เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 71 หยั่งเชิงเล็กน้อย
กลับมาถึงห้อง เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็คล้ายจะหมดสิ้นเรี่ยวแรง ใบหน้าของนางแทบจะปิดบังความเหนื่อยล้าไว้ไม่มิด ทว่าก็ยังคงประคองสีหน้าที่ดูอ่อนโยนเช่นนั้นไว้ได้ ระหว่างคิ้วไม่เพียงแต่ไม่ปรากฏความหงุดหงิดใจ ตรงกันข้ามกลับเผยความยินดีและเหนียมอายอย่างเลือนราง ทำเอาซั่งกวนเจวี๋ยที่มองอยู่อดชื่นชมไม่ได้
“มี่เอ๋อร์ เจ้าพักผ่อนสักหน่อยเถิด ข้าคาดว่าน่าจะสักอีกครึ่งก้านธูปถึงจะมีคนเข้ามาหาเจ้าอีกครั้ง” แม้ว่าซั่งกวนเจวี๋ยจะเอ็นดูภรรยาอยู่บ้าง แต่ก็รู้ว่านางต้องพยายามปรับตัวเพื่อเป็นสะใภ้ใหญ่ของตระกูลให้เร็วที่สุด มิเช่นนั้นแล้ว ตำแหน่งของนางในอนาคตจะเป็นที่ครหาและคลางแคลงได้
“ขอบคุณสามีที่กล่าวเตือน” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผงกศีรษะอย่างโอนอ่อน ใบหน้าในยามนี้เผยความรู้สึกขอบคุณและดีใจ “ข้าเพียงแค่ปรับตัวไม่ทันอยู่บ้างเท่านั้น หากได้พักชั่วครู่ก็คงจะดีขึ้น ปรับท่าทีนิดหน่อยก็ไม่มีปัญหาแล้ว”
“เช่นนั้นก็ดี” ซั่งกวนเจวี๋ยพยักหน้า ในยามที่ไม่รู้ว่าควรจะกล่าวอะไรดี เซียงชุ่ยก็ยกถาดเข้ามา ด้านบนมีถ้วยเครื่องเคลือบใบหนึ่งวางอยู่ ไม่รู้ว่าข้างในนั้นเป็นสิ่งใด
“คารวะคุณชายใหญ่ สะใภ้ใหญ่เจ้าค่ะ!” เซียงชุ่ยค้อมกายคารวะ “สะใภ้ใหญ่ ข้าวต้มเต้าหู้ทำเสร็จแล้วเจ้าค่ะ ให้คุณชายใหญ่กินตอนยังร้อนๆ เสียนะเจ้าคะ!”
“อืม…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้า นี่เป็นคำสั่งที่นางกำชับให้จื่อหลัวไปทำก่อนหน้านี้ เดิมทีอาการเมาค้างของซั่งกวนเจวี๋ยก็ยังไม่ดีเท่าไร เมื่อวานในยามที่ดื่มสุราก็ไม่ได้กินอะไร ความจริงแล้วตอนเช้าอยากให้เขาได้กินอะไรเสียหน่อย แต่หนึ่งเพราะไม่มีเวลาเพียงพอจะไปทำข้าวต้มให้ สองเพราะเห็นท่าทีของเขาก็รู้ว่าไม่มีความอยากอาหารสักนิด ยามที่อยู่ที่เรือนหลักก็ไม่ได้แตะต้องของว่างพวกนั้น ยามนี้กินข้าวต้มเสียหน่อยจึงจะเป็นการดีกว่า
“ข้าวต้มเต้าหู้?” คิ้วขวาของซั่งกวนเจวี๋ยเลิกขึ้นเล็กน้อย เดิมทีแต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยกินข้าวต้มเต้าหู้อะไรนี่มาก่อน ยิ่งไปกว่านั้น ข้าวต้มนี่ใครเป็นคนเคี่ยวออกมากัน? แต่เขากระจ่างใจดี แม้ว่าพวกม่านเหลียนและหญิงคนใช้เหล่านั้นจะมีฝีมือทำอาหารทำของว่างอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ชอบที่จะเคี่ยวข้าวต้มอะไรพวกนี้ทั้งนั้น โรงครัวใหญ่ยิ่งไม่อาจทำของประเภทนี้ออกมาได้…นายบ่าวของตระกูลซั่งกวน เกือบแปดส่วนล้วนงานรัดอยู่กับตัว ไม่ว่าใครก็ไม่มีใจจะกินข้าวต้มทั้งนั้น เหตุผลก็เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน แม้จะกินไปจนเต็มท้อง แต่ยังไม่ทันถึงมื้อต่อไป ท้องก็ร้องโครกครากขึ้นมาแล้ว
“เป็นสะใภ้ใหญ่ที่กำชับก่อนจะออกจากเรือนแล้วเจ้าค่ะ!” ม่านเหลียนรู้ว่าเพราะเหตุใดซั่งกวนเจวี๋ยจึงมึนงง ก็กล่าวทั้งยิ้มๆ “สะใภ้ใหญ่กล่าวว่าเมื่อวานคุณชายดื่มหนักทั้งที่ท้องว่าง คาดว่าคงไม่มีความอยากจะกินของว่างจำพวกนี้ จึงกำชับให้เคี่ยวข้าวต้มเจ้าค่ะ ยังพูดอีกว่า ตั้งแต่ตื่นนอนจนถึงตอนนี้คุณชายใหญ่ก็ยังไม่ได้กินอะไร กินข้าวต้มรองท้องสักหน่อยน่าจะดีกว่าเจ้าค่ะ!”
“อืม!” ได้ยินว่าเป็นความเอาใจใส่ของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ แม้ว่าซั่งกวนเจวี๋ยจะไม่อยากอาหารแต่ก็ตอบรับไป ไม่อยากที่จะทำลายความปรารถนาดีของภรรยาตั้งแต่วันแรกของการแต่งงาน ม่านเหลียนก็รู้ได้ทันทีว่าคำตอบ ‘อืม’ ที่เรียบง่ายของซั่งกวนเจวี๋ยหมายความว่าอะไร รีบไปรับข้าวต้มเต้าหู้จากเซียงชุ่ยมา เปิดฝาออก ใส่ช้อนลงไป ก่อนจะยื่นให้ซั่งกวนเจวี๋ย
ซั่งกวนเจวี๋ยรับข้าวต้มมา แม้เซียงชุ่ยจะตั้งใจเคี่ยวในระยะเวลาที่สั้นไปบ้าง แต่ก็ต้มจนได้ที่แล้ว กลิ่นหอมของข้าวและเต้าหู้ที่ผสมผสานอย่างลงตัว ทำให้ซั่งกวนเจวี๋ยที่ท้องว่างเกิดความอยากอาหารขึ้นมาอย่างทนไม่ได้อยู่บ้าง ก่อนจะใช้ช้อนตักเข้าปากไปหนึ่งคำ กลิ่นหอมของเนื้อ เต้าหู้ และข้าวที่บริสุทธิ์ค่อยๆ แผ่กระจายอยู่ในปาก ปลุกความอยากอาหารที่ถูกทำลายด้วยพิษของสุราให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ชั่วพริบตานั้นกระเพราะก็ขยับจนเกิดเสียง แม้จะไม่ดังมาก แต่คนที่อยู่ตรงนั้นก็ล้วนได้ยินเต็มสองหู
ซั่งกวนเจวี๋ยรู้สึกเขินอายเล็กน้อย ท่าทีเช่นนี้ของเขาคล้ายกับคนที่หิ้วท้องหิวโซไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน ทว่ารอยยิ้มที่อ่อนโยนนั้นของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ทำให้ความขวยเขินนั้นของเขาลอยหายไปในทันที
“อยากอาหารก็ดีแล้ว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์แย้มยิ้ม ความห่วงใยและความสุขที่มีอย่างเต็มเปี่ยมทำให้แววตาใสกระจ่างขึ้นมา เป็นความรู้สึกงดงามที่คล้ายกับคลื่นน้ำกระเพื่อมอย่างแผ่วเบา กล่าวทั้งเผยยิ้ม “เมื่อวานสามีดื่มสุราหนัก ในกระเพาะนอกจากน้ำสุราพวกนั้นก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นแล้ว มีปฏิกิริยาเช่นนี้ก็แสดงว่าสุราไม่ทำลายกระเพาะ เช่นนั้นข้าก็วางใจแล้ว”
มีภรรยาคอยเป็นห่วงอยู่เช่นนี้นับว่าไม่เลวเลย ซั่งกวนเจวี๋ยกินข้าวต้มไปพลาง มองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ถูกจื่อหลัว ลู่หลัว และเซียงเสวี่ยหวีเผ้าสางผม ทั้งเติมหน้าให้ใหม่ไปพลาง แม้ว่าระหว่างคิ้วนั้นยังคงมีร่องรอยความเมื่อยล้าอยู่เลือนราง แต่หากไม่ตั้งใจมอง ก็คงมองออกยากอยู่บ้างว่าท่าทีได้ดีขึ้นมาไม่น้อยเลย
“สะใภ้ใหญ่ ต้องการข้านวดไหล่ให้หรือไม่เจ้าคะ?” แม้จื่อหลัวจะรู้ดีว่าร่างกายของเยี่ยนมี่เอ๋อร์แข็งแรงดี แต่เพราะในยามที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์กลับมายังคงมีสีหน้าเหนื่อยล้าและความกังวลที่ปิดไม่มิดอยู่บ้าง การยกน้ำชาของสะใภ้ใหญ่ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดาษดื่น โดยเฉพาะยังมีฮูหยินใหญ่ที่จงใจทำให้คนลำบากอยู่ด้วย นับเป็นเรื่องยากของคุณหนูอย่างแท้จริง
“ไม่ต้องแล้ว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่ายศีรษะ ความอ่อนแอนั้นจะต้องดูเวลา หากว่าแม้แต่เรื่องเล็กอย่างการยกน้ำชาก็มีท่าทีทนไม่ได้เช่นนี้ ก็อาจจะทำให้คนแคลงใจในความสามารถ อย่างไรก็ไม่อาจแสดงออกมากเกินไปได้ แค่เผยสีหน้าเหน็ดเหนื่อยให้ซั่งกวนเจวี๋ยรู้สึกเอ็นดูบ้างก็นับว่าเพียงพอแล้ว
“อีกเดี๋ยวจะมีแขกมาเยือน ให้จื่ออวิ๋นเตรียมน้ำร้อน แล้วก็พวกของว่างผลหมากรากไม้อีกสักหน่อยด้วย” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ครุ่นคิดก่อนกล่าว “ลองไปสอบถามผู้ดูแลดูว่า พวกคุณชายและสะใภ้ที่อยู่เรือนเหนือเรือนใต้ชอบกินอะไร มีงานอดิเรกแบบไหน อย่าให้พอใกล้ถึงเวลาแล้วลนลานจนทำอะไรไม่ถูกกัน”
“เจ้าค่ะ สะใภ้ใหญ่” จื่อหลัวรับคำสั่ง ใบหน้าประดับรอยยิ้มกว้างไว้ รู้ดีว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์กำลังพยายามที่จะปรับตัวให้เข้ากับครอบครัวแห่งนี้
“ม่านเหลียน ม่านเหอ พวกเจ้าล้วนเป็นคนเก่าแก่ข้างกายสามี ส่วนมากแขกที่กำลังมาพวกเจ้าน่าจะคงเคยพบเจอมาก่อนอยู่แล้ว มีตรงไหนที่ต้องระวังเป็นพิเศษ พวกเจ้าก็เตือนพวกจื่อหลัวลู่หลัวเสีย อย่าให้ท้ายพวกนางเพราะไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง มิเช่นนั้นอาจทำเสียเรื่องต่อแขกเข้า” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ดีว่าจื่อหลัวย่อมไปทำอย่างตั้งใจอยู่แล้ว ก่อนจะหันมากล่าวกับม่านเหลียนและม่านเหอที่ยืนอยู่ด้านข้าง
“บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ” ม่านเหลียนและม่านเหอรับคำสั่งอย่างพร้อมเพรียงด้วยความนอบน้อม เรื่องราวทั้งหมดของเช้าวันนี้พวกนางล้วนเห็นชัดเจนหมดแล้ว นอกจากฮูหยินใหญ่ เจ้านายคนอื่นๆ ในบ้านก็ล้วนดีต่อสะใภ้ใหญ่ท่านนี้กันทั้งนั้น โดยเฉพาะคุณชายใหญ่ที่รู้สึกพึงพอใจอย่างเห็นได้ชัด พวกนางก็ควรจะรับใช้ด้วยความตั้งใจจึงจะเป็นเรื่องที่สมควร
“อีกสักพักข้าคงไม่อาจอยู่เป็นเพื่อนเจ้าได้” ซั่งกวนเจวี๋ยเอ่ยปากขึ้นมาอย่างราบเรียบ “อย่างไรที่นี่ก็เป็นเรือนของเจ้า ไม่เหมาะที่จะต้อนรับแขกผู้ชาย คุณชายจากตระกูลเหล่านั้นล้วนเป็นคนที่คุ้นเคยอยู่บ้าง มักจะชอบเรื่องครื้นเครงวุ่นวาย ข้าจะเชิญพวกเขาไปที่เรือนไร้เดี่ยว จะทิ้งม่านเหลียนและม่านเหอให้อยู่รับใช้เจ้าที่นี่”
คำพูดของซั่งกวนเจวี๋ยนั้นมีความนัยแฝงอยู่ด้วย…ตระกูลซั่งกวนไม่ได้เคร่งเรื่องขอบเขตของชายและหญิงถึงเพียงนั้น โดยเฉพาะเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ยามนี้มีฐานะกลายเป็นสะใภ้ของตระกูลแล้ว คุณชายจากตระกูลพวกนั้นก็ไม่อาจเข้ามาเพียงลำพังได้อยู่แล้ว แน่นอนว่าสามารถรับแขกทุกคนได้ที่นี่ทั้งหมด แต่ซั่งกวนเจวี๋ยรู้ดีว่าคนเหล่านั้นล้วนยากที่จัดการอยู่บ้าง โดยเฉพาะทั่วป๋าฉินหลิ่ง ย่อมต้องหาโอกาสสร้างเรื่องลำบากให้คนเป็นแน่ และคนอื่นๆ แม้จะไม่แน่ว่าจะประสงค์ร้ายอะไรต่อเยี่ยนมี่เอ๋อร์ แต่ก็ไม่อาจมีความรู้สึกดีๆ อะไรเช่นกัน พวกเขาล้วนมีชาติกำเนิดมาจากตระกูลขุนนางเก่าแก่ อีกทั้งมารดาและภรรยาของพวกเขา(หรืออาจจะเป็นภรรยาในอนาคต) หากไม่เป็นผู้ที่มีชาติกำเนิดจากตระกูลขุนนาง(ไม่จำเป็นต้องเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงที่สุดก็ได้ แต่อย่างน้อยต้องเป็นตระกูลที่สืบทอดต่อกันมายาวนานกว่าร้อยปี) ก็ย่อมเป็นตระกูลที่มียศตำแหน่งในราชสำนักหรือเป็นตระกูลบัณฑิตที่มีความรู้ความสามารถสืบต่อกันมา เยี่ยนมี่เอ๋อร์มีชาติกำเนิดเพียงลูกพ่อค้าวาณิชผู้หนึ่ง จากความเห็นของเขา อาจจะยากที่จะเป็นที่ยอมรับได้ง่ายๆ หากเยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นลูกของภรรยาเอกก็แล้วไป แต่นางกลับเป็นลูกภรรยารอง นี่อาจจะทำให้คุณชายที่มาจากตระกูลสูงส่งเหล่านี้พูดกับนางโดยลดเกียรติไปบ้าง ซั่งกวนเจวี๋ยไม่อยากให้มีเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น นางเป็นภรรยาของเขา ควรจะเป็นคนที่ถูกเขาปกป้อง เขาไม่แน่ว่าจะปฏิบัติต่อนางอย่างที่ท่านพ่อปฏิบัติต่อท่านแม่ถึงเพียงนั้น แต่ย่อมไม่อาจปล่อยให้นางได้รับความเสียใจอย่างที่ไม่ควรได้รับยามที่อยู่ใต้ปีกของเขาเป็นแน่
และแน่นอน คาดว่าหญิงสาวตระกูลสูงส่งและสะใภ้พวกนั้นย่อมต้องพูดสาดเทเสียหายอยู่ลับหลังเรื่องพื้นเพฐานะของตระกูล แต่หลิงหลงและจิงอิ๋งก็จะมาด้วยเช่นกัน มีพวกนางทั้งสองอยู่ คนพวกนั้นก็ย่อมต้องสงวนท่าทีอยู่บ้าง ไม่อาจถากถางอย่างออกนอกหน้าจนเกินไป ขอเพียงแค่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ฉลาดหลักแหลมพอ ก็จะสามารถพลิกแพลงตามสถานการณ์ได้ และก็ไม่อาจมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นได้เช่นกัน
“ขอบคุณสามี” แม้ว่าซั่งกวนเจวี๋ยจะจงใจกล่าวอย่างเรียบนิ่ง แต่เยี่ยนมี่เอ๋อร์จะไม่รู้ถึงความปรารถนาดีและความเอาใจใส่ของเขาได้อย่างไรกัน กล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงความซาบซึ้ง “ข้าเข้าใจความหมายของสามี ข้าจะปรับตัวให้เร็วที่สุด และก็จะพยายามทำตัวเองให้คุ้นชินกับชีวิตเช่นนี้ให้เร็วที่สุด ไม่อาจทำให้สามีเหน็ดเหนื่อยจากเรื่องนี้นานนักได้”
“อย่าพูดถึงเรื่องเหน็ดเหนื่อยไม่เหน็ดเหนื่อยอะไรเลย พวกเขาล้วนเป็นแขกของตระกูลซั่งกวน คนส่วนมากก็เติบโตมาพร้อมกันกับข้า ข้าออกมาต้อนรับพวกเขาก็เป็นเรื่องที่เหมาะสมอยู่แล้ว” ซั่งกวนเจวี๋ยกล่าวอย่างไม่รู้ตัวอยู่บ้าง แม้ว่าเขาจะปรารถนาดี แต่กลับไม่คิดว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะกล่าวขอบคุณเขาตรงๆ ถึงเพียงนี้ เกียรติของความเป็นผู้ชายและสามีนั้นได้ถูกเติมเต็ม กระนั้นกลับไม่คุ้นชินกับความเถรตรงเช่นนี้อยู่บ้าง…ในตระกูลซั่งกวน นอกจากซั่งกวนฮ่าวแล้ว เขาก็ต้องรับผิดชอบต่อทุกชีวิต ต้องดูแลพวกเขา นี่เป็นความรับผิดชอบที่ติดตัวมาแต่กำเนิด ไม่มีใครที่จะมาขอบคุณเขาอย่างเช่นนี้
“ข้าเข้าใจแล้ว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์สามารถเข้าใจเขาที่ทำตัวไม่ถูกในยามนี้ได้ เขาเป็นลูกชายคนโตสายตรงของตระกูลซั่งกวน เป็นเสาหลักในอนาคตของตระกูลซั่งกวน การดูแลรับผิดชอบทุกๆ คนคล้ายจะเป็นเรื่องที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ คนพวกนั้นล้วนแต่ยอมรับเพราะเป็นเรื่องที่สมควร กระนั้นกลับลืมว่า ยามที่ได้รับก็ควรพูดขอบคุณคนผู้นั้นออกไปบ้าง แม้อาจจะดูไม่มีประโยชน์ใดอย่างชัดเจน แต่อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้คนที่ได้ฟังรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมา และนางก็ไม่อาจปล่อยให้ใจของซั่งกวนเจวี๋ยเย็นชืดได้ “แต่ว่าสามี ม่านเหลียนและม่านเหอเหลือไว้ให้ข้าคนเดียวก็เพียงพอแล้ว หากพวกนางทั้งคู่ล้วนไม่อยู่ข้างกายท่าน สามีก็จะทำอะไรลำบากเอา”
“เช่นนั้นก็ได้ เหลือม่านเหอไว้เถิด” ซั่งกวนเจวี๋ยผงกศีรษะ ที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดก็มีเหตุผล หากสาวใช้ทั้งสองไม่อยู่ข้างกายเขาละก็ อาจจะไม่สะดวกอยู่บ้างจริงๆ
“ลู่หลัวก็เป็นสาวใช้ที่รู้ใจข้างกายข้า ให้นางตามไปกับม่านเหลียนเถิด จะได้รู้จักหน้าค่าตาพวกคุณชายจากตระกูลเหล่านั้นบ้าง ผ่านไปสักวันสองวันแล้ว ยามที่ข้าและสามีต้อนรับแขกด้วยกัน นางก็จะสามารถคุ้นชินอย่างเร็วที่สุดได้ สามีว่าอย่างไร?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์แยกลู่หลัวออกมา แม้ว่าลู่หลัวจะมีฝีมือน้อยกว่าจื่อหลัวอยู่เล็กน้อย แต่ก็เป็นคนที่มีความตั้งอกตั้งใจ ความสามารถในการสังเกตอารมณ์ของผู้คนนั้นก็ยอดเยี่ยม หากนางมีโอกาสได้ไปต้อนรับแขกจากตระกูลต่างๆ เหล่านั้นร่วมกับม่านเหลียนก็จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเอง
ซั่งกวนเจวี๋ยชะงักไปเล็กน้อย เข้าใจถึงการกระทำนี้ของเยี่ยนมี่เอ๋อร์โดยทันที นอกจากสามารถกระชับความสัมพันธ์ของสองสามีภรรยาได้ ยังสามารถทำให้สาวใช้ของนางไปสังเกตการณ์ รู้จักหน้าค่าตาของตระกูลที่มาเยี่ยมเยือน ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถคาดเดาถึงท่าทีของพวกเขาที่มีต่อเยี่ยนมี่เอ๋อร์จากการพูดคุยของคนเหล่านั้น นับว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว เขาไม่ใส่ใจมาก หากข้างกายจะเพิ่มสาวใช้รู้ใจของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ขึ้นมาอีกคน กลับกัน เขาชื่นชมการกระทำเช่นนี้ของเยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นอย่างมาก อย่างน้อยที่สุดก็แสดงให้เห็นว่านางมีความคิด และก็มีความมุ่งมั่นที่จะปรับตัวเข้ากับฐานะใหม่ของตนอยู่มาก
“ก็ดี!” ซั่งกวนเจวี๋ยพยักหน้ารับ เขาก็อยากเห็นเหมือนกันว่าสาวใช้ข้างกายของเยี่ยนมีเอ๋อร์มีความสามารถเช่นไร แม่นมฉินเป็นคนที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่ง เขาเคยประจักษ์แก่สายตาแล้ว จื่อหลัวก็คงเป็นผู้ที่แม่นมฉินและเยี่ยนมี่เอ๋อร์อบรมมาอย่างดี มักจะทำงานได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แม้ว่าสาวใช้ชั้นสามสี่คนนั้นจะกำเริบเสิบสานไปบ้าง แต่ก็มีจุดเด่นแตกต่างกันไป ลู่หลัวคนนี้จะเป็นอย่างไร? เขาก็อยากรู้อยู่บ้าง
“ขอบคุณสามี” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ว่าซั่งกวนเจวี๋ยเข้าใจจุดประสงค์ของตน แต่ที่เขาตอบรับอย่างรวดเร็วขนาดนี้ก็พิสูจน์ได้ว่าเขาหวังให้ตัวนางสามารถปรับตัวให้คุ้นชินกับฐานะสะใภ้ใหญ่ของตระกูลให้เร็วที่สุด ดังนั้นจึงผลักเรือตามน้ำตกปากรับคำออกมา ดูท่าแล้ว แผนการเข้าใกล้ซั่งกวนเจวี๋ยของนางคงจะทำสำเร็จไปหนึ่งขั้นแล้ว
“ตำแหน่งสาวใช้ชั้นสองสี่คนของเจ้ายังว่างอยู่นี่ จะให้พวกเซียงเสวี่ยเข้าไปแทนที่หรือไม่?” ซั่งกวนเจวี๋ยคล้ายกับเอ่ยปากถามออกไปเท่านั้น
“พวกเซียงเสวี่ยนั้นเป็นเพียงสาวใช้ชั้นสาม” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้ตามน้ำไป “หากเป็นสาวใช้ชั้นสอง นับช่าจื่อเป็นหนึ่ง ก็ยังขาดอีกสาม ไม่ใช่ว่าฮูหยินได้คัดเลือกสาวใช้ในตระกูลไปครั้งหนึ่งแล้วหรอกหรือ คงจะคัดออกมาบ้างแล้วกระมัง ข้าได้พูดกับแม่นมฉินและแม่นมจ้าวแล้ว สองวันนี้พวกนางจะคัดเลือกสาวใช้เหล่านั้นที่เหมาะสมออกมา ร่างรายชื่อสาวใช้ชั้นสองออกมาชั่วคราวก่อน ผ่านไปสักระยะ รอดูความสามรถของพวกนางค่อยเลือกออกมาสามคนก็เสร็จแล้ว”
ซั่งกวนเจวี๋ยผงกศีรษะ ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับประเด็นนี้อีกแล้ว แต่ได้ประเมินค่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์สูงไปอีกขั้น ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง และก็ไม่ได้เชื่อถือสาวใช้ที่ติดมากับตนเองจนไม่เหมาะสมไป แต่กลับปรับตัวยอมรับคนของตระกูลสามี แสดงให้เห็นว่านางไม่เพียงเข้าใจในความสามารถของตระกูลที่ผลิตบ่าวทาส แต่ยังรู้จักใช้ประโยชน์จากมัน อีกทั้งสามารถวางใจจนเหลือไว้ข้างกายได้ พิสูจน์ให้เห็นว่านางมีความมั่นใจว่าจะสามารถอบรมเลี้ยงดูข้าบริวารเหล่านี้ให้เชื่อฟังได้ ไม่มีฝีมือ มีเพียงความใจกว้างและอ่อนโยน จะฉลาดก็ไม่ช่วยอะไร ด่านแรกนับว่านางผ่าน เขาจึงเลิกล้มความคิดที่จะพานางไปไหว้ศาลบรรพบุรุษในเวลาอันใกล้นี้ออกไป
——————————————-