในใจ
ลู่หลัวเทน้ำลงชามใบเล็ก ก่อนจะไปคว้าขวดเครื่องเคลือบลายดอกกล้วยไม้ที่อยู่ในหีบสินเดิมเจ้าสาวของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ท่ามกลางสายตาที่งุนงงของม่านเหลียนและม่านเหอ เมื่อเปิดฝาออก กลิ่นหอมเย็นของสะระแหน่ก็ลอยฟุ้งออกมาทันที หอบเอากลิ่นสุราคละคลุ้งที่ติดมาจากซั่งกวนเจวี๋ยลอยหายไปทั้งเดี๋ยวนั้น ทุกคนต่างก็อดไม่ไหวสูดหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่
“นี่คืออะไร? หอมดีจริงเชียว” ม่านเหอมีนิสัยตรงไปตรงมา และก็ได้คุยกับลู่หลัวมาสักพักใหญ่แล้วจึงเกิดความคุ้นชินอยู่บ้าง ยามนี้ก็ถามออกไปตรงๆ
“อันนี้หรือ น้ำมันสะระแหน่” ลู่หลัวหยดลงไปในชามใบนั้นอย่างระมัดระวังสองหยด “นี่นับเป็นของดี ใช้ใบสะระแหน่อ่อนสดมาสกัดเป็นน้ำ กรองกากออกมา นำน้ำที่สกัดแล้วตากในที่ร่มจนแห้ง ส่วนผงสีเขียวที่เหลืออยู่บ้างนำไปผสมกับน้ำมันเมล็ดชา จากนั้นเก็บไว้ในที่มิดชิดไม่ให้โดนแสงแดดครึ่งปีก็ใช้ได้แล้ว ขวดนี้พวกเราใช้เวลาห้าถึงหกวัน บดใบสะระแหน่สดเกือบร้อยจินจึงสามารถทำออกมาได้!” นางพูดพลางนำผ้าจุ่มลงไปในน้ำ เมื่อบิดพอหมาดๆ แล้วก็ยื่นส่งให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์
เยี่ยนมี่เอ๋อร์รับผ้าของลู่หลัวมา ก่อนจะเช็ดลงบนใบหน้า ลำคอและตามตัวของซั่งกวนเจวี๋ยอย่างละเอียด ไม่จำเป็น ต้องให้ถึงมือของคนของเขา ม่านเหลียนเดิมทีจะรับผ้านั้นมา กลับถูกลู่หลัวขัดไว้เล็กน้อย จึงไปยืนอยู่ด้านข้างอย่างรู้งานทันที มีเพียงยามที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์เช็ดหลังให้ซั่งกวนเจวี๋ย นางและม่านเหอจึงค่อยช่วยพยุงซั่งกวนเจวี๋ยลุกขึ้นนั่ง
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าเหงื่อถูกเช็ดจนแห้ง หรือว่ามาจากฤทธิ์หอมเย็นของน้ำมันสะระแหน่ อุณหภูมิร่างกายของซั่งกวนเจวี๋ยจึงไม่ได้สูงขึ้นเพียงนั้น ทั้งเหงื่อก็ไม่ผุดพรายให้เห็นอีกแล้ว เยี่ยนมี่เอ๋อร์หยัดกายขึ้นไปล้างมือ ม่านเหอและม่านเหลียนก็ช่วยกันสวมเสื้อผ้าให้ซั่งกวนเจวี๋ย
“สะใภ้ใหญ่ น้ำแกงสร่างเมาก็วางไว้ที่นี่เลยนะเจ้าคะ?” จื่อหลัวนำกล่องใส่อาหารเก็บความร้อนไปวางไว้ที่ตู้ตรงหัวเตียง “ถ้าหากน้ำแกงเย็น สะใภ้ใหญ่ก็เรียกบ่าวนะเจ้าคะ ในครัวยังอุ่นไว้อยู่!”
“อืม!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่รู้ว่าจะต่อบทสนทนาอย่างไรอยู่บ้าง ให้พวกนางออกไปอย่างนั้นหรือ? แต่เมื่อมองเห็นชายหนุ่มที่นอนแข็งทื่อราวกับท่อนไม้อยู่บนเตียง หน้านางก็ร้อนฉ่าขึ้นมาอย่างห้ามไม่ไหว
ใบหน้าของจื่อหลัวเต็มไปด้วยรอยยิ้ม นางและลู่หลัวส่งสายตาเป็นนัยให้กัน ก่อนจะค้อมกายคารวะพร้อมพวกม่านเหลียนและม่านเหอ “พวกบ่าวลาแล้วนะเจ้าคะ ขอสะใภ้โปรดช่วยดูแลคุณชายด้วย!”
พูดจบ ก็ไม่รอการตอบรับใดๆ จากเยี่ยนมี่เอ๋อร์ทั้งสิ้น พากันถอนตัวออกไป ม่านเหอและม่านเหลียนยังเลิกม่านลงมาให้อย่างคุ้นชิน เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็มองพวกนางจากไปเช่นนั้น ทั้งยังได้ยินเสียงพวกนางกลั้นหัวเราะเดินลงบันไดไป แล้วต่อจากนี้ต้องทำอย่างไรเล่า? เยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง หากคนบนเตียงผู้นี้ไม่ใช่คนในใจของนางผู้นั้น นางก็คงไม่อาจทำตัวไม่ถูกขนาดนี้ แค่ใช้นิ้วสกัดจุดเขา ถีบเขาลงจากเตียงก็สิ้นเรื่องแล้ว แต่ว่า…แต่ว่าเพราะเหตุใดจึงเป็นเขาล่ะ?
จู่ๆ ในใจเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ทั้งหงุดหงิดทั้งเขินอาย หยิกลงบนแขนซั่งกวนเจวี๋ยอย่างขุ่นเคือง กระนั้นกลับเพราะยังชอบอยู่บ้างจึงเปลี่ยนเป็นนวดเบาๆ อย่างอดไม่ไหว ยังดีที่เป็นเขา ไม่อย่างนั้นแม้ว่าตัวเองจะออกจากตระกูลซั่งกวนไปได้อย่างราบรื่น ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถอาศัยอยู่ข้างกายเขาอย่างบริสุทธิ์เปิดเผยได้ คิดมาถึงตรงนี้ใจของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ตกลงไปในห้วงหวานซึ้งอย่างห้ามไม่อยู่…
จัดแจงผ้าห่มให้เรียบร้อย เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ค่อยๆ ผลักซั่งกวนเจวี๋ยเข้าไปด้านในเตียงอย่างแผ่วเบา มองดูใบหน้าที่สงบนิ่งของเขา ก่อนนางจะค่อยๆ ยื่นมือเข้าไปไล้ใบหน้าของเขา คิ้วของเขาให้ความรู้สึกแบบชายหนุ่มโค้งเรียวราวกับดาบ ยามที่หัวเราะก็เป็นความปลดปล่อยที่บอกไม่ถูกอยู่บ้าง ยามที่ดื่มสุราต่อไปไม่ไหวก็จะนิ่วหน้าขึ้นมาเล็กน้อย ส่วนยามที่เคร่งขรึม…อืม ดูเหมือนจะไม่เคยเห็นท่าทีที่เคร่งขรึมของเขามาก่อน อีกทั้งดวงตาของเขา มักจะให้ความคมลึกสว่างไสว เพียงแต่ยามที่มองตัวนาง แววตาก็คล้ายกับมีไฟสุม ให้ความรู้สึกเร่าร้อน เป็นเปลวเพลิงที่แฝงมาด้วยความลุ่มหลง ทำให้ใจของนางร้อนรุ่มขึ้นตาม…แววตาเช่นนั้น เยี่ยนมี่เอ๋อร์เคยเห็นมาก่อน เปลวไฟในแววตานั้นของเขาก็ไม่แตกต่างอะไรจากคนอื่นๆ เช่นกัน เห็นแววตาจากคนเหล่านั้นก็เพียงทำให้นางรู้สึกเมินเฉย รู้สึกหยิ่งผยองไปบ้าง อย่างอื่นก็ไม่มีแล้ว ยังมีจมูกของเขาที่โด่งเป็นสันเข้ากับรูปหน้า สามารถมองออกได้อย่างชัดเจน นิสัยของเขาย่อมต้องมั่นคงไม่อาจสั่นคลอนโดยง่าย คล้ายกับหลิงหลงและจิงอิ๋ง ล้วนแต่มีนิสัยดื้อรั้นเช่นนั้นอยู่บ้าง เพียงแต่การแสดงออกของพวกเขากลับไม่เหมือนกัน ทั้งริมฝีปากของเขา สามารถเผยรอย ยิ้มได้อย่างเบิกบานใจ ทั้งยังสามารถผิวปากเป่าเสียงขลุ่ยออกมาได้ แต่ยามที่เขาเรียกนาง กลับทำให้นางรู้สึกชาหนึบ รู้สึกอยากจะเข้าใกล้เขาอย่างห้ามใจไม่ได้อยู่บ้าง…
เพียงแต่ไม่รู้ว่าหากจุมพิตสักครั้งจะเป็นความรู้สึกเช่นใด? เยี่ยนมี่เอ๋อร์ลังเลคล้ายกับเป็นขโมยก็มิปาน ขยับเข้าไปอย่างระมัดระวัง ก่อนจะฉกริมฝีปากลงอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตานั้นราวกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นจากริมฝีปากกระจายไปทั่วร่าง นางตกใจจนถอยไปหนึ่งก้าว ก่อนหน้าจะร้อนขึ้นมาอย่างรับไม่ไหว นางพยายามโบกมือพัดอย่างเอาเป็นเอาตาย ทว่าความร้อนรุ่มนั้นกลับยิ่งเพิ่มทวีคูณมากขึ้นไปอีก คล้อยหลังก็อดไม่ไหวจ้องมองไปที่ริมฝีปากของซั่งกวนเจวี๋ยอีกครั้ง…
หรือว่าจะลองสัมผัสอีกสักครั้งดี บางทีความรู้สึกที่พุ่งขึ้นมาเมื่อกี้อาจจะคิดเพ้อเจ้อไปเอง? เยี่ยนมี่เอ๋อร์ครุ่นคิดอยู่ในหัว ก่อนจะโน้มกายเข้าไปอีกครั้ง…
———————————–
[1] ยามห้าย ช่วงเวลาประมาณ 21:00 – 22:59