เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 68 วันแรกของคู่แต่งงานใหม่
ซั่งกวนเจวี๋ยคล้ายกับสะลึมละลือได้ยินเสียงหญิงสาวกระซิบกระซาบพูดคุยเสียงเบาและเสียงชื่นชมอยู่ในฝัน เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น ก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะของม่านเหลียนดังขึ้นข้างหู “คุณชายตื่นแล้ว!”
แม้ว่ายังคงมีอาการเมาค้างอยู่บ้าง อยากที่จะนอนพักต่อสักนิด แต่ซั่งกวนเจวี๋ยก็ไม่ลืมว่า วันนี้เป็นเช้าวันแรกหลังการแต่งงาน แม้ว่าจะไม่ต้องไปศาลบรรพชนเพื่อกราบไหว้บรรพบุรุษ แต่ก็ยังต้องร่วมดื่มชากับผู้อาวุโสสามคนในบ้าน ทั้งยังต้องทานอาหารเย็นร่วมกับตระกูลญาติพี่น้องไม่กี่คนอีก คุณหนูตระกูลพวกนั้นที่พำนักอยู่เรือนเหนือและเรือนใต้ พวกพี่ชายและภรรยาของพวกเขาก็ต้องพบหน้ากันสักหน่อย พูดคุยให้คุ้นหน้าคร่าตากันและกัน ทั้งต้องดูว่าสะใภ้ใหญ่ของตระกูลซั่งกวนผู้นี้มีลักษณะนิสัยอย่างไร ภายหลังจะต้องใช้ท่าทีอย่างไรเพื่อรับมือด้วย ดังนั้นวันนี้จึงนับว่ามีภารกิจใหญ่ที่ต้องทำ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ร่างกายเปราะบางและมีนิสัยที่อ่อนโยนขนาดนั้นจะสามารถรับมือกับปัญหาและความน่าอึดอัดของผู้คนที่ทยอยมาไม่ขาดสายได้ดีหรือไม่
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่นั่งเกล้าผมประทินโฉมอยู่ตรงหน้าโต๊ะได้ดำเนินมาถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว เซียงเสวี่ยปักปิ่นหงส์ทองที่โผบินอยู่กลางอากาศลงไป ก็นับว่าเป็นอันเสร็จเรียบร้อย ก่อนจื่อหลัวและลู่หลัวจะประคองนางหยัดกายขึ้น ใช้ใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยมองไปยังซั่งกวนเจวี๋ยที่ม่านเหลียนคอยจัดแจงสวมใส่ชุดคลุมให้อยู่
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ในวันนี้แต่งกายอย่างลงทุนลงแรงไปไม่น้อย เสื้อผ้านั้นเป็นจินหรุ่ยที่คัดเลือกและจับคู่ให้เข้ากันอย่างประณีต ร่างถูกปกคลุมด้วยอาภรณ์เรียบหรูสีชมพูดอกบัว ด้านนอกคลุมด้วยผ้าสีดวงจันทร์ขาวกระจ่าง ลำคอและกระดูกไหปลาร้าที่เรียงรายอย่างงดงามของเยี่ยนมี่เอ๋อร์นั้นถูกเปิดเผยให้เห็นเล็กน้อย ทั้งผิวขาวใสเนียนละเอียดที่ไม่ว่าผู้ใดพบเห็นก็ต้องเป็นอันลุ่มหลง ผ้าคลุมนั้นถูกปักด้วยหงส์ตัวหนึ่งที่กำลังกางปีกโผบิน ดูสวยงดงามตระการตา ทั้งยังทำให้ผ้าคลุมที่เรียบธรรมดานั้นดูสง่างามต้องตาขึ้นมา กระโปรงด้านล่างก็เป็นสีชมพูดอกบัวเหมือนกันกับเสื้อตัวบน ปักด้วยลวดลายดอกถานฮวา สีจันทร์กระจ่างดอกใหญ่ แต่สิ่งที่ทำให้คนชื่นชมคือเกสรของดอกถานฮวานั้นถูกร้อยเรียงด้วยด้ายสีเงิน ยามที่กระโปรงขยับเล็กน้อย ก็คล้ายกับมีแสงจันทร์ประกายส่องสว่างตามกระโปรงที่พลิ้วไสวนั้น นับเป็นความเรียบหรูอย่างหนึ่ง
เส้นผมดำขลับนุ่มสลวยของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ถูกแบ่งเป็นมวยทั้งสองข้างชี้สูงออกไปคล้ายกับเทพเซียนที่กำลังโบยบิน ติดปิ่นปักผมที่ทำด้วยความประณีตด้านบน แม้ว่าจะไม่ได้ประดับปิ่นอื่นๆ อีก แต่กลับดูกระชับเรียบหรูเป็นอย่างมาก ที่หูของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็มีลูกเล่นเล็กน้อย ประดับด้วยช่อต่างหูสีทอง มองรวมๆ แล้วดูเป็นความงดงามที่หาได้ยากยิ่ง
ซั่งกวนเจวี๋ยรู้ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์มีความงดงามตั้งแต่กำเนิดอยู่แล้ว เมื่อวานยามที่เปิดผ้าคลุมออกก็พบความสะสวยและมีสง่าราศี ยามที่ตื่นขึ้นกลางดึกก็เป็นความพริ้งพรายที่ละเอียดลออ แม้ว่าลักษณะภายนอกจะเปลี่ยนไปบ้าง แต่ความงดงามกลับไม่แตกต่างกัน และยามนี้ซั่งกวนเจวี๋ยก็แทบจะควบคุมหัวใจตนเองไม่ได้
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้กำชับให้เซียงเสวี่ยแต่งหน้าให้ตนอ่อนลง ระหว่างคิ้วนั้นก็ดูเบาบางลง กระนั้นกลับไม่ได้อ่อนมากดั่งเช่นวันก่อน แม้จะนุ่มนวลอ่อนโยน แต่ตาที่ดูพริ้มเพราเล็กน้อย ทำให้ดูมีกลิ่นไอของความปราดเปรื่อง เครื่องแป้งที่แต้มลงบนแก้มทั้งสองข้างเพิ่งจะทำเสร็จไปไม่กี่วันก่อน เผยให้เห็นสีสดใสและกลิ่นหอมของดอกไห่ถัง ริมฝีปากเติมแต่งอย่างแดงระเรื่อ ล่อลวงให้คนนึกอยากจะจุมพิตสักครา
อย่าว่าแต่ซั่งกวนเจวี๋ยเลย แม้แต่ม่านเหลียนม่านเหอและสาวใช้น้อยใหญ่ของตระกูลซั่งกวนที่เข้ามาช่วยเหลือล้วนแต่เบิกตาค้างกันทั้งนั้น ในใจนั้นมีคำหนึ่งปรากฏขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน ‘หญิงงามล่มเมือง!’
เยี่ยนมี่เอ๋อร์เก็บท่าทีของทุกคนที่มีต่อนางไว้ในดวงตา ยังคงพึงพอใจกับปฏิกิริยาของทุกคนเป็นอย่างมาก…นางจงใจ หลังจากที่พบว่าซั่งกวนเจวี๋ยคือคนที่นางแอบชอบผู้นั้น เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็เก็บแผนที่คิดไว้ก่อนหน้านั้นกลับคืนมา แม้ว่าจะไม่อยากแสดงความสามารถทั้งหมดออกมามากไป แต่ก็ไม่อาจเก็บซ่อนแสงสว่างของตนเองไว้ลึกจนเกินไปได้ นางต้องการให้ซั่งกวนเจวี๋ยและตระกูลซั่งกวนคนอื่นๆ กระจ่างใจว่า นางเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ใช่คนที่ใครก็ล้วนสามารถเทียบเคียงได้ จะทั่วป๋าฉินซินที่เมื่อวานมีชะตาให้พบกันครั้งหนึ่ง แต่ความฉลาดนั้นยังต้องรอดูอีกนานก็ดี ทั้งคุณหนูสามของตระกูลชุย ชุยอวี่เฟยที่ยังไม่ได้ลงมือก็ดี นอกจากคุณหนูตระกูลขุนนางที่เก่าแก่แล้ว ไม่ว่าใครก็อย่าได้คิดขึ้นมาเทียบเคียงกับนาง ส่วน ‘จอมยุทธ์หญิง’ อีกสามคนที่กล่าวว่ายังพำนักอยู่ที่เรือนหิมะสุขใจนั้น นางจะค่อยๆ ทำให้พวกนางรู้ซึ้งถึงความลำบากแล้วล่าถอยไปเอง
“สะใภ้ใหญ่งามจริงๆ เจ้าค่ะ!” ม่านเหอกล่าวทั้งแย้มยิ้ม พวกนางล้วนเป็นสาวใช้ที่อยู่ข้างกายของซั่งกวนเจวี๋ยมานานหลายปี ล้วนรู้ถึงความนึกคิดคุณชายใหญ่ที่เป็นนายของตน เขาย่อมไม่อาจเลือกเมียบ่าวหรืออนุภรรยามาจากพวกสาวใช้เป็นแน่(การกระทำของอนุภรรยาอู๋ทำให้ซั่งกวนเจวี๋ยรับไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง) และก่อนหน้านี้ก็ปีนขึ้นเตียงนายใหญ่มาแล้วเช่นกัน ทำให้ตนเองพลิกเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ กลายเป็นคนคอยให้คำปรึกษาของเจ้านาย คำชมนี้ล้วนกล่าวออกมาด้วยใจจริง เยี่ยนมี่เอ๋อร์นั้นฟังออก ใบหน้าจึงแดงขึ้นมาในทันที ดวงตาคล้ายมองไปที่ซั่งกวนเจวี๋ยอย่างยากจะควบคุม ก่อนจะเก็บสายตากลับมาอย่างรวดเร็ว บังเกิดเป็นภาพที่เขินอายทั้งดูไม่เป็นตัวของตัวเอง
จื่อหลัวและลู่หลัวยากที่จะเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์มีท่าทีราวกับเด็กน้อยไม่ประสาเช่นนี้ จึงรู้โดยทันทีว่าคุณหนูของตนได้มีความรู้สึกดีๆ ให้กับซั่งกวนเจวี๋ยเสียแล้ว…แม้ว่าพวกนางจะคิดไม่เข้าใจมาโดยตลอดว่า ความเย็นชา ความเรียบนิ่งและความไม่กระตือรือร้นต่องานแต่งงานครั้งนี้ของคุณหนู ไฉนจึงจู่ๆ จึงเปลี่ยนแปลงไปมากถึงเพียงนี้ แต่สำหรับการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้นับว่ายินดีที่จะพบเห็น แม้ว่าพวกนางจะไม่กระจ่างแจ้งเรื่องราวและแผนการของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ แต่ก็เชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า ขอเพียงแค่คุณหนูทำด้วยใจ ก็ไม่อาจมีเป้าหมายใดที่นางไปไม่ถึง
ซั่งกวนเจวี๋ยนับว่ารู้สึกพึงพอใจกับปฏิกิริยาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ดูท่าแล้วที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์แต่งหน้าประทินโฉมในวันนี้ก็เพื่อให้ตัวเองได้ประจักษ์ถึงความงามของนาง คำกล่าวที่ว่า ‘สตรีตั้งใจแต่งหน้าเพื่อคนที่รัก’ ไม่ว่าจะกล่าวเมื่อใดก็ล้วนไม่ล้าสมัยสักนิด และหลังจากที่เขากลบฝังความคิดเพ้อฝันที่ไม่ควรมีไว้ในเบื้องลึกจิตใจแล้วนั้น ก็ได้ปรับท่าทีตัวเองให้เป็นปกติ ตัดสินใจดีแล้วว่าจากนี้ต่อไปจะปฏิบัติตัวให้ดีกับภรรยาที่น่าพึงพอใจคนนี้
“พวกเราไปกันเถิด!” หลังจากจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้ว ซั่งกวนเจวี๋ยก็กล่าวกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างอ่อนโยน เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผงกศีรษะรับอย่างแผ่วเบา ถูกจื่อหลัวพยุงตามซั่งกวนเจวี๋ยอยู่ด้านหลังครึ่งก้าว ก่อนจะเดินออกจากประตูไป
“ตระกูลซั่งกวนเจวี๋ยไม่ได้มีกฎระเบียบมากมายถึงเพียงนั้น เจ้าแค่ตามหลังไปกับข้าก็ได้” ซั่งกวนเจวี๋ยพูดความจริง แต่ยังมีความนัยที่จะลองเชิงอยู่บ้าง เขารู้ว่ามารดาได้บอกธรรมเนียมของตระกูลซั่งกวนกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์แล้ว นายหญิงของตระกูลซั่งกวนมีตำแหน่งทัดเทียมกับผู้ดูแลตระกูล ไม่รู้ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์มีใจทะเยอทะยานเช่นนั้นหรือไม่
“เชี่ยเซิน[1]ยินดียิ่งที่จะตามหลังท่าน!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่รู้ว่าจะต้องเรียกซั่งกวนเจวี๋ยว่าอย่างไรอยู่บ้าง ทางที่ดีที่สุดจึงเรียกด้วยความเคารพไปก่อน แต่คำพูดนี้กลับไม่มีความนัยแฝงแม้แต่น้อย การที่จะนั่งในตำแหน่งที่ทัดเทียมกับซั่งกวนเจวี๋ย นางยินดีที่จะใช้ชีวิตอยู่ใต้เงาของซั่งกวนเจวี๋ยมากกว่า นางที่เป็นเช่นนั้นจึงจะสามารถใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบเรื่อยไปได้ต่างหาก และก็จะสามารถเก็บซ่อนตนเองได้ง่ายขึ้นเช่นกัน
“หืม? บอกได้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด?” ซั่งกวนเจวี๋ยก็ฟังออกถึงความจริงใจนางเช่นกัน เพียงแต่อยากรู้ว่าเพราะเหตุใดนางจึงคิดเช่นนี้ เป็นเพราะว่าไม่มีความมั่นใจเช่นนั้นหรือว่า…
“นี่…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาอย่างรวดเร็ว นางไม่ได้แสดงท่าทีแปลกๆ อย่างอื่นออกมา แต่กลับเพราะพวกสาวใช้ที่หูผึ่งพวกนั้น จึงเขินจนหน้าแดง ไม่กล้าที่จะกล่าวออกมาตรงๆ
“พวกเจ้าถอยออกไปสิบก้าว!” ซั่งกวนเจวี๋ยมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ด้วยความหลงใหลอยู่บ้าง อาจจะพูดได้ว่าเขาเป็นคนเจ้าเสน่ห์ ทั้งยังโดดเด่นในด้านนี้มากเสียด้วย หากว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้งดงามถึงเพียงนั้น บางทีใจของเขาก็ไม่อาจเกิดความเอ็นดูอย่างนี้ได้หรอก
“ตอนนี้พูดได้หรือยัง?” หลังจากซั่งกวนเจวี๋ยให้สาวใช้พวกนั้นออกไปไกลแล้ว ก็กล่าวถามออกมาอย่างจริงจัง มอง เห็นแววตาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ปกปิดความขวยเขินไม่มิด ดูทั้งสุขใจและเลื่อมใส คล้อยหลังก็ก้มหน้าลงอย่างเขินอาย ซั่งกวนเจวี๋ยเห็นถึงขนาดลำคอของนางก็ล้วนแดงไปหมด จึงไม่อยากที่จะบีบเค้นนางอยู่บ้าง กระนั้นกลับค่อยได้ยินน้ำเสียงที่อ่อนหวานแฝงมาด้วยความหนักแน่นกล่าวขึ้น
“เชี่ยเซินยินดีที่จะตามหลังท่านมากกว่า หากเป็นเช่นนั้น เชี่ยเซินก็จะสามารถมองเห็นแผ่นหลังที่มั่นคงของท่านได้ รู้ว่าท่านอยู่ข้างกายเชี่ยเซิน มีท่านคอยกำบังพายุลมฝนให้เชี่ยเซิน เช่นนั้นไม่ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร เชี่ยเซินย่อมมีความกล้าที่จะเผชิญทั้งนั้น แต่ถ้าหากมีวันหนึ่งที่ท่านเหนื่อยล้า เชี่ยเซินก็จะมองออกจากแผ่นหลังนั้นของท่าน เวลานั้น เชี่ยเซินก็จะยืนอยู่ข้างหลังท่านอย่างมั่นคง ไม่ทำให้ท่านเป็นห่วงหรือกังวลเรื่องใดๆ”
ก็หมายความว่านางยินยอมที่จะยืนอยู่ข้างหลังเพื่อตัวเขา ทั้งจะไม่ทำให้เขากังวลกับอันตรายที่อยู่ด้านหลัง? ซั่งกวนเจวี๋ยเพ่งมองกลับเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่เงยหน้าขึ้นมา แววตาที่ฝืนเก็บความเขินอายนั้นมีความหนักแน่นเข้ามาแทนที่ หรือบางทีนางอาจจะไม่ได้ดูเปราะบางถึงเพียงนั้น
“เจ้ารับไหวงั้นหรือ?” ซั่งกวนเจวี๋ยถามอย่างลังเลอยู่บ้าง
“เชี่ยเซินจะพิสูจน์ให้ท่านเห็น!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างจริงจัง “แม้เชี่ยเซินจะดูบอบบางไปบ้าง แต่กลับไม่ใช่คนที่อ่อนแอ”
“เช่นนั้นข้าก็จะคอยดู” ซั่งกวนเจวี๋ยพยักหน้า นี่คือเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่เขาวาดฝันไว้ หากนางมีเพียงใบหน้าที่งดงาม นิสัยอ่อนโยนและเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมก็ย่อมไม่อาจจัดการกับน้องสาวทั้งสองคนได้ แน่นอนว่าต้องมีฝีมืออยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ผู้ชายทุกคนล้วนคาดหวังให้หญิงสาวของตนสดใสบริสุทธิ์ราวกับหิมะ แต่เขารู้ดีว่าผู้หญิงที่ใสบริสุทธิ์ราวกับหิมะผู้หนึ่งไม่อาจเหมาะสมกับตน ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่เหมาะสมที่จะเป็นสะใภ้ใหญ่ของตระกูลซั่งกวนเช่นกัน
“เชี่ยเซินจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รับปากอย่างมั่นใจ ในเมื่อเดิมทีนางก็ชื่นชมในตัวซั่งกวนเจวี๋ย ทั้งยังกลายเป็นภรรยาที่แต่งอย่างเป็นทางการของเขา เช่นนั้นนางย่อมต้องกลายเป็นภรรยาที่ดีที่สุดให้ได้
“ผู้หญิงของตระกูลซั่งกวนแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เรียกแทนตนเองต่อหน้าสามีว่า ‘เชี่ยเซิน’ ทั้งยังไม่ใช้คำสุภาพถึงเพียงนั้นพูดกับสามี เจ้าก็ทำตามนี้เถิด!” ซั่งกวนเจวี๋ยกล่าวเตือนอีกครั้ง ท่าทีที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ปฏิบัติต่อตน เขานับว่าพอใจ จึงพูดให้นางฟังอย่างไม่คิดอันใดมาก เขารู้ดีว่าท่าทีที่ตนเองมีต่อเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะต้องส่งผลถึงตำแหน่งนายบ่าวในตระกูลซั่งกวน หรือแม้แต่ภายหลังสามารถรับช่วงต่อจัดการเรื่องราวในตระกูลซั่งกวนได้ราบรื่นหรือไม่ก็ล้วนต้องการความสนับสนุนจากเขาทั้งนั้น…แม้ในปีนั้นทั่วป๋าซู่เยวี่ยจะเป็นสะใภ้ใหญ่ของตระกูลซั่งกวน ทั้งอยู่ในตำแหน่งภรรยาเอก แต่กลับไม่อาจเทียบเทียมหญิงสาวที่เป็นภรรยารองผู้นั้นได้ ไม่ใช่เพราะว่าท่านปู่ชื่นชอบหญิงสาวผู้นั้นด้วยใจจริง แต่เพราะนางมีชาติกำเนิดจากภรรยาเอกและมีปัญหาบางอย่างที่ไม่อาจจะกล่าวตรงๆ ได้ จึงทำได้เพียงแต่งนางเข้ามาในฐานะภรรยารอง ถึงขนาดหลีกเลี่ยงจากสถานการณ์ที่ตนเองจะไปแทนที่ตำแหน่งใคร ได้ทำสัญญากับทั่วป๋าซู่เยวี่ยออกมาติดต่อกัน ในนั้นยังมีเงื่อนไขที่เลวร้ายที่สุดก็คือแม้จะให้กำเนิดก็ไม่อาจยอมอนุญาตให้กำเนิดบุตรได้ แต่ทั่วป๋าซู่เยวี่ยกลับคาดไม่ถึงว่า ผู้หญิงคนนั้นแม้ว่าท้ายที่สุดจะไม่ได้ให้กำเนิดบุตร แต่หลังจากแต่งเข้าตระกูลมาสองสามปีก็สามารถคุมอำนาจในการดูแลกิจการภายในของตระกูลซั่งกวนได้ ทำหน้าที่เป็นภรรยารองอย่างมั่นคงอยู่หลายปี ทั้งยังสามารถกอบกุมใจของสามีอย่างอยู่หมัด ถ้าหาก ‘นาง’ ยินดี เกรงว่าตนเองก็จะแต่งนางเข้ามาอย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ทั้งจะรักและเอ็นดูอย่างไม่สนอันใดเช่นกัน เพียงแต่…ความคิดนั้นของซั่งกวนเจวี๋ยถูกกลบฝังลงไปอีกครั้ง ผู้หญิงเฉกเช่นนาง อย่าพูดเลยว่าจะแต่งเป็นภรรยารองให้เขา ถึงแม้จะเป็นภรรยาเอก เกรงว่าคงไม่ยอมเป็นหญิงสาวร่วมกับใครแน่ ตั้งแต่ตนได้รับปากดำเนินพิธีแต่งงาน ช่วงเวลานั้นก็ได้ทำลายความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ใดๆ กับผู้หญิงคนนั้นแล้ว ตัวเองนั้นก็ทำได้แต่ต้องยอมรับชะตากรรม!
“เข้าใจแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผงกศีรษะ รู้ว่านี่คือความปรารถนาดีของซั่งกวนเจวี๋ย เขาจึงได้พูดออกมาเช่นนี้ และก็หมายความว่าเขาได้ยอมรับตนในฐานะของสะใภ้ใหญ่ตระกูลซั่งกวนแล้ว น้ำใจเช่นนี้ย่อมต้องรับไว้
“เจ้าสามารถเรียกชื่อของตนเองหรือฐานะของเจ้าแทนตัวก็ได้ เช่นนั้นจะดีขึ้นมาหน่อย” ซั่งกวนเจวี๋ยชื่นชอบที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ว่านอนสอนง่าย ก็กล่าวต่อไป “ท่านย่าไม่ใช่คนที่เป็นมิตรมากนัก แต่ขอเพียงแค่ให้ความเคารพมากหน่อย นางก็ไม่อาจกล่าวอันใดแล้ว เจ้าเรียกนางว่า ‘ฮูหยินใหญ่’ จะเหมาะสมกว่า นางก็หวังให้เจ้าเรียกอย่างนั้นเช่นกัน ส่วนท่านพ่อและท่านแม่ แม้ว่าพวกท่านจะชอบเจ้า แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านย่าก็อย่าได้แสดงความสนิทสนมจนเกินไป เว้นระยะตนให้เหมาะสมจะดียิ่งกว่า”
“ขอบคุณสามีที่กล่าวเตือน” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ฟังอย่างตั้งใจ ในแววตาปรากฏความซาบซึ้งและปลาบปลื้ม ทว่าในใจกลับคิดแปลกๆ อยู่ ถ้าหากมีวันหนึ่ง ซั่งกวนเจวี๋ยรู้ถึงฐานะอีกอย่างของตนจะมีท่าทีเป็นเช่นไรกัน? จำได้ว่าเวลานั้นในสายตาเขามีความหลงใหลและเลื่อมใสเป็นที่สุด ทั้งยังสนิทสนมใกล้ชิดกับตนมากกว่าใคร เขาจะชอบตัวตนที่เป็น ‘เยี่ยนมี่เอ๋อร์’ ของตัวเองหรือเปล่านะ? แม้ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะชิงชังตัวตนที่เป็น ‘หญิงงามที่เปี่ยมด้วยคุณธรรม’ อยู่บางครั้ง แต่การสั่งสอนที่ซึมลึกในกระดูกทำให้นางต้องทำตัวให้เหมาะสมกับฐานะเช่นนี้ ขอเพียงมีเวลาที่เหมาะสม ให้นางได้สามารถทำตามใจปรารถนา นางก็ยังคงยอมที่จะเป็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ ‘ไม่มีพิษมีภัย’ มากกว่า…
————————————
[1] เป็นคำเรียกแทนตัวเองของผู้หญิงจีนที่เป็นภรรยากับสามีอย่างถ่อมตัวในสมัยโบราณ