เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 86 ศึกรับอนุภรรยา (8)
หากการมาถึงของหลิงหลงเป็นจุดโหมโรงของความโกลาหล เช่นนั้นการปรากฏตัวของจิงอิ๋งก็ถึงจุดที่ตื่นเต้นเร้าใจ
จิงอิ๋งก็ได้รับคำแนะนำจากซั่งกวนเจวี๋ย กระนั้นสิ่งที่ซั่งกวนเจวี๋ยบอกกับนางคือหวังเหมยเสียนกล่อมฮูหยินชุยให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อรับชุยอวี่เฟยแต่งเข้ามา ส่วนหลี่ฉยงอวี่ที่อยู่ข้างกันได้ชักชวนหวงฝู่เยวี่ยเอ้อให้เห็นด้วยกับเรื่องนี้ก็ไม่ว่า แต่ยังแนะนำให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อบอกเรื่องนี้กับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ด้วย เพื่อให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นฝ่ายออกหน้าจัดการเรื่องนี้เอง จิงอิ๋งประหนึ่งภูเขาไฟระเบิดก็มิปาน ครั้นผละจากซั่งกวนเจวี๋ยก็จะไปต่อว่าต่อขานหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ
ซั่งกวนเจวี๋ยตาไวมือไวจับจิงอิ๋งไว้ บอกนางว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์นอนร้องไห้ทั้งคืนอยู่ในห้องเพราะเศร้าอาดูร นางไม่ต้องการให้ใครรู้เรื่องนี้ นับประสาอะไรจะให้เรื่องนี้กระทบกับความสัมพันธ์ของนางกับหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ
จิงอิ๋งหันหน้ามุ่งไปทางเรือนมีคู่ทันที ไม่คำนึงว่าจะมีพวกสาวใช้มาขัดขวางมากมาย เมื่อเข้าไปในห้องของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ก็เห็นว่านางพยายามซ่อนดวงตาแดงก่ำและเปลือกตาที่บวมเป่งด้วยการแต่งหน้าสีเข้ม จิงอิ๋งก็แสบจมูก น้ำตาร่วงไหลอาบแก้ม
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถึงกับผงะ ก่อนที่นางจะเอ่ยถาม จิงอิ๋งคว้าดาบแล้วรีบวิ่งไปที่เรือนทางใต้…
ที่เรือนทางใต้ หลี่ฉยงอวี่ปะทะกับสายตาที่เย็นชาของหวงฝู่หลินจี้ แล้วอธิบายอย่างเต็มที่ ยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง…แต่ไม่ได้เหมาความผิดพลาดไว้ที่ตัวเอง กลับบอกว่าแต่เดิมเหตุการณ์นี้เกิดจากชุยอวี่เฟยที่ไม่ควรคิดเพ้อเจ้อ ทำให้นางอิจฉาเยี่ยนมี่เอ๋อร์ นางจึงยั่วเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างเสียมารยาทในวันแรกของการแต่งงาน ผลคือไม่เพียงไม่ได้ทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์อับอาย แต่เป็นนางเองที่เพลี่ยงพล้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลิงหลงก็ไม่ยอมให้ถูกควบคุม ชุยฮ่าวเหว่ยที่ช่วยกู้หน้าถูกส่งออกจากตระกูลซั่งกวน ถูกขังไว้ในเรือนอีกแห่งของตระกูลชุยเพื่อไม่ให้พบกับซั่งกวนเจวี๋ย ชุยอวี่เฟยรับความจริงนี้ไม่ได้ เริ่มอดอาหารประท้วง เนื่องจากหวังเหมยเสียนสนิทกับชุยอวี่เฟย บวกกับฮูหยินชุยรักลูกสาวที่เลี้ยงดูอยู่เคียงข้างผู้นี้มาก จึงคิดจะใช้การแต่งงานของหลิงหลงกับชุยฮ่าวหรันมาโน้มน้าวหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ และนางก็ทำตามคำขอของหวังเหมยเสียน ถึงมาปรากฏตัวที่เรือนมีคู่ มันเป็นเพราะคำขอร้องครั้งแล้วครั้งเล่าของหวังเหมยเสียน ทำให้นางพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดพรรค์นั้นออกมา ถึงอย่างไรก็ยอมรับความผิดพลาดนั้นด้วยท่าทีจริงใจ หวังเหมยเสียนจึงต้องรับผิดชอบ นางทำผิดเพียงเพราะใจอ่อนชั่วขณะ
หลี่ฉยงอวี่คุกเข่าลงต่อหน้าหวงฝู่หลินจี้และร่ำไห้ฟูมฟายสารภาพสำนึกผิด ทั้งหวงฝู่อวี๋หลิงกับหวงฝู่อวี๋จวินอดช่วยขอร้องให้นางไม่ได้ ในขณะที่หลิงหลงมีคราบน้ำตาที่ยังไม่แห้งก็มองอยู่ข้างๆ อย่างเฉยเมย รอดูว่าหวงฝู่หลินจี้จะจัดการอย่างไร
“ข้ารู้ว่าผิดจริงๆ…” หลี่ฉยงอวี่เสียใจร้องไห้คร่ำครวญว่า “หลินจี้ ต่อไปข้าจะไม่มีวันถูกคนปลุกปั่นอีก ทำสิ่งที่ทำร้ายคนอื่นและตัวเอง…น้องหลิงหลง โปรดเห็นแก่มิตรไมตรีที่เรามีต่อกันมาหลายปียกโทษให้ข้าในครั้งนี้ด้วย วันหลังข้าจะไม่ทำผิดแบบนี้อีกเด็ดขาด…”
“เจ้านังหญิงสมควรตาย ข้าจะฟันเจ้า!” จิงอิ๋งวิ่งหายวับไปกับตาเข้าไปในเรือนทางใต้ พวกแม่นมสาวใช้มองดาบยาวเป็นมันวาวในมือของนาง ขวัญเสียจนต่างพากันถอยหนี เกรงว่านางจะพลาดหลุดมือ ทำร้ายตัวเอง ดังนั้น นางจึงไม่โดนกีดขวางแต่อย่างใด แล้วปรากฏตัวต่อหน้าหวงฝู่หลินจี้และคนอื่นๆ ดวงตาที่เฉียบคมของจิงอิ๋งมองเห็นหลี่ฉยงอวี่ที่คุกเข่าอยู่กับพื้น ด้วยใบหน้าสำนึกผิด ร้องไห้สารภาพความผิด ขณะนี้เสียงตะโกนดังลั่น ดาบแทงไปที่…
เกิดเสียงดัง ‘แกร๊ง!’ หวงฝู่หลินจี้ปัดดาบจิงอิ๋งลงกับพื้น มองดูด้วยน้ำตาคลอเบ้า จิงอิ๋งใช้สายตาศัตรูจ้องเขม็งตัวเขาเองและหลี่ฉยงอวี่เหมือนกัน เขาเองก็อยากจะร้องไห้…
“จิงอิ๋ง นี่เจ้าจะทำอะไร?” หวงฝู่หลินจี้รู้ว่าหลี่ฉยงอวี่กับน้องสาวทั้งสองของตระกูลซั่งกวนเกิดบาดหมางใจกันในครั้งนี้ คนหนึ่งกระเหี้ยนกระหือรือจะฆ่านาง ส่วนอีกคนหนึ่งหยิบดาบตรงมาฆ่าคน นางล่วงเกินสาวน้อยที่ไม่ประสีประสาทั้งสองคนจนเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร
“ไม่นึกเลยว่านางจะเสี้ยมสอนท่านแม่ให้ตกปากรับคำรับชุยอวี่เฟยหญิงไร้ยางอายคนนั้น!” จิงอิ๋งรู้ดีว่าวรยุทธ์ของหวงฝู่หลินจี้นั้นเหนือกว่านางมาก เมื่อเขาอยู่ที่นี่ จะไม่อาจทำร้ายหลี่ฉยงอวี่ได้ จึงไม่ต้องเสียกำลังไปคว้าดาบมาฆ่าคน
“นางเสี้ยมสอนท่านป้า?” ถ้าหวงฝู่หลินจี้รู้สึกผิดหวังและโกรธหลี่ฉยงอวี่มาก่อน เช่นนั้นคำพูดของจิงอิ๋งก็ทำให้เขาหมดหวังและโกรธเคืองหลี่ฉยงอวี่อย่างสิ้นเชิง หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเป็นหนึ่งในคนสำคัญที่สุดของตระกูลหวงฝู่ หลี่ฉยงอวี่ควรตระหนักถึงความสำคัญของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ นางกล้าไปยุยงหวงฝู่เยวี่ยเอ้อเท่ากับรนหาที่ตาย
“ข้าผิดไปแล้ว ข้ารู้ว่าผิดจริงๆ…” หลี่ฉยงอวี่รู้ถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ ครั้งนี้นางไม่กล้าปัดความผิดให้พ้นตัว แต่ยังคงสารภาพความผิดและร้องไห้ฟูมฟาย
“ท่านป้าถูกนางหว่านล้อมหรือ?” หวงฝู่หลินจี้ไม่ได้สนใจนางอีกต่อไป แต่ถามจิงอิ๋งอย่างเป็นห่วง เขารู้อยู่ลึกๆ ว่าหวงฝู่เยวี่ยเอ้อเป็นคนหูเบา มักจะเชื่อคำพูดของคนใกล้ชิดได้ง่ายมาก ไม่นึกว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดครั้งนี้
“ท่านแม่ชอบนางมาตลอด จะไม่ตกลงกับนางได้อย่างไรเล่า!” จิงอิ๋งกล่าวอย่างเกลียดชังว่า “สิ่งที่น่ารังเกียจที่สุดคือนางแนะนำให้ท่านแม่คุยเรื่องนี้กับพี่สะใภ้ก่อน แล้วท่านแม่ก็เห็นด้วยอย่างงุนงง”
หวงฝู่หลินจี้มึนงง เขาไม่คาดคิดว่าสิ่งต่างๆ จะมาถึงจุดนี้ เยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นลูกสะใภ้ที่ท่านป้าต้องการมาตลอด แต่นางถูกหลอกล่อให้พูดคุยกับลูกสะใภ้ที่ชมเปาะไม่ขาดปากคนนี้ที่เพิ่งแต่งงานให้รับอนุภรรยาให้ลูกชายหรือ? นางทำให้พูดไม่ออกจริงๆ
“มิน่าเล่าที่พี่สะใภ้จะให้เรากลับไปก่อนเวลาเมื่อวานนี้” หลิงหลงไม่สนใจว่าชุยอวี่เฟยจะแต่งเข้ามาหรือไม่ เพราะซั่งกวนเจวี๋ยเคยบอกว่า ชุยอวี่เฟยไม่มีทางแต่งเข้าตระกูลซั่งกวนได้แน่
“ข้าเพิ่งกลับมาจากพี่สะใภ้ พี่สะใภ้เสียใจทั้งคืน ตาบวมเป่ง!” จิงอิ๋งพูดพุ่งเป้าไปที่หลี่ฉยงอวี่ “เจ้าเป็นคนเลวร้ายขนาดนี้ได้อย่างไร? ท่านแม่ดูแลเจ้าเป็นอย่างดีเสมอมา แม้พี่สะใภ้จะไม่ได้รู้จักมักจี่อะไรกับเจ้าก็ตาม แต่ไม่มีความคับแค้นใจกับเจ้า เหตุใดเจ้าถึงทำแบบนี้ ยุแหย่ท่านแม่กับพี่สะใภ้! ท่านป้าไม่ชอบเจ้าหรือ เจ้าถึงไม่เห็นแก่ความผูกพันของแม่สามีกับลูกสะใภ้!”
หลี่ฉยงอวี่ไม่อาจพูดอะไรได้ในตอนนี้ และไม่กล้าพูดอะไรเลย เอาแต่ร้องไห้ ทำไมถึงเปลี่ยนเป็นแบบนี้ จนถึงป่านนี้นางยังไม่เข้าใจ ทั้งยิ่งไม่เข้าใจว่าทำไมพี่น้องทั้งสองถึงปกป้องพี่สะใภ้ที่เพิ่งแต่งเข้ามาถึงขนาดนี้ นางจำได้อย่างชัดเจนว่าทั้งสองคนไม่ชอบเยี่ยนมี่เอ๋อร์มาก่อน ซั่งกวนเจวี๋ยก็อยากจะหนีการแต่งงาน ส่วนซั่งกวนอิงก็กังวลว่าซั่งกวนเจวี๋ยจะหลบหนีงานแต่ง หวงฝู่เยวี่ยเอ้อจะจับเขาเป็นเจ้าบ่าวสำรอง จึงซ่อนตัวอยู่ในตระกูลหวงฝู่อย่างอกสั่นขวัญแขวนจนถึงวันแต่งงานถึงค่อยกลับมา หากไม่ใช่เพราะสิ่งนี้ นางคงไม่ถูกดึงมาเป็นพวก จนเกิดความแค้นเคืองในใจก็คิดได้เช่นนี้ ทำเรื่องที่น่าชิงชังซึ่งแก้ไขไม่ได้ในเวลาอันสั้น
“อวี๋หลิง พวกเจ้าจับตาดูพี่สะใภ้ใหญ่ให้ดี ไม่อนุญาตให้นางออกไปแม้แต่ก้าวเดียว!” หวงฝู่หลินจี้ไม่ได้รีบร้อนจัดการนาง แต่กังวลถึงหวงฝู่เยวี่ยเอ้อพลางกล่าวว่า “ข้าจะไปพบท่านป้า ไปสารภาพความผิดกับท่านป้า!”
“ลูกผู้พี่ นี่ถือว่าจบแล้วหรือ?” จิงอิ๋งมองหวงฝู่หลินจี้อย่างมีน้ำโห มองว่าเขาเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดด้วยอย่างชัดเจน
“จิงอิ๋ง สิ่งต่างๆ มีลำดับความสำคัญ นางอยู่ที่นี่ก็วิ่งหนีไปไหนไม่ได้ พวกเราจะไปพบท่านป้าก่อน แล้วค่อยกลับมาจัดการ ดีหรือไม่?” หวงฝู่หลินจี้ได้แต่ยิ้มให้ จิงอิ๋งทำได้เพียงหัวเราะครืน ไม่ได้บังคับ
“นางไม่เป็นไรหรอก” จิงอิ๋งยังเต็มไปด้วยความไม่พอใจต่อแม่ของนาง แต่เพราะได้ระบายความอัดอั้นตันใจกับพวก
หลี่ฉยงอวี่ไปแล้ว จึงพูดได้อย่างใจเย็นว่า “คนเจ็บปวดคือพี่สะใภ้ คนที่ต้องการคำปลอบโยนก็คือพี่สะใภ้ด้วย ไม่ใช่นาง!”
“พูดได้อย่างไร!” ในที่สุดเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็รีบเข้ามาในเวลานี้ นางเปลี่ยนการแต่งหน้าเป็นยามปกติ แต่ใช้เครื่องประทินโฉมที่สีเข้มและสวยสดแทนเพื่อทำให้สีหน้าซีดขาว (แป้งสีขาวที่ใช้แต่งหน้ายังไม่ได้ถูกล้างออก) ปกปิดเปลือกตาที่ปูดบวมไว้ มีเพียงสิ่งเดียวที่ปิดซ่อนไม่ได้คือดวงตาแดงก่ำ
“พี่สะใภ้!” หลิงหลงคว้าแขนเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไว้อย่างฉุกละหุก มองพิเคราะห์นางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแล้วพูดว่า “พี่สะใภ้ เจ้าไม่ต้องเสียใจ เราจะไม่ปล่อยให้คนที่กลั่นแกล้งเจ้าลอยนวลหนีไป!”
ลอยนวลหนีไปไม่ได้ใช้กับกรณีนี้ใช่ไหม! เยี่ยนมี่เอ๋อร์ลอบกลอกตาไปมา ค้อมกายคำนับหวงฝู่หลินจี้แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ลูกผู้พี่โปรดยกโทษให้ด้วย น้องสาวทั้งสองไม่ทราบว่าไปสะเทือนจิตใจอะไรมา ถึงมีพฤติกรรมผิดปกติเช่นนี้ได้ ทำให้พวกท่านเดือดร้อนแล้ว”
“พวกเราออกมาเพื่อเจ้า…” จิงอิ๋งโพล่งคำพูดแล้วกลืนมันกลับไปภายใต้สายตาที่เคร่งขรึมของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ แต่พูดอย่างไม่เต็มใจว่า “เอาล่ะ! เราไม่ควรหุนหันพลันแล่นขนาดนี้ ยิ่งไม่ควรก้าวร้าวผู้อาวุโส แต่นางเป็นคนแรกที่ทำร้ายคน!”
“น้องสะใภ้เจวี๋ย เป็นเพราะข้าไม่ดูแลภรรยาให้ดี ทำให้นางก่อเรื่องทะเลาะวิวาท ต้องขอโทษเป็นอย่างยิ่ง!” หวงฝู่หลินจี้ประหลาดใจกับพลังสยบของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่มีต่อจิงอิ๋งกับหลิงหลง แต่เขาไม่ได้ลังเล กล่าวขอโทษเยี่ยนมี่เอ๋อร์ทันที
“ลูกผู้พี่ไม่ต้องเกรงใจ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถอยออกมา ไม่ได้รับการขอขมาของหวงฝู่หลินจี้ เหตุการณ์นี้เกิดจากหลี่ฉยงอวี่ผู้หญิงที่น่าเบื่อและแปลกพิลึกพิลั่นคนนั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขา ไม่จำเป็นต้องโกรธเขา จึงกล่าวด้วยความจริงใจว่า “ส่วนใครถูกใครผิดใครดีใครชั่วก็เป็นคนกันเองทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องจริงจังมากนัก ต่อให้พี่สะใภ้จะทำอะไรผิดพลาดก็ตาม หลิงหลงจิงอิ๋งก็ไม่ควรวู่วามขนาดนี้! พวกเจ้าทั้งสองยังไม่มาขอโทษอีก!”
“พี่สะใภ้…” ทั้งสองคนไม่ยอมขอโทษ เห็นอยู่ทนโท่ว่าเป็นความผิดของผู้หญิงคนนั้น ถือสิทธิ์อันใดที่พวกนางต้องไปขอโทษด้วย
“น้องสะใภ้เจวี๋ย อย่าให้พวกนางลำบากใจ!” หวงฝู่หลินจี้ไม่กล้าจะยอมรับคำขอโทษของเด็กสาวทั้งสองที่ยังคงโกรธหัวเสียอยู่ หากพวกนางถูกบังคับให้ยอมรับความผิดจริง ไม่รู้ว่าจะเก็บความคั่งแค้นไว้ได้นานแค่ไหน จึงฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “พวกนางไม่ผิด คนที่ผิดคือภรรยาของข้า น้องสะใภ้เจวี๋ยได้โปรดอย่าเสียใจ ข้าจะอธิบายเรื่องนี้ให้เจ้าแน่นอน!”
“ลูกผู้พี่ไม่ต้องเกรงใจ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกว่าไฟที่ลุกโชนใกล้จะจบลงแล้ว ในเวลานี้สิ่งต้องห้ามที่สุดคืออย่าเคี่ยวจนเกินเหตุ จึงพูดกลั้วหัวเราะว่า “เมื่อคนอยู่ด้วยกัน ก็ขัดแย้งกันบ้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ข้ากับพี่สะใภ้มีความเห็นที่ต่างกัน พูดจากระทบกระทั่งกันเล็กน้อยเท่านั้นเอง ลูกผู้พี่โปรดอย่าได้ถือสาหาความ ฟื้นฝอยหาตะเข็บเลย!”
“พี่สะใภ้…” หลิงหลงและจิงอิ๋งไม่ยอมรับผลเช่นนี้ จะปล่อยหลี่ฉยงอวี่ไปอย่างง่ายดายแบบนี้ นางจะได้ใจเกินไปแล้ว
“นี่…” หวงฝู่หลินจี้ไม่คาดคิดว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะใจกว้างขนาดนี้ ผู้หญิงขี้เหนียวที่สุด ชอบแบกรับความแค้นที่สุด เขาไม่แน่ใจว่านี่คือเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่แสร้งทำเป็นใจดีหรือไม่
“ข้าเป็นคนจริงจัง!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดด้วยความมั่นใจ ไม่ใช่ว่านางใจกว้าง แต่หลี่ฉยงอวี่ถูกลงโทษมากกว่าที่นางคาดไว้แล้ว หวงฝู่หลินจี้ไม่ชอบนางมากในตอนแรก และต่อไปจะไม่แยแสมากขึ้นแน่นอน หากฮูหยินหวงฝู่รู้เรื่องนี้ จะไม่ปล่อยนางไปง่ายๆ แต่ฐานะของนางอยู่ที่นั่น ต่อให้จะไม่ใช่ทั้งหมด แต่ก็ยังเป็นสะใภ้ใหญ่ของตระกูลหวงฝู่ ลูกสาวคนโตของตระกูลหลี่ เป็นไปไม่ได้ที่จะบีบเค้นให้ตาย ในเมื่อบีบนางไม่ได้ มิสู้พายเรือตามน้ำยกโทษให้นางจะดีกว่า ไม่ต้องคำนึงถึงก่อนหน้านี้ทั้งความรังเกียจเดียดฉันท์ การมีชื่อเสียงและสุภาพเรียบร้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึง แม้นางจะถูกบีบจนตายก็ไม่มีประโยชน์อะไร ไฉนต้องลงมือเหี้ยมโหดอย่างนั้นด้วยเล่า! เมื่อตีงูไม่ตายก็จะกลายเป็นปัญหาขุ่นข้องหมองใจ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ไม่ต้องคิดเลย ตอนนี้
หลี่ฉยงอวี่ก็เอาตัวเองไม่รอด ไหนเลยจะยังมีแรงไปหาเหาใส่หัวตัวเอง!
“น้องสะใภ้เจวี๋ยใจกว้างจริงๆ!” หวงฝู่หลินจี้ยืนยันได้ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ใช่คนเจ้าเล่ห์และพูดด้วยอารมณ์ เขารู้ว่ามีใครบางคนบงการอยู่เบื้องหลังให้เด็กสาวทั้งสองสร้างปัญหา เขาคุ้นเคยกับลูกไม้นี้เป็นอย่างดี ดังนั้นจึงแปลกใจกับท่าทีของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ่งกว่า
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มไม่ได้พูดอะไรอีก แต่มองน้องสาวสามีทั้งสองที่ยังคงไม่ยอมแพ้ จึงรู้สึกอบอุ่นใจแล้วตะโกนว่า “ยังไม่ตามข้ากลับไปอีก!”
———————————-